Dhamma for people
ธรรมะเพื่อประชาชน
มาตังคบัณฑิต ๔
ทุกคนต่างก็มุ่งหวังความสำเร็จ จึงมานะไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง หลายท่านประสบความสำเร็จ ดังที่ตัวเองหวังไว้ตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาวในขณะที่บางท่าน แม้อายุมากแต่ก็ยังมองไม่เห็นความสำเร็จในชีวิต ที่จะทำให้ตัวเองภาคภูมิใจ ความสำเร็จของแต่ละคนจึงมีไม่เท่ากัน เพราะกำลังที่ผลักดันให้เกิดความสำเร็จนั้นน่ะต่างกัน กำลังที่ว่านี้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา แต่เป็นพลังใจที่ไม่สิ้นสุด อันเกิดมาจากบุญนั่นเอง
บุญเป็นกำลังอันเลิศ เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน การศึกษาหรือการแสวงหาทางพ้นทุกข์ ดังนั้นน่ะเราควรหมั่นตรวจตรากำลังของเราว่า มีมากน้อยเพียงไรโดยดูจากสิ่งที่เรายังพร่องอยู่ แล้วก็เติมเข้าไปทุกๆ วัน ที่สำคัญต้องหมั่นหยุดใจไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เพราะตรงนี้เป็นบ่อเกิดแห่งบุญที่จะอำนวยความสุขและความสำเร็จทุกอย่างให้เกิดขึ้นได้นะจ๊ะ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในขุทกนิกายธรรมบทว่า
เมื่อใดบีณฑิตบรรเทาความประมาทเสีย
ด้วยความไม่ประมาท
เมื่อนั้นปัญญาย่อมสูงส่งเพียงดังประสาท
บัณฑิตย่อมไม่เศร้าโศก
ย่อมพิจารณาเห็นหมู่สัตว์ผู้มีความเศร้าโศก
และย่อมพิจารณาเห็นคนพาลทั้งหลายได้
เหมือนบุคคลผู้ยืนอยู่บนยอดเขา
มองเห็นฝูงชนผู้ยืนอยู่บนพื้นดินฉันนั้น
ความประมาทเกิดจากการไม่ใช้สติปัญญา พิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบ จึงเป็นเหตุนำไปสู่ความผิดพลาดและความล้มเหลวในชีวิต เมื่อคนเราประมาทเสียแล้ว ความสุขและความสำเร็จก็หนีห่างไกลออกไปเรื่อยๆ และความทุกข์ทรมานก็เข้ามาแทนที่ เพราะฉะนั้นพุทธองค์จึงสอนให้เราไม่ประมาทในชีวิต และทรงยกย่องความไม่ประมาทว่าเป็นธรรมอันเลิศ ผู้ไม่ประมาทก็เท่ากับว่าได้กุมความสำเร็จไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว เพราะมีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำสิ่งใดก็ไม่ยอมถลำลงไปในทางที่เสื่อมและก็ไม่ยอมพลาดโอกาสในการทำความดีให้เจริญขึ้น พร้อมกับตระหนักถึงบุญที่จะต้องทำและบาปกรรมที่ต้องเว้น
ใส่ใจและมีสำนึกอยู่เสมอ ในหน้าที่การงานนั้นชอบทำไม่ปล่อยประละเลย เวลาทำก็ทำอย่างจริงจังและดำเนินรุดหน้าเรื่อยไป ไม่ย่อท้อในภารกิจการงานที่กำลังทำอยู่ และด้วยอาศัยความเพียรและความไม่ประมาท ในที่สุดก็สามารถประสบความสำเร็จได้ ถ้าอยู่ทางโลกก็จะประสบความสำเร็จในชีวิตฆราวาส อยู่ทางธรรมก็ประสบความสำเร็จในชีวิตสมณะ ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน
สำหรับวันนี้เราก็จะมารับฟัง เรื่องราวของพระบรมโพธิสัตว์ผู้เกิดในตระกูลที่ยากไร้ แต่มีจิตใจสูงส่งเพราะท่านมีอริยทรัพย์ภายใน ที่ติดตัวมา มีดวงปัญญาอันเลิศ ที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตให้สูงขึ้นได้ แล้วเปลี่ยนจากฐานะที่เคยถูกมหาชนดูถูกเหยียดหยาม กลายมาเป็นผู้มีอานุภาพที่มหาชนต้องกราบไหว้ยกย่องเทิดทูนบูชาไว้เหนือเศียรเกล้า
เรื่องของท่านก็มีอยู่ว่า จากความเดิมเมื่อครั้งที่แล้ว หลังจากบัณฑิตโพธิสัตว์ออกบวชบำเพ็ญเพียร จนได้ฌานสมาบัติและได้แสดงอิทธิฤทธิ์ให้ชาวพระนครได้เห็น จนมหาชนเชื่อว่านางทิฏฐมังคลิกาเป็นมเหสีของท้าวมหาพรหมแล้ว พระดาบสก็ได้เข้าไปสนทนากับนางสองต่อสองและได้ใช้นิ้วมือแตะที่หน้าท้องของนาง พร้อมกับบอกว่า ดูก่อนทิฏฐมังคลิกา นับจากนี้ไปน้ำชำระเท้าของเธอ จะเป็นน้ำอภิเษกของพระราชาตลอดชมพูทวีปทั้งสิ้น เจ้าจงลุกขึ้นเถิดต่อไปจะได้เป็นใหญ่กว่าพระราชาทั้งหมด
เมื่อดาบสโพธิสัตว์สนทนากับนางเสร็จแล้ว ก็เนรมิตอัตภาพเป็นพรหม ที่มีรัศมีกายสว่างไสวเปล่งออกจากบ้านของนาง แล้วเหาะขึ้นสู่เวหาสน์เข้าไปยังวงพระจันทร์ตามเดิม มหาชนได้เห็นอานุภาพของพระดาบสแล้ว ก็เกิดการโกลาหลแซ่ซ้องสาธุการ ก้มลงกราบด้วยความเคารพนอบน้อม นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา นางทิฏฐมังคลิกาจึงได้ชื่อว่า พรหมประชาบดี หมายถึงภรรยาของท้าวมหาพรหม
พวกพราหมณ์ปรึกษากันว่า จะเชิญพรหมประชาบดีให้เข้าไปอยู่ภายในพระนคร ด้วยการให้พราหมณ์ผู้มีชาติอันบริสุทธิ์ตลอด ๗ ชั่วอายุคนและชำนาญมนต์ ๑๖ คนหามไปด้วยวอทองที่มีมูลค่ามากที่สุด คนที่เหลือก็บูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น เมื่อปรึกษากันแล้วก็นำเสื้อผ้าอาภรณ์อย่างดีมามอบให้ แล้วพากันอัญเชิญนางกลับเข้าสู่พระนคร ทุกคนต่างยกมือพนมไหว้รอต้อนรับนางด้วยความเบิกบานใจ เพราะเชื่อว่านางคือพรหมประชาบดี
จากนั้นก็ปรึกษากันว่าพรหมประชาบดี ไม่อาจอยู่ในเรือนที่ตนเคยยอยู่ เพราะปราสาทของท่านเศรษฐีเล็กเกินไปสำหรับนาง ครั้นปรึกษาตกลงกันเรียบร้อยแล้ว พวกพรามหณ์จึงทำการซื้อที่ดิน และก็สร้างมณฑปขนาดใหญ่ มีข้าท่าสบริวารคอยอารักขา ได้จัดแจงข้าวปลาอาหารดูแลความเป็นอยู่ทุกอย่าง ทำให้นางอยู่อย่างมีความสุข เพราะทุกคนเชื่อว่า เมื่อพรหมประชาบดีอยู่อย่างมีความสุข ท้าวมหาพรหมก็จะโปรดพวกตนให้มีความสุขตามไปด้วย
ตั้งแต่นั้นมาใครก็ตามที่จะต้องการจะว่ายนางจะต้องให้เงิน ๑ กหาปณะ จึงจะสามารถไหว้ได้ ส่วนผู้ใดต้องการไหว้ในที่ใกล้ และอยากได้ยินเสียงของนางด้วยต้องให้ ๑๐๐ กหาปณะจึงจะไหว้ได้ ใครต้องการจะไหว้นายอย่างใกล้ชิดและได้ยินเสียงพูดคุยชัดเจนของนางก็ต้องให้ ๕๐๐ กหาปณะ ผู้ใดต้องการให้นางวางฝ่าเท้าไว้บนศีรษะซึ่งถือว่าเป็นการได้ใกล้ชิดพรหมประชาบดี ต้องให้ ๑,๐๐๐ กหาปณะและผู้ปรารถนาน้ำชำระเท้าต้องให้ ๑๐,๐๐๐ กหาปณะขึ้นไปถึงจะได้ ความสัทธาของมหาชนที่มีต่อนางได้ทับทวีมากขึ้นเรื่อยๆ นางได้ทรัพย์ประมาณ ๑๐๐ โกฏิด้วยอานุภาพของพระโพธิสัตว์
แม้พระราชาทั่วทั้งชมพูทวีป ก็ยังมาทำการอภิเษกเป็นพระราชา ด้วยการส่งทรัพย์ไป ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะเพื่อขอเอาน้ำชำระเท้าของนางต่อมาเมื่อนางคลอดบุตร ที่ถึงพร้อมด้วยบุญญาลักษณ์ครบถ้วนทุกประการ ทั่วชมพูทวีปเกิดโกลาหลว่าบุตรของท้าวมหาพรหมน่ะเกิดแล้วจึงพากันมาบริจาคทรัพย์ เพื่อเป็นค่าเลี้ยงดูกุมารน้อย ทรัพย์ที่บริจาคนั้นเมื่อนับแล้วก็มีมากถึง ๑,๐๐๐โกฏิทีเดียว พวกพราหมณ์ได้ขนานนามกุมารน้อยว่ามัณฑัพยหมายถึงผู้เกิดในมณฑป
มัณฑัพยกุมารเจริญเติบโตด้วยความสุขทุกอย่าง พอถึงวัยเรียนปราชญ์ผู้รู้ศิลปะในสกลชมพูทวีปมาสอนให้ศึกษาศิลปวิทยา เนื่องจากกุมารน้อยมีปัญญามาก จึงเรียนจบไตรเพทได้อย่างรวดเร็ว พวกพราหมณ์ก็คอยห้อมล้อมกุมารนั้นตลอดเวลา ไม่ว่ากุมารนั้นจะไปที่ไหนก็ตามแวดล้อม พวกพราหมณ์ได้สร้างมหาปราสาทให้เป็นที่พำนัก มีซุ้มประตูถึง ๗ ซุ้ม ทรัพย์ที่ชาวชมพูทวีปส่งให้ในวันมงคลก็มีมากถึงแสนโกฏิ
วันหนึ่งพระโพธิสัตว์ก็ได้ตรวจดูความเป็นไป ของนางทิฏฐมังคลิกา กับบุตรชาย ก็ทราบเรื่องราวโดยตลอดและก็คิดว่า กุมารนี้น่ะเป็นคนประมาท ไม่รู้จักบุญเขตว่าแล้วก็ห่มจีวรถือภาชนะใส่อาหาร เหาะไปลงตรงที่พวกพราหมณ์ ๘๐,๐๐๐ คนกำลังบริโภคอาหาร เมื่อมัณฑัพยกุมาร เห็นพระโพธิสัตว์เข้าก็โกรธประหนึ่งว่างูพิษถูกตีด้วยท่อนไม้ เพราะไม่พอใจที่เห็นคนนุ่งผ้าเก่าปอนๆ เข้ามาในปราสาท เพราะว่ามัณฑัพยกุมารไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร
ส่วนว่าพระโพธิสัตว์จะสั่งสอนมัณฑัพยกุมารอย่างไร และให้รู้จักผู้ที่เป็นเนื้อนาบุญเลิศได้อย่างไร เราก็ต้องติดตามรับฟังกันต่อในวันพรุ่งนี้นะจ๊ะ สำหรับวันนี้ให้ทุกท่านหมั่นเจริญสมาธิภาวนา เพราะสิ่งนี้จะทำให้ชีวิตเราน่ะสมบูรณ์ขึ้น เราต้องบริหารเวลาให้ดีเพิ่อให้โอกาสแก่ตัวเองในการประพฤติปฏิบัติธรรม เราจะได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายในตัวกันนะจ๊ะ
พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)