Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
ตอน โปริสาท ตอนที่ 15
มีธรรมะภาษิตที่ปรากฎอยุ่ในขุททกนิกายสุตตโสมชาดก ว่า
รสเหล่าใดที่มีอยู่ในแผ่นดิน ความสัตย์ดีกว่ารสเหล่านั้น เพราะสมณะพรามณ์ที่ตั้งอยู่ ในความสัตย์ย่อมข้ามฝั่งแห่งชาติและมรณะเสียได้ เมื่อสรรพสัตว์สามารถข้ามฝั่งแห่งการเกิดและการตายได้แล้วย่อมไปสู่ฝั่งแห่งพระนิพพานอันเป็นอมตะ
พระนิพพานเป็นธรรมธาตุที่มีแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ ผู้ที่หวังมรรคผลนิพพานเป็นแก่นสาร จะต้องมีความสัตย์จริงเหนือสิ่งอื่นใด ผู้ยึดเอาความจริงเป็นหลักในการดำเนินชีวิตจะพบแต่ความสำเร็จ เป็นที่เชื่อถือของคนที่ได้พบเห็น ผังของความเป็นคนจริงก็จะติดตัวเราไปตลอดทุกภพทุกขาติ เมื่อรับคำว่าจะทำอะไรก็ไม่เคยให้คนอื่นผิดหวัง ไม่โกหกหลอกลวง
พลังแห่งความสัตย์นี้จะทำให้เป็นบุคคลที่ศักดิ์สิทธิ์ คือเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์ มีอานุภาพ พูดจาอะไรก็จะเป็นไปตามนั้น เปล่งวาจาอะไรก็จะสำเร็จหมด ถึงคราวจะแนะนำสั่งสอนให้คนอื่นทำความดีก็มีวาจาเป็นสุภาษิต พูดโน้มน้าวให้คนอื่นอยากปฏิบัติตาม เหมือนดังเรื่องพระเจ้าสุตโสมบรมโพธิสัตว์ผู้รักษาความสัตย์ยิ่งชีวิต
ตอนที่แล้วโจรโปริสาทขอฟังสตารหาคาถา แต่กลับถูกพระเจ้าสุตโสมกล่าวหาว่าเป็นผู้ไม่ประพฤติธรรมจึงไม่สมควรฟังธรรม โจรโปริสาทแม้รู้ว่าตนบริโภคเนื้อต้องห้ามก็ไม่ยอมรับผิด กลับโต้แย้งว่า “พระองค์พ้นจากเงื้อมือข้าพเจ้าแล้วไปถึงราชมณเฑียร ทรงอภิรมย์ด้วยกามคุณแล้วยังกลับมาหาความตายอีก พระองค์เป็นผู้ไม่ฉลาดในขัตติยะธรรมเลย”
คำพูดนี้หมายความว่าพระเจ้าสุตโสมนั้นมีชื่อเสียงเลื่องลือระบือไปในโลกว่าเป็นบัณฑิต ฉลาดทั้งความเสื่อมและความเจริญ ส่วนโจรโปริสาทกลับมองเห็นว่าพระองค์ไม่เป็นบัณฑิต เป็นคนโง่ไม่สมกลับที่ชาวเมืองยกย่องเชิดชู เพราะไม่รู้จักรักษาชีวิตอันมีค่าเอาไว้ ดังที่คนทั่วไปกล่าวว่า รักษาตัวรอดเป็นยอดดี
แต่พระโพธิสัตว์ทรงเห็นว่าการเอาตัวรอดอย่างนั้นไม่ใช่ทางรอดที่ถูกต้องสมบูรณ์ ควรจะรอดจากอบายภูมิหรือภพสามต่างหาก เพราะความตายไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่ชีวิตหลังความตายของคนที่ไม่มีสัจจะ ไม่ประพฤติกุศลกรรมบทให้บริบูรณ์ต่างหากเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า จึงตรัสแย้งว่า
“ดูก่อนสหาย คนที่ฉลาดในขัตติยธรรมควรเป็นเช่นตัวเรานีแหละ เพราะเรารู้จักขัตติยธรรมจึงไร้ขัตติยมานะ ชนเหล่าใดไม่ฉลาดในขัตติยธรรม ขนเหล่านั้นจึงต้องตกนรกกันมากมาย เพราะฉะนั้นเราจึงเป็นผู้รักษาความสัตย์ ได้กลับมาหาท่านอีก เรายอมตายดีกว่าที่จะเสียความสัตย์”
โจรโปริสาทสงสัยว่าความสัตย์นั้นดีกว่าความตายได้อย่างไร จึงถามว่า “ปราสาทราชมณเฑียร แผ่นดิน โคและม้า สตรีที่น่าอภิรมย์ ทั้งผ้าจากแคว้นกาสีและแก่นจันทร์ พระองค์ล้วนได้ในพระนครทุกอย่าง และอะไรทำให้พระองค์ทรงเห็นความสัตย์ดีกว่าความตายเล่า”
พระโพธิสัตว์ตรัสบอกว่า “รสเหล่าใดบรรดาที่มีอยู่ในแผ่นดิน ความสัตย์ย่อมดีกว่ารสเหล่านั้น เพราะสมณพราหมณ์ที่ตั้งอยู่ในความสัตย์ ย่อมข้ามฝั่งแห่งชาติและมรณะเสียได้”
โจรโปริสาทฟังถ้อยคำที่มีความหมายลึกซึ้งนั้นแล้ว รู้สึกซาบซึ้งใจ ได้แต่มองพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์ซึ่งคล้ายกับดอกบัวที่แย้มบาน
ครุ่นคิดว่าท่านสุตโสมนี้ไม่มีอาการหวดกลัวต่อมรณะภัย แม้เห็นเรากำลังถากหลาวอยู่ข้างกองถ่านเพลิงที่กำลังลุกโชนก็ยังเฉยๆ ที่เป็นเช่นนี้คงเป็นเพราะอานุภาพของสตารหาคาถา หรือจะเป็นอานุภาพของความสัตย์ หรือจะเป็นอานุภาพของอะไรกันหนอ ยิ่งคิดก็ยิ่งปรารถนาอยากจะฟังสตารหาคาถา จึงถามว่า
“เมื่อพระองค์พ้นจากเงื้อมือของข้าพาเจ้า ได้เสด็จกลับไปราชมณเฑียรของพระองค์ ทรงเสวยเบญกามคุณแล้ว ทำไมถึงกลับมาสู่เงื้อมหัตถาของมัจจุราชอย่างข้าพเจ้าอีก พระองค์ไม่กลัวตายจริงหรือ พระองค์ผู้ยึดมั่นในความสัตย์ ไม่มีพระทัยท้อแท้หรือหวาดหวั่นต่อปรโลกบ้างเลยหรือ”
พระโพธิสัตว์ตรัสอธิบายให้โจรโปริสาทเข้าใจเพิ่มเติมว่า “กิจการงานต่างๆที่ควรทำ เราได้ทำเสร็จหมดแล้วจึงไม่ได้กลัวตาย คนที่กลัวตายคนที่ไม่ได้ทำความดีอะไรเอาไว้เลย กัลยาณธรรมทั้งหลายเราได้ทำแล้ว”
“ยัญที่ไพบูลย์ซึ่งบัณฑิตสรรเสริญ เราก็ได้บูชาแล้ว ดูก่อนโปริสาทพระชนกชนนีเราก็ได้บำรุงแล้ว ความเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เราก็ปกครองแล้วโดยธรรม ท่านโปริสาท อุปการคุณในหมู่ญาติมิตรเราได้กระทำแล้ว พระราชกรณียกิจเราได้กระทำแล้ว ทางแห่งสุคติโลกสวรรค์เราได้ชำระให้บริสุทธิ์แล้ว”
“คนที่ตั้งอยู่ในธรรม ใครเล่าจะกลัวต่อความตาย มหาทานเราก็ได้ให้แล้วแก่คนจำนวนมาก แม้แต่สมณะพราหมณ์เราก็ได้อุปถัมภ์ให้อิ่มหนำแล้ว เพราะฉะนั้น ด้วยการกระทำเหล่านี้ เราจึงไม่เดือดร้อนที่จะไปสู่ปรโลก ดูก่อนท่านโปริสาท ท่านจงบูชายัญกินเราเสียเถิด”
โจรโปริสาทได้ฟังเช่นนั้นก็รุ่มร้อนหวั่นไหว พอมองย้อนกลับดูตัวเองที่ยังไม่ได้ทำสิ่งดีๆอะไรเอาไว้เลย ถ้าหากตายไปตอนนี้คงต้องไปสู่มหานรกแน่นอน จึงกลัวตายกันอย่างจับจิตจับใจ คิดว่าพระเจ้าสุตโสมพระองค์นี้เป็นสัตยบุรุษ
เราจะกินท้าวเธอศีรษะเราต้องแตกออกเป็นเจ็ดเสี่ยงหรือแผ่นดินจะแยกออกแล้วสูบเราไปสู่มหานรกเป็นแน่ เพราะพระองค์เป็นผู้หนักในธรรม รักธรรมะยิ่งชีวิต สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม ทั้งที่ยังมีคนจำนวนมากยอมละทิ้งธรรมเพื่อรักษาชีวิต
สัตยบุรุษนี้ช่างองอาจ กล้าหาญยิ่งนัก ว่าแล้วก็บอกความในใจให้พระโพธิสัตว์ทราบว่า “คนที่มีสติดีอยู่ ย่อมไม่กล้ากินพิษ ไม่กล้าจับอสรพิษที่มีฤทธิ์รุ่งโรจน์”
“บุคคลใดกินคนที่กล่าวคำสัตย์เช่นพระองค์ ศีรษะต้องแตกเป็นเจ็ดเสี่ยงแน่ๆ” พระเจ้าสุตโสมทรงยืนยันหนักแน่นว่า “เนื้อหนังมังสาของเราไม่มีพิษ ไม่มีภัย เมื่อท่านปรารถนาก็จงกินเถิด”
แต่โจรโปริสาทก็ไม่กล้า เพราะคิดว่าพระเจ้าสุตโสมเป็นเหมือนยาพิษร้ายแรง กลายกินพระองค์ก็เหมือนกินก้อนเหล็กแดงอันร้อนแรง บุคคลที่เป็นบัณฑิตในชมพูทวีปเหมือนพระเจ้าสุตโสมไม่มีอีกแล้ว การที่พระองค์ทรงพ้นเงื้อมมือจอมโจรโปริสาทอย่างเรา ได้สดับสตารหาคาถา ได้ทำสักการะแก่ธรรมกถึก และยังเอามัจจุราชติดหน้าผากกลับมาอีก
พระสตารหาคาถาทรงเป็นไปเพื่อประโยชน์ใหญ่ มีความศักดิ์สิทธิ์ มีอานุภาพเป็นแน่ จิตใจของโปริสาทเริ่มอ่อนโยนลงและเกิดความเคารพเลื่อมใสในธรรมมากขึ้น ได้ทูลอ้อนวอนขอฟังธรรมจากพระโพธิสัตว์ว่า
“นรชนได้ฟังธรรมย่อมรู้จักบุญและบาป ใจของข้าพเจ้าได้ฟังพระคาถา คงจะยินดีในธรรมได้บ้าง ขอได้โปรดแสดงธรรมให้ข้าพเจ้าฟังด้วยเถิด หวังว่าธรรมะของพระองค์จะเป็นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมหลั่งชำระล้างจิตใจของข้าพระองค์ให้พ้นจากมลทินได้บ้าง”