ฉบับที่ ๒๕ ประจำเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๗

พุทธประวัติ การเสด็จอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนา พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)

กาลเวลาที่เรียกว่า อสงไขย คือ การกำหนดเวลาที่จะนับจะประมาณไม่ได้ ซึ่งมีอุปมาเปรียบเทียบไว้ว่า

เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนา พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)



               พระพุทธเจ้าทั้ง ๓ ประเภทนั้น จะต้องใช้ระยะเวลาในการสร้างบารมีที่ยาวนานมาก อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า ๒๐ อสงไขย กับอีกแสนมหากัป จนกระทั่งในพระชาติสุดท้ายของพระพุทธองค์ จึงได้รับพระนามว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ต้องมีบารมีเต็มเปี่ยม ถึงจะเป็นผู้นำในการหลุดพ้นจากภพนี้ไปได้ ดังนั้นกว่าจะมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เดิมพระองค์ก็เป็นปุถุชนธรรมดาเหมือนอย่างพวกเรา แต่ความคิดนั้นไม่เหมือนกัน ความคิดของพระองค์ใหญ่กว่ายิ่งใหญ่คนทั่วๆ ไปคิดแค่ยิ่งใหญ่ แต่ของพระองค์คิดใหญ่ยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเสด็จอุบัติขึ้นบนโลกนี้คราวใด ในกาลนั้นย่อมเรียกว่า อสุญญกัป แปลว่า มหากัปที่ไม่ว่างเปล่าจากมรรคผลนิพพาน

               ทีนี้มีสิ่งที่น่าศึกษาว่า พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์จะไม่เสด็จอุบัติในภพภูมิอื่น หรือในทวีปอื่น แต่จะเสด็จอุบัติขึ้นเป็นมนุษย์ที่ชมพูทวีปเท่านั้น ทวีปในที่นี้หมายถึง ทวีปหรือโลกที่อยู่รอบๆ เขาพระสุเมรุในทิศทั้ง ๔ ได้แก่ ชมพูทวีป อุตตรกุรุทวีป อปรโคยานทวีป ปุพพวิเทหทวีป

               เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลกคราวใด ในกาลนั้นเรียกว่า อสุญญกัป แปลว่า มหากัปที่ไม่ว่างเปล่าจากมรรคผลนิพพาน

ใน ๑ มหากัป มีระยะเวลาที่ยาวนานมาก แต่ก็ไม่แน่ว่า พระพุทธเจ้าจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลกนี้ทุกมหากัปเสมอไป
ซึ่งบางมหากัปก็ไม่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น
การที่บุคคลผู้ทรงคุณวิเศษเป็นนิยตโพธิสัตว์ จะเสด็จมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้นเป็นการยากมาก
แต่เมื่อนิยตโพธิสัตว์ได้เสด็จมาอุบัติขึ้นบนโลกนี้ เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในมหากัปใด มหากัปนั้นย่อมไม่ว่างเปล่าจากคุณวิเศษอันยิ่งใหญ่ คือมรรคผลนิพพาน


 

               ใน ๑ มหากัป มีระยะเวลาที่ยาวนานมาก แต่ไม่แน่ว่า พระพุทธเจ้าจะเสด็จอุบัติขึ้นในโลกนี้ทุกมหากัปเสมอไป บางมหากัปไม่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น เพราะฉะนั้นการที่บุคคลผู้ทรงคุณวิเศษเป็นนิยตโพธิสัตว์จะเสด็จมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้นจึงเป็นการยากมาก
มหากัปจำแนกออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ

               ๑. สุญญกัป หมายถึง มหากัปที่ว่างเปล่าจากมรรคผลนิพพาน คือ ไม่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก แม้เพียงพระองค์เดียว แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระเจ้าจักรพรรดิก็ไม่บังเกิดขึ้น
ในสุญญกัปนี้ย่อมว่างเปล่าจากบุคคลผู้ทรง คุณวิเศษ และไม่มีมรรคผลนิพพานปรากฏขึ้น

               ๒. อสุญญกัป หมายถึง มหากัปที่ไม่ว่างเปล่าจากมรรคผลนิพพาน คือ มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติในโลก ถึงแม้มีเพียงพระองค์หนึ่งก็ถือว่าเป็น อสุญญกัป
อสุญญกัปนี้ ยังมีชื่อเรียกตามจำนวนของพระพุทธเจ้าที่เสด็จอุบัติขึ้นอีก มี ๕ ประเภท คือ

มหากัป จำเเนกออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ
คือ ๑. สุญญกัป ๒. อสุญญกัป
๑. สุญญกัป หมายถึง มหากัปที่ว่างเปล่าจากมรรคผลนิพพาน คือไม่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก แม้เพียงพระองค์เดียว
 
 
อสุญญกัป หมายถึง มหากัปที่ไม่ว่างเปล่า จากมรรคผลนิพพาน คือมีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ถึงแม้มีเพียงหนึ่งพระองค์ ในมหากัปก็ถือว่าเป็น อสุญญกัป
ในอสุญญกัป ยังมีชื่อเรียกตามจำนวนของ พระพุทธเจ้าที่เสด็จอุบัติขึ้น ๕ ประเภท คือ
สารกัป หมายถึง มหากัปที่มีแก่นสาร เป็นมหากัปที่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ๑ พระองค์
 

               ๑. สารกัป หมายถึง มหากัปที่มีแก่นสาร เป็นมหากัปที่มีพระพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติขึ้น ๑ พระองค์

               ๒. มัณฑกัป หมายถึง มหากัปที่มีความผ่องใส เป็นมหากัปที่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ๒ พระองค์

               ๓. วรกัป หมายถึง มหากัปที่ประเสริฐ เป็นมหากัปที่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ๓ พระองค์

               ๔. สารมัณฑกัป หมายถึง มหากัปที่ประเสริฐกว่า และมีแก่นสารมากกว่ากัปก่อนๆ
เป็นมหากัปที่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ๔ พระองค์

               ๕. ภัทรกัป หมายถึง มหากัปที่เจริญที่สุด และเกิดขึ้นได้ยากที่สุด เป็นมหากัปที่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ๕ พระองค์ ซึ่งถือว่ามีจำนวนมากที่สุด และจะไม่มีมากกว่าในภัทรกัปนี้อีกแล้ว

มัณฑกัป หมายถึง มหากัปที่มีความผ่องใส เป็นมหากัปที่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ๒ พระองค์
วรกัป หมายถึง มหากัปที่ประเสริฐ เป็นมหากัปที่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ๓ พระองค์
สารมัณฑกัป หมายถึง มหากัปที่ประเสริฐกว่าและมีแก่นสารมากกว่ากัปก่อนๆ เป็นมหากัปที่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ๔ พระองค์
ภัทรกัป หมายถึง มหากัปที่เจริญที่สุด และเกิดขึ้นได้ยากที่สุด เป็นมหากัปที่มีพระพุทธเจ้า เสด็จอุบัติขึ้น ๕ พระองค์ ซึ่งถือว่า มีจำนวนมากที่สุด และจะไม่มีมากกว่าในภัทรกัปนี้อีกแล้ว ในมหากัปปัจจุบันที่เราอยู่นี้ เป็นภัทรกัป ซึ่งถือว่า เป็นมหากัปที่เจริญที่สุด เพราะมีพระพุทธเจ้าเสด็จ อุบัติขึ้นมากที่สุดถึง ๕ พระองค์
 

               ในมหากัปปัจจุบันที่เราอยู่นี้มีชื่อว่า ภัทรกัป ซึ่งถือว่าเป็นมหากัปที่เจริญที่สุด เพราะมีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมากที่สุดถึง ๕ พระองค์

               พระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ ได้แก่ ๑. พระกกุสันธพุทธเจ้า ๒.พระโกนาคมนพุทธเจ้า ๓.พระกัสสปพุทธเจ้า ๔.พระสมณโคดมพุทธเจ้า ๕.พระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้า
ปัจจุบันนี้เรากำลังอยู่ในยุคของพระสมณโคดมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระองค์ที่ ๔ ในภัทรกัปนี้ ในยุคหน้าจะเป็นสมัยของพระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ ได้แก่ ๑.พระกกุสันธพุทธเจ้า ๒.พระโกนาคมนพุทธเจ้า ๓.พระกัสสปพุทธเจ้า ๔.พระสมณโคดมพุทธเจ้า ๕.พระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า
ปัจจุบันนี้เรากำลังอยู่ในยุคของพระสมณโคดมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระองค์ที่ ๔ ในภัทรกัปนี้
ในยุคหน้าเป็นสมัยของพระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้า
 

               พระพุทธเจ้าจักเสด็จอุบัติขึ้นมาครั้งละ ๑ พระองค์ บางอุปมากล่าวว่า เหมือนกับเรือลำหนึ่งที่สามารถนั่งได้เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น แต่ถ้ามีอีกคนหนึ่งมานั่งบนเรือลำเดียวกัน เรือก็ต้องล่มจมลงในแม่นํ้าอย่างเเน่นอน นั่นเป็นอุปมา ของพวกมีบาปมาเกิด ถ้าผู้มีบุญมาเกิดพร้อมกัน มีแต่ยิ่งนั่งเรือยิ่งลอยขึ้นไป

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจักเสด็จอุบัติขึ้นมา ครั้งละ ๑ พระองค์
เมื่อพระพุทธองค์เสด็จอุบัติขึ้นมา ย่อมยังสรรพสัตว์ ให้พ้นจากการเป็นบ่าว เป็นทาสของพญามาร ดังนั้นพญามารจึงพยายามกีดกัน ไม่ให้เสด็จอุบัติขึ้นมาพร้อมกันหลายพระองค์
อุปมาดัง มหานาวา เมื่อบังเกิดขึ้น ย่อมนำสรรพสัตว์ให้พ้นจากห้วงนํ้าและปลาร้าย เมื่อมีมากลำก็ยิ่งนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้พ้นจากทุกข์ได้มากเท่านั้น
 

               หรือบางอุปมากล่าวว่า ถ้ามาตรัสรู้พร้อมกัน ๒ พระองค์ บริษัททั้ง ๔ จะทะเลาะกันว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้เก่งกว่าอีกพระองค์หนึ่ง นั่นเป็นอุปมาของมนุษย์มีกิเลสคิด แต่ในยุคที่พระพุทธเจ้าทรงบังเกิดขึ้นพร้อมกัน ๒ พระองค์ แสดงว่าเป็นยุคของผู้มีบุญมาเกิด บุคคลเหล่านี้เขามีความคิดสอนตนเองได้ เขาจะไม่คิดเอาอาจารย์ของตัวไปข่มอาจารย์อีกองค์หนึ่ง มีแต่จะชื่นชม แล้วพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก็จะสอนว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าแต่ละพระองค์นั้นเสมอกันทั้งคุณธรรมและคุณวิเศษ แต่ต่างกันที่ระยะเวลาที่สร้างบารมีเท่านั้น พระองค์จะกล่าว ยกย่องซึ่งกันและกันว่า พระคุณของพระตถาคตแต่ละพระองค์นี่ แม้แต่พระตถาคตผู้มีดวงปัญญามาก มีพระสัพพัญญุตญาณ ก็ยังไม่อาจจะกล่าวได้ครบถ้วน เพราะฉะนั้นจะมาคิดเองว่า ถ้ามาเกิดพร้อมกัน เดี๋ยวเถียงกัน ทะเลาะกัน นั่นเป็นความเห็นของมนุษย์ผู้มีกิเลส

ดังนั้นพญามารจึงพยายามกีดกัน ทำให้พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นทีละพระองค์เท่านั้น
        
               เพราะฉะนั้น อุปมานี้ในทรรศนะของโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา มีความเห็นว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมา ย่อมยังสรรพสัตว์ให้พ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร ดังนั้นพญามารจึงพยายามกีดกันไม่ให้เสด็จอุบัติขึ้นมาพร้อมกันหลายพระองค์ ลองคิดดูว่าถ้าองค์หนึ่งสอนกลางคืน องค์หนึ่งสอนกลางวัน เพราะว่ากายมนุษย์ก็ยังมีข้อจำกัด ต้องพักผ่อน ก็จะโปรดสรรพสัตว์ได้มาก

               อุปมาดัง มหานาวา เมื่อบังเกิดขึ้นย่อมนำสรรพสัตว์ให้พ้นจากห้วงน้ำและปลาร้าย เมื่อมีมากลำก็ยิ่งนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้พ้นจากทุกข์ได้มากยิ่งขึ้น
บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล