กำหนดการดังนี้
10:20 น. พร้อมกันที่หอฉันคุณยายอาจารย์ ฯ
10.30 น. ประธานสงฆ์มาถึงศูนย์กลางพิธี/คณะสงฆ์ขึ้นเสตท
- พิธีกรอาราธนาศีล/อาราธนาธรรม
- คณะสงฆ์สวดพระพุทธมนต์
- พิธีทอดผ้าบังสุกุล
- พิธีกล่าวคำถวายมะตะกะภัตตาหาร (ปุพพเปตพลี)
- เจ้าภาพประเคนภัตตาหารเพล
- สาธุชนรับประทานอาหาร
12:00 น. เจ้าภาพถวายเครื่องไทยธรรม คณะสงฆ์ให้พร
12:20 น. เสร็จพิธี
12.25 น. ร่วมกิจกรรมสืบสานวัฒนธรรมคุณยายฯ/เก็บงานบุญ(เสื่อ,ไทยธรรม)
ติดต่อสอบถามรายละเอียด 083-5405006,082-7006420,088-0026379
คำอุทิศบุญกุศล
"อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย"
แปลว่า
"ขอผลบุญนี้ จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพระเจ้า ขอญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด"
คำอธิษฐานจิต อุทิศบุญกุศล
(หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส.)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 ครั้ง)
วันนี้วันดี เป็นวันพระชัยศรี มีพุทธบริษัททั้งหลายมาร่วมบำเพ็ญบุญกุสล อีกทั้งเหล่าพระภิกษุสงฆ์ได้ทบทวนพระธรรมวินัย ประพฤติวัตร ในอุโบสถทบทวนพระปาติโมกข์
ขอบุญกุศล ที่ข้าพเข้าทั้งหลาย ได้กระทำไว้ดีแล้วนี้ น้อมถวายเป็นกตัญญูบูชา แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกทั้งมหาปูชนียาจารย์ และขออุทิศกุศลผลบุญ ที่ข้าพระเจ้าทั้งหลายได้กระทำไว้ดีแล้วนี้ แด่บิดามารดา ครูบาอาจารย์อีกทั้งบริวารญาติมิตร และผู้มีพระคุณทั้งหลาย ทั้งเหล่าสรรพสัตว์ทั้งปวง
สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น
อะเวรา จะเป็นสุขเป็นสุขเถิดอย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
อัพยาปัชฌา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิดอย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
อะนีฆา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิดอย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขการสุขใจรักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด
ท่านทั้งหลาย ที่ท่านได้ทุกข์ ของให้ท่านมีความสุขท่านทั้งหลาย ที่ท่านได้สุข ของให้สุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป ของความปรารถนาทั้งปวง ของข้าพเจ้าทั้งหลาย จงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ เป็นอัศจรรย์ทันใดและติดตามตัวไป ทุกภพทุกชาติ ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรมเทอญ นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ
พิธีปุพพเปตพลี เป็นการทำบุญที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ดังเช่นครั้งหนึ่ง พระเจ้าพิมพิสารราชาแห่งแคว้นมคธ ได้กราบทูลอาราธนาสมเด็จพระศาสดาและนิมนต์คณะสงฆ์ไปรับมหาทานที่พระราชนิเวศน์ เพื่อทำพิธีอุทิศส่วนกุศลแก่หมู่ญาติของพระองค์ เมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว พระเจ้าพิมพิสารทรงถวายผ้าและไทยธรรมต่างๆ และทรงอุทิศพระราชกุศลแก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ
ในครั้งนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบันดาลให้พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยบริวารเห็นว่าหมู่ญาติที่ไปเกิดเป็นเปรตทั้งหลายมีสภาพเช่นไร หลังจากได้รับผลบุญที่อุทิศไปให้แล้ว กล่าวคือ ในขณะที่พระเจ้าพิมพิสารทรงหลั่งน้ำทักษิโณทกนั้น มีสระโบกขรณีที่เต็มไปด้วยดอกปทุมอันสวยงามบังเกิดขึ้นในบรรดาเปรตเหล่านั้นได้ดื่มกินน้ำและอาบชำระล้างร่างกาย เมื่อดื่มแล้วก็บรรเทาความกระหาย เมื่ออาบแล้วก็มีผิวพรรณเหลืองอร่ามดุจทองเนื้องาม ร่างกายที่พิกลพิการก็กลับคืนดังคนปกติ และเมื่อได้รับอาหารคาวหวานที่เป็นทิพย์ ก็ทำให้ร่างกายที่ผ่ายผอมมีน้ำมีนวล อิ่มเอิบ
อย่างไรก็ตาม ฝูงเปรตเหล่านั้นยังมิได้มีผ้านุ่งผู้ห่ม พระเจ้าพิมพิสารจึงกราบทูลถามพระบรมศาสดาว่าจะทำประการใด พระพุทธองค์ตรัสว่า ให้ถวายผ้าสบง จีวรและผ้านิสีทนะแด่พระภิกษุทั้งหลาย พระเจ้าพิมพิสารจึงรับสั่งให้บริวารจัดหาผ้านุ่ง ผู้ห่ม ผ้ารองนั่งมาถวายแด่คณะพระภิกษุซึ่งมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข แล้วทรงอุทิศผลบุญนั้นแก่หมู่เปรต เมื่อเปรตทั้งหลายได้รับผลบุญแล้วจึงเปล่งสาธุการ และพากันเข้าไปอยู่ในวิมาน เมื่อพระเจ้าพิมพิสารได้เห็นอานิสงส์ของการให้ทานและการอุทิศผลบุญแก่หมู่ญาติก็ทรงมีความรื่นเริงยินดี เลื่อมใสศรัทธาในการทำทานมากยิ่งขึ้น
ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาทรงอนุโมทนาด้วยพระคาถาอันปรากฏในติโรกุฑฑสูตรตอนหนึ่งว่า
อทาสิ เม อกาสิ เม ญาติมิตฺตา สขา จ เม เปตานํ ทกฺขิณํ ทชฺชา ปุพฺเพ กตมนุสฺสรํ ฯ
ซึ่งหมายถึงว่า เมื่อบุคคลระลึกถึงความดีของบุพการีตลอดจนญาติมิตรผู้มีพระคุณที่ล่วงลับไปแล้วทั้งหลาย พึงทำบุญอุทิศไปให้ เพราะบุญย่อมก่อให้เกิดประโยชน์และความสุขยิ่งกว่าการร้องไห้พิไรรำพัน นอกจากนี้ ยังได้ชื่อว่าเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีและเป็นการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาอีกด้วย