ฉบับที่ ๑๙ ประจำเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๗

จุดเปลี่ยนชีวิต อย่าฉลาดอย่างงมงาย โดย ธัน ธนวรรธ

 

-: บันทึกเรื่องราวของชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นจากการมาวัดพระธรรมกาย :-

: ธัน  ธนวรรธ



เธอดื่มน้ำ         แก้วที่ ๑         แต่ไม่หายหิว
เธอดื่มน้ำ         แก้วที่ ๒         แต่ไม่หายหิว
เธอดื่มน้ำ         แก้วที่ ๑๐       ก็ยังไม่หายหิว
เธอดื่มน้ำ         แก้วที่ ๑๐๐     ไม่มีวันหายหิว
และยังคงกระหายอยู่ร่ำไป

เพราะเธอดื่มน้ำ จากแก้วที่ว่างเปล่า
มันจะหายหิวได้อย่างไร..



             เรื่องราวในคอลัมน์นี้ก็เช่นกัน เราอยากให้คุณทำใจสบายๆ วางใจเบาๆ ค่อยๆ อ่านความคิดของคนในเรื่อง เพราะความคิดของเธอดี น่าสนใจ เพียงพอที่จะทำให้ไม่หลงไปดื่มน้ำจากแก้วที่ว่างเปล่าลำดับที่ ๑๐๑ และแก้วต่อๆ ไปจนชั่วชีวิต อย่างไม่รู้จักคำว่าอิ่มเลยก็ได้

               อนึ่ง เรื่องราวของคนในเรื่อง คล้ายกับการดื่มน้ำจากแก้วที่ว่างเปล่ามานาน จนในที่สุดได้พบ "น้ำ" ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นมากสำหรับการยังอัตภาพให้ร่างกายมีชีวิตอยู่ แต่เพราะความชาชินกับความพร้อมที่คิดว่าตัวเองมีกระมัง เลยทำให้ชิน จนลืมนึกไปว่าแก้วที่ตัวเองดื่มนั้น ไม่มีน้ำ...

               พจนีย์ พงษ์ประภาพันธ์ คุณหมอคนเก่ง เธอเป็นแพทย์หญิง มีฐานะ มีอาชีพที่มีเกียรติน่ายกย่อง มีอนาคตที่สดใสมาตลอด ตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมฯ มีผลการเรียนดีจนกระทั่งสามารถสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้ พอเรียนจบก็ได้เรียนต่อแพทย์เฉพาะทาง ด้านสูติ-นรีเวช เธอมีครอบครัวที่แสนอบอุ่น มีพี่น้องที่ไม่ทะเลาะกัน พ่อแม่ไม่เจ้าชู้ มีความเข้าใจกัน เธอช่างมีทุกอย่างเพียบพร้อม แถมมีเพื่อนมากมายที่เธอรักและรักเธอ

               "..แต่ในความรู้สึกพร้อม ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก มันทำให้หมอเองใช้คุณค่าของชีวิตฟุ่มเฟือยมากไป คือเที่ยวทุกคืน ดื่มพอมึนๆ แต่อาศัยเข้าไปกินบรรยากาศ ฟังพวกเพื่อนที่กินเหล้าคุยกัน ตอนนั้นมันรู้สึกสนุก บ้าๆ บอ ๆ สะใจ หัวเราะกันได้ทั้งคืน บ่อยครั้งดื่มถึงเช้าค่อยแยกย้ายกันกลับ มันแปลกเหมือนกันที่หมอเองเป็นผู้หญิงคนเดียวในเพื่อนผู้ชายกลุ่มใหญ่ แต่หมอไม่รู้สึกกลัวอะไร กลับรู้สึกว่าการทำแบบนี้เก๋มาก รู้สึกภูมิใจ เป็นการเข้าสังคมของกลุ่มพี่น้องหมอด้วยกัน..."

               ก่อนหน้านั้นเธอเป็นคนห่างไกลศาสนา มองไม่เห็นความจำเป็นว่าจะเข้ามาช่วยให้ชีวิตสมบูรณ์ขึ้นได้อย่างไร เพราะที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้ว ทำบุญวันเกิดปีละครั้งตามประเพณีก็น่าจะเพียงพอ จนกระทั่งเรียนจบหมอ ได้มาเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางด้านสูตินรีเวช ยิ่งทำให้เธอเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นไปอีก

               "..คือตัวเองไม่ค่อยเชื่อว่า คนอย่าง พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีจริง ยิ่งเรียนสูติฯ ด้วย เห็นเด็กคลอดมากี่คนๆ ก็ไม่เห็นใครจะสามารถเดินได้ ๗ ก้าว แบบนี้เป็นไปไม่ได้เลย ยังนั่งคุยกับเพื่อนๆ เลยว่า สมัยก่อนคงมี นักคิดที่เก่งมาก คิดจะจัดระเบียบทางสังคมขึ้นมา จึงแต่งเรื่องพระพุทธเจ้าขึ้น แล้วใส่ปาฏิหาริย์เพื่อเพิ่มความศรัทธาและน่าเชื่อถือลงไป อะไรที่พิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ หรือจับต้องไม่ได้ ตอนนั้นมีความรู้สึกว่า เราจะไม่เชื่อ"

เป็นความคิดที่หลายคนบนโลกใบนี้ เชื่อและคิดอย่างเธอ แล้วคุณล่ะคิดอย่างไร..??

               แต่แล้วในที่สุด วันร้ายคืนร้ายก็มาถึง เธอล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน ด้วยโรคหมอนรองกระดูกแตก โดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งเจ็บปวดทรมานมากถึงขั้นเดินไม่ได้ เธอต้องเข้ารับการผ่าตัดและนอนพักฟื้นอย่างยาวนาน ฉีดยาเข้าช่องไขสันหลังเพื่อบรรเทาอาการปวด ก็ยังไม่หาย แม้แต่อาจารย์หมอที่ว่าเก่งๆ ที่เชี่ยวชาญมากทั่วทั้งโรงพยาบาล มารุมวินิจฉัยดูอาการ ก็ยังไม่มีใครรักษาเธอได้

               "รักษามาทุกวิธีแล้ว จนรู้สึกท้อแท้หมดหวัง เหมือนหมดหวังทุกอย่างในชีวิต กินยาก็แพ้กินไม่ได้ ทรมานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน น้ำหนักลดจาก ๔๗ กิโลฯ เหลือ ๔๒ กิโลฯ ภายใน ๒-๓ วัน จนอาจารย์หมอมาพูดกับเราว่า "ให้ทนอย่างนี้อีก ๑๐ ปี ทนอีก ๑๐ ปีนะ แล้วเราก็จะชินไปเอง" ได้ยินประโยคนี้ เรารับไม่ได้ เลยหันกลับมาตั้งสติหยุดคิดว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตหรือนี่..!! ผ่าตัดก็ไม่หาย ฉีดยาเข้าช่องไขสันหลัง น้ำไขสันหลังก็รั่ว กินยาก็แพ้ อาจารย์หมอทุกคน เพื่อนหมอด้วยกันมารักษาดูอาการเราหมด เราก็ยังไม่หาย เราเองก็เป็นหมอด้วย มันช่างไม่ตรงไปตรงมาเสียเลย หมอเก่ง น่าจะรักษาหายก็กลับไม่หาย แล้วทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดขึ้นกับเรา ทำไมต้องเป็นเรา..."

               วิชาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ว่าแน่ วิชาหมอที่เธอเรียนมาเกือบ ๑๐ ปี แม้แต่สาเหตุที่แท้จริงของการป่วยของเธอก็หาไม่พบ ซ้ำบอกกับเธอได้เพียงว่า ให้เธอทนรออีก ๑๐ ปี แล้วจะชินไปเอง

น่าจะมีเบื้องหน้า เบื้องหลังอะไร ที่ยิ่งใหญ่มากกว่านี้ แล้วสิ่งนั้นคุณคิดว่าคืออะไรกันแน่

               "ความรู้สึกเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์ตอนนั้นลดลงไปเลย เพราะเราสู้มาทุกทาง ใช้เทคโนโลยีที่ว่าทันสมัยทุกอย่างรักษามาหมด กลับสู้ไม่ได้ โชคดีที่ช่วงนั้นคุณน้ามาแนะนำให้เราใช้พุทธศาสตร์เข้าช่วย ในเมื่อเราลองมาทุกทางแล้วนี่ ไม่มีอะไรดีขึ้น ก็เลยหันมาศึกษาธรรมะ ลองหัดทำสมาธิปฏิบัติธรรม ทำบุญทุกบุญไม่ขาด โดยเฉพาะทุกวันนี้ เราได้ฟัง คำสอนจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย จากโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาทุกวัน จากทีวีดาวธรรม ทำให้เรากระจ่างชัด เข้าใจเบื้องหน้า เบื้องหลังของชีวิตได้มากขึ้น ทำให้เรารู้ว่า เบื้องหลังอาการป่วยของเรามันคือวิบากกรรมที่เราเคยทำเอาไว้ในอดีตนั่นเอง

               ..ก่อนหน้านั้น มีแต่คนบอกว่า คนเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม มาชดใช้วิบากที่เคยทำไว้ ฟังแล้วรู้สึกว่าการเกิดมามันไม่น่าเกิดมาเลยนะ เหมือนเกิดมาเพื่อโดนลงโทษ ฟังแล้วรู้สึกว่าห่อเหี่ยว ทำไมเราไม่มีโอกาสหรือหนทางใดในการแก้ไขเลยหรือ แต่พอมาฟังคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ที่ท่านสอนเราผ่านทางทีวีดาวธรรมทุกวัน เน้นย้ำว่า เราเกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญสร้างบารมี พอรู้เป้าหมายอย่างนี้มันรู้สึกชุ่มชื่นใจ เกิดมาเหมือนชีวิตมีโอกาสแก้ไขปรับปรุงในสิ่งที่เรายังบกพร่องได้"

การรู้เพียงว่า มันคือวิบากกรรม จะช่วยให้อะไรดีขึ้นบ้าง หากไม่รู้ถึงวิธีการแก้ !!

               ด้วยคำถามนี้เองทำให้เธอประทับใจใน คำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเพิ่มมากขึ้น เพราะท่านสอนถึงวิธีแก้ไขวิบากกรรมจากหนักจะเป็นเบา จากเบาก็จะหาย ถ้าตายก็ไปดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เธอยืนยันว่า วิทยาศาสตร์ และวิชาหมอไม่สอนไว้เลย ซึ่งเธอได้พิสูจน์จุดนี้อย่างเด่นชัดด้วยตัวเอง เพราะอาการของเธอหมดหนทางจะเยียวยาแล้ว แม้กินยายังไม่ได้เพราะแพ้ยา จึงรักษาด้วยการทำบุญ การรักษาศีล ทำสมาธิ และอธิษฐานจิต ในที่สุดเธอพบว่าอาการป่วยดีขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งสามารถมาทำงานเป็นคุณหมอได้ดังเดิม

               "จากเมื่อก่อนไม่เคยคิดว่า พุทธศาสตร์จะเป็นศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ขนาดนี้ ก่อนนั้นคิดเสมอว่า เป็นสิ่งที่เหลือเชื่องมงาย แต่พอได้มาฟังมาศึกษากลับพบว่า วิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ ที่ยังล้าหลังอยู่มาก อย่างเราเอง เรียนหมอ วิชาแพทย์ก็อธิบายได้แค่การเกิดของคน กระทั่งตาย แต่ก่อนเกิดและหลังตาย วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้ การเจ็บป่วย ทางการแพทย์ เช่น โรคมะเร็ง ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารพัดโรค ทางการแพทย์เองก็ไม่สามารถบอกได้แน่ชัด บอกได้แต่สมมติฐานและพยาธิสภาพรวมๆ ว่ามาจากหลายสาเหตุ แต่พอมาศึกษาพุทธศาสตร์จาก Case Study (กรณีศึกษาเรื่องกฎแห่งกรรม) ที่เขียนมาถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการทำสมาธิ สามารถตอบได้หมดถึงสาเหตุต้นตอของโรคว่า เป็นโรคนี้ เพราะกรรมอะไร จากชาติไหน และต้องแก้ไขอย่างไร ซึ่งตัวเราเองอัศจรรย์ใจมาก"

               ทุกวันนี้เธอเชื่อมั่นถึงการมีจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติแล้วสามารถเดินได้ ๗ ก้าวจริงๆ จากการได้ศึกษาพุทธประวัติการสร้างบารมีของพระพุทธองค์ในแต่ละชาติ ว่ากว่าพระองค์จะวิเศษขนาดนี้ เพราะพระองค์ทรงสร้างบารมีมาอย่างยาวนานๆ มากถึง ๒๐ อสงไขย กับแสนมหากัป จนกระทั่งในชาติสุดท้าย ได้ลักษณะของกายมหาบุรุษครบถ้วน ๓๒ ประการ จึงมีสภาพร่างกายพิเศษ ทำในสิ่งที่เหนือมนุษย์สามัญทั่วไปจะทำได้ ส่วนเด็กปัจจุบันที่คลอดออกมายังไม่เคยพบลักษณะพิเศษที่ได้กายมหาบุรุษเลย จึงทำไม่ได้ และมากไปกว่านั้น พระองค์สามารถระลึกชาติสอนสัตวโลก สามารถอธิบายการเกิด ตั้งแต่ก่อนมาเกิด พยาธิสภาพขณะอยู่ในครรภ์จนคลอดได้อย่างละเอียดชัดเจนเอามากๆ ทั้งๆ ที่สมัย ๒,๕๐๐ กว่าปี ที่ผ่านมา ยังไม่มีเทคโนโลยีไฮเทคใดๆ บอกให้เห็นภาพได้ถึงขนาดนั้น แต่พระองค์สามารถเห็นสิ่งเหล่านี้ได้จากการทำสมาธิ ซึ่งมีบันทึกเป็นหลักฐานไว้ในพระไตรปิฎกมายาวนานกว่า ๒,๕๐๐ แล้ว

               "พอมาถึงทุกวันนี้ เมื่อมองย้อนไปก็รู้สึกตลกตัวเองไม่หาย ว่าทำไม เราหลงคิดผิดๆ ด้วยมานะทิฏฐิอยู่ได้ตั้งนาน ไม่ยอมเปิดโอกาสให้กับตัวเองได้ลองศึกษาก่อน พอมาศึกษาจริงจึงได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ต่อให้วิชาอื่นทางโลกที่ว่าเจ๋งๆ ไม่รู้ก็ยังไม่เป็นไร แต่หากพุทธศาสตร์ไม่เรียนรู้แล้วไม่สามารถเอาตัวรอดอย่างปลอดภัยในวัฏสงสารได้ เพราะวิชานี้สอนให้เราเลือกและเลี่ยงได้ สอนให้เรารู้ว่า ตอนเรามีชีวิตอยู่ขณะนี้เราต้องดำเนินไปอย่างไร ถึงจะมีชีวิตที่ดีขึ้น หลังตายแล้วเราเลือกได้ว่าจะไปไหน จากการกระทำในปัจจุบัน แล้วยังสอนวิธีการลิขิตชีวิตตัวเองได้ข้ามชาติ ว่าเราต้องการให้ชีวิตในชาติหน้าเป็นอย่างไร และมีวิธีการแก้ไขอดีตที่ผิดพลาดที่หลงไปทำบาปมาแล้วได้อย่างไร ตลอดจนวิธีการกำจัดกิเลส- อาสวะให้หมดสิ้นไป ไม่ต้องเกิดอีกจะต้องทำอย่างไร ซึ่งสิ่งนี้เราเรียนรู้ได้จากการดูรายการธรรมะผ่านดาวธรรม ค่อยๆ ศึกษาสิ่งเหล่านี้ไป แล้วเราก็จะเข้าใจชีวิตเพิ่มมากขึ้น และมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแตกต่างอย่างที่ตัวหมอเองได้ประสบมา

               ..หมอว่าจำเป็นนะ ในเมื่อเราไม่ได้มีชีวิตอยู่แค่ชาตินี้ชาติเดียว แต่เรายังต้องเกิดอีกนับชาติไม่ถ้วน หากเรายังไม่หมดกิเลส แล้วในเมื่อเรายังต้องเกิดอีกหลายชาติ ทำไมเราไม่เลือกที่จะเตรียมความพร้อมไว้ชาติหน้า เพื่อจะได้ไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องรันทดใจเหมือนชาตินี้อีก ถ้าชาติหน้าเกิดมาดี จะได้ไม่ต้องกังวลใจ ลุยสร้างความดี สร้างบุญ สร้างบารมีอย่างเดียว และเมื่อบารมีเราเต็มเปี่ยมเมื่อไร เราก็ไม่ต้องเกิดอีกแล้วไม่ต้องมาทุกข์กันอีก..."

               หลังจากติดดาวธรรมที่บ้าน พอคุณพ่อคุณแม่ และคนในบ้านของเธอได้ดูทุกวัน ทำให้เลิกขายบุหรี่ได้ ทั้งๆ ที่เป็นเจ้าใหญ่เจ้าหนึ่งในอำเภอ เพราะได้เรียนรู้ว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งไม่ดี มอมเมาเยาวชน เหมือนเผาเงินไปเล่นๆ และด้วยกรรมที่ขายของพวกนี้ ตายแล้วต้องไปใช้กรรมในมหานรกขุมต่างๆ แถมเกิดชาติหน้า ด้วยกรรมที่ส่งเสริมให้คนติดบุหรี่ ก็จะเจอแต่สภาพแวดล้อมที่มีพี่น้องที่เป็นขี้ยา ครอบครัวไม่มีความสุข ลูกหลานผลาญทรัพย์ไปใช้ในทางอบายมุข

               ปัจจุบัน คุณพ่อคุณแม่ พี่น้องที่บ้านต่างเข้าใจวัด สนใจปฏิบัติธรรมมากขึ้น จากเมื่อก่อนไม่เข้าใจ และไม่สนใจธรรมะเท่าที่ควร พอติดดาวธรรม เหมือนมีพระเดชพระคุณ-หลวงพ่อไปสอนถึงที่บ้านทุกวัน ธรรมะก็ค่อยๆ ซึมซับขัดเกลาจิตใจ และเป็นที่พึ่งทางใจให้กับตัวเองได้

               "แปลกมาก ตั้งแต่ที่บ้านติดจานดาวธรรม เมื่อก่อนเราชวนเขามาทำบุญที่วัดได้ยากมาก เดี่ยวนี้เขาชวนกันเอง อย่างพี่น้องฝ่ายแม่ พองานบุญที่วัด ก็ชวนกันมาครบทั้ง ๑๑ คน ไม่เคยมีปรากฏการณ์แบบนี้มาก่อนเลย รู้สึกว่า ตั้งแต่ติดจานดาวธรรม มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นมากทั้งกับตัวเองและครอบครัวอย่างเห็นได้ชัด แล้วอย่างนี้จะว่าธรรมะเป็นสิ่งงมงายและเป็นส่วนเกินของชีวิตที่คิดว่ามีพร้อมในทุกสิ่งได้อย่างไร..."

               ในฐานะที่เธอมีอาชีพหมอ เธอคิดว่า การติดจานดาวธรรมถ่ายทอดธรรมะไปถึงบ้านมีประโยชน์มากไปกว่าที่ได้พูดไว้แล้วคือ

               "เดี๋ยวนี้สังเกตเห็นได้ชัดเจนว่า เด็กที่ฝากท้องกับหมอ อัตราของเด็กวัยรุ่น ๑๖-๑๗ ปีกำลังเป็นวัยเรียนเพิ่มสูงกว่าเมื่อก่อนมาก บางคนมาขอร้องให้หมอทำแท้งให้ ซึ่งเรา ก็ให้ความรู้เขาว่ามันเป็นบาปอย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อสอนไว้ จะสังเกตเห็นว่า ปัญหาเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้นมากซึ่งเป็นเพราะอะไร หรือเป็นเพราะสังคมปัจจุบัน พ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยทีวี เด็กซึมซับและมีพฤติกรรมอะไร ได้รับอิทธิพลจากทีวีสูงมาก เราอยากจะให้ลูกเราเป็นอย่างนั้นหรือ แต่หากมีทีวีสักช่องหนึ่งที่จะเสนอแต่สิ่งที่ดีๆ สอนสิ่งที่ถูกที่ควร และแนะนำสิ่งที่ถูกต้องให้กับลูกเรา เราจะไม่ลองเลือกเชียวหรือ จากเดิมหมอเองก็ไม่เห็นความสำคัญจากสิ่งนี้มาก่อน แต่พอตอนหลังเราให้โอกาสกับตัวเองอะไรที่ดีๆ ก็เกิดขึ้น หมอได้คิดว่า แม้ว่าเราจะมีความรู้สูง ฉลาด ก็อย่าฉลาดอย่างงมงายอย่างที่หมอเคยเป็นมาก่อน คือ ไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้มาศึกษาก่อน แถมยังปิดกั้นสิ่งเหล่านั้นไว้ นั่นจะทำให้เราไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ดีที่สุดไปตลอดชีวิตเลยก็ได้

               คนเราอาจผิดพลาดในชีวิต คิดผิดด้วยความยึดมั่นในความรู้ และความพร้อมของตัวเองได้ก็จริง แต่สิ่งที่เราไม่ควรผิดพลาดเลยสำหรับชีวิตนี้ก็คือ การปิดกั้นตัวเองจากสิ่งที่ยังไม่ได้ลองศึกษา แล้วด่วนสรุปด้วยตัวเองแทนการลงมือพิสูจน์"

               "การติดจานดาวธรรมที่บ้าน" ทางเลือกใหม่ ในการเปิดโอกาสให้คุณศึกษาวิชาที่สำคัญและจำเป็นที่สุดในชีวิต เพื่อคนที่คุณรัก และตัวคุณเอง

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล