Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
ตอน เลิกตระหนี่ตลอดไป 2
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในขุททกนิกายพุทธองค์ว่า
ทาน ท่านกล่าวว่าเป็นต้นเหตุสำคัญของความสุข เป็นต้น
ทาน ท่านกล่าวว่าเป็นที่ตั้งแห่งบันไดทั้งหลายของการไปสู่พระนิพพาน
ทาน เป็นเครื่องป้องกันของมนุษย์ เป็นเผ่าพันธุ์ เป็นเครื่องนำหน้า
เป็นคติ สำคัญของสัตว์ที่ถึงความทุกข์
ทาน คือ คลังเสบียงของการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
เมื่อเราได้โอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ควรสั่งสมบุญให้ทานในทุกโอกาส การจะได้สมบัติมานั้น มีทางเดียวก็คือต้องเป็นผู้ให้ก่อน ด้วยการบริจาคทาน ไม่หวงแหน ต้องให้เท่านั้นถึงจะได้ ไม่ให้ก็ไม่ได้
จะให้กับสัตว์เดรัจฉานก็ดี จะให้กับมนุษย์ก็ดี หรือจะให้กับผู้ทรงศีล มีศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ จนกระทั่งให้กับผู้ที่ได้ฌานสมาบัติ หรือเป็นโคตรภูบุคคล ตลอดจนเป็นพระอาริยะเจ้า ผู้เป็นทักขินัยบุคคล ถ้าให้ถูกแหล่งแห่งบุญ ถูกเนื้อนาบุญ บุญนั้นก็จะยิ่งให้ผลเกินควร เกิดคาด เป็นอสงไขยอัปปมาณังทีเดียว
ต่อจากตอนที่แล้ว หลังจากท้าวสักกเทวราชได้เสด็จลงมาบนโลกมนุษย์เพื่อทรมานอีลลีสเศรษฐีให้กลับตัวกลับใจ จึงได้แปลงกายเป็นเศรษฐีไปเข้าเฝ้าพระราชา พร้อมกับแจ้งความจำนงว่าขอให้พระราชาได้รับสั่งพวกราชบุรุษไปขนทรัพย์ของตนเข้ามาไว้ใจคลังหลวง
แต่พระราชาทรงปฏิเสธ และรับสั่งให้เอาไปบริจาคท่านแก่คนยากจน เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว ท่านก็ถวายบังคมลา รีบออกเดินทางไปบ้านอีลลีสเศรษฐี พวกคนรับใช้และบริวาร เห็นเศรษฐีกลับมาบ้านแล้วก็พากันห้อมล้อม โดยไม่มีใครสังเกตเห็นว่านี่คืออดีตเจ้าของทรัพย์อย่างแท้จริง
ท้าวสักกะก้ได้บอกกับทุกคนในบ้านว่า “เราเป็นคนตระหนี่มาช้านาน วันนี้เรารู้แล้วว่าการให้ทานเป็นสิ่งที่ดี ขอให้ทุกคนช่วยกันบริจาคทานเถิด” บุตรธิดาและภรรยา รวมทั้งข้าทาสกรรมกร ได้ยินถ้อยคำอันเป็นมงคลเช่นนั้นแล้วก็อานุโมทนาในกุศลและจิตศรัทธาของท่านเศรษฐี
จากนั้นก็บอกให้คนตีกลองร้องป่าวประกาศว่า ใครอยากได้เงินทอง แก้วมณี มุกดา ข้าวปลาอาหาร ก็ให้มารับเอาที่บ้านของอีลลีสเศรษฐีคนยากจนทั้งหลายครั้นได้ยินข่าวแล้วจึงพากันถือถุงกระสอบไปยืนชุมนุมกันที่ประตูบ้าน ท้าวสักกะทรงให้เปิดห้องที่เต็มไปด้วยรัตน ๗ แล้วให้มหาชนช่วยกันคนไป ตามแต่จะสามารถขนไปได้
ชาวบ้านคนหนึ่งก็บอกว่า ตัวเองไม่มีโคเทียมเกวียน ท่านเศรษฐีจำแลงจึงมอบโคคู่ให้ไปพร้อมกับเกวียนคันงาม ให้ขนรัตน ๗ จนเต็มเกวียน เมื่อได้แล้วก็ขับออกไปนอกพระนคร เพื่อเดินทางกลับบ้าน ขณะขับไปก็พรรณนาคุณของท่านเศรษฐีไม่ขาดปาก
ฝ่ายอีลลีสเศรษฐีกำลังนั่งดื่มเหล้าด้วยความมึนเมา พอได้ยินเสียงนั้นก็ฉุกคิดได้ว่า หนุ่มบ้านนอกคนนี้เอาชื่อของเรามากล่าวอ้าง จึงรีบโผล่มาจากต้นไม้ พร้อมตวาดเสียงดังว่า เจ้าคนบ้านนอก นั่นโคของข้า รถของข้า เจ้าเอามาได้อย่างไร พร้อมกันนั้นก็ริ่งวิ่งไปจับสายตะพายของโคเอาไว้
หนุ่มบ้านนอกลงจากรถและตะคอกเศรษฐีว่า เจ้าหน้าปีศาจ ท่านเศรษฐีให้ทานกับคนทั้งเมือง เจ้าอย่ามากล่าวมั่วๆแบบนี้ ด้วยความไม่พอใจ จึงทุบต้นคอเศรษฐีอย่างแรง เหมือนเอาสายฟ้าฟาด จากนั้นก็ดึงรถมาและขับต่อไป
ฝ่ายอีลลีสเศรษฐีตัวสั่นงันงก รีบปัดฝุ่นและวิ่งไปยึดรถเขาไว้ หนุ่มบ้านนอกก็ลงจากรถและลงมือทุบตีเศรษฐีอย่างแรง จับคอเหวี่ยงไปมาและขับเกวียนต่อไป พอโดนอย่างนั้นความเมาของเศรษฐีก็หายเป็นปลิดทิ้ง เดินกลับเข้าพระนคร
ครั้นเดินไปถึงหน้าบ้านตัวเอง ก็เห็นมหาชนพากันขนทรัพย์ไป จึงตะโกนบอกให้เอาทรัพย์ของตัวเองคืนมา แต่ก็ไม่มีใครสนใจ เศรษฐีรู้ว่ามีแต่พระราชาเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งได้ จึงไปเข้าเฝ้าพระราชา ได้กราบทูลความจริงทุกอย่างให้ทราบ
พระราชาจึงรับสั่งให้เรียกท่านเศรษฐีจำแลงมา เมื่อทรงพิจารณาดู ก็ทรงไม่สามารถแยกทั้งสองคนได้ จึงรับสั่งให้บุตรและภรรยามาชี้ว่าคนไหนตัวจริง คนไหนตัวปลอม
ฝ่ายบุตรและภรรยา รวมไปถึงข้าทาสบริวาร ก็ชี้ไปที่ท้าวสักกะว่าเป็นท่านอีลลีสเศรษฐีตัวจริง ท่านเศรษฐีก็ไม่ยอมอับจน คิดได้ว่าที่ศีรษะของตัวเองมีปุ่มน่ารังเกียจที่ ซึ่งเส้นผมปิดไว้มิดชิด มีแต่ช่างกัลบกเท่านั้นที่รู้
จึงบอกให้ช่างกัลบกมาชี้ตัว พระราชาตรัสถามว่าจำอีลลีสเศรษฐีได้ไหม ช่างกัลบกกราบทูลว่า ตรวจดูศีรษะแล้วคงจำได้พระเจ้าค่ะ ท้าวสักกะครั้นได้สดับเช่นนั้นก็บัลดาลให้เกิดปุ่มขึ้นที่ศีรษะทันที ช่างกัลบกตรวจดูศีรษะของคนทั้งสอง ก็เห็นมีปุ่มเหมือนกัน
จึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า คนทั้งสองเป็นคนกระจอก เป็นคนค่อม มีนัยน์ตาเหล่ มีปุ่มเกิดที่ศีรษะ ข้าพระองชี้ตัวอีลลีสไม่ถูกพระเจ้าค่ะ ท่านเศรษฐีฟังแล้วก็ตัวสั่นงันงก ไม่อาจตั้งสติไว้ได้ ถึงกับเป็นลมล้มฟุบลงต่อพระที่นั่ง ในขณะนั้น ท้าวสักกะกล่าวกับพระราชาว่า
"ดูก่อนมหาราช เราไม่ใช่อีลลีส เราเป็นท้าวสักกะ" ว่าแล้วก็ประทับยืนอยู่ในอากาศด้วยท่าทางที่สง่างาม พวกลูกๆจึงรีบเอาน้ำมาลูบหน้าท่านเศรษฐีให้ฟื้นขึ้นมา แล้วรีบลุกขึ้นยืนไหว้ท้าวสักกะเทวราช
ท้าวสักกะทรงตักเตือนเศรษฐีว่า ดูก่อนอีลลีส ทรัพย์นี้เป็นของเรา ไม่ใช่ของท่าน เพราะเราเป็นบิดาของท่าน ท่านเป็นบุตรของเรา เราทำบุญไว้มากจึงได้เป็นท้าวสักกะ แต่เธอตัดวงศ์ของเราขาดสิ้น ตั้งอยู่ในความตระหนี่ เผาโรงทาน ขับไล่พวกยาจก เอาแต่สั่งสมทรัพย์บริโภคเอง เหมือนรากษกหวงสระน้ำ
ถ้าเธอไม่ให้ทาน เราจะทำให้ทรัพย์ของเธออันตรธานไปจนหมด แล้วจะตีศีรษะของเธอด้วยอินทวัชระนี้ให้สิ้นชีวิต อีลลีสเศรษฐี ถูกคุกคามเอาชีวิต จึงเกิดความกลัว แล้วกลับได้สติ จึงได้ให้ปฏิญาณว่า ตั้งแต่บัดนี้ ข้าพเจ้าจะให้ทาน
ท้าวสักกะรับคำปฏิญาณของท่านเศรษฐีแล้ว ทรงชักนำให้เศรษฐีดำรงในศีล แล้วเสด็จกลับไปเทวโลกตามเดิม จากนั้นมาอีลลีสเศรษฐีก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการทำทานอย่างเต็มที่และหมั่นรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ครั้นละโลกแล้วจึงมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป
แม้เป็นเศรษฐีแล้วก็ยังต้องให้ทานจะได้รวยข้ามชาติ ไม่ใช่เกิดมาเสวยสมบัติอย่างเดียว ส่วนท่านที่ยังลำบากยากจนก็ต้องเริ่มให้ทาน จะรอให้รวยแล้วให้ทานไม่ได้หรอก ต้องทำทานไปเรื่อยๆถึงจะรวย ฉะนั้นงานทางโลกก็ต้องทุ่มเทกันไป งานบุญงานกุศลก็ต้องทุ่มเททำกันไป สักวันหนึ่งชีวิตเราก็จะเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ สมปรารถนาในทุกสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้
ผู้รู้กล่าวว่า ทานเปรียบเสมือน นาวา คือเราหมั่นให้ทานเป็นประจำก็เหมือนนาวาลำใหญ่ที่จะพาเราให้ข้ามพ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏ เพราะชีวิตในท่ามกลางมหาสมุทร ต้องอาศัยเพียงเสบียงที่กักตุนไว้ในเรือเท่านั้น ดึงนั้นจึงต้องสะสมเสบียงไว้ให้มากๆ นอกจากจะช่วยตัวเองให้ได้แล้ว ยังจะต้องช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ขึ้นสู่ฝั่งนิพพานกันให้หมดด้วย