Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
ตอน โปริสาท ตอนที่ 20
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน นัตถิปุตตสมสูตร ว่า
นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา
ไม่มีแสงสว่างใดเสมอด้วยปัญญา
แสงสว่างในโลกนี้ มีทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและเกิดขึ้นจากมนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมมาซึ่งมีประโยชน์แตกต่างกันไป แต่ทุกอย่างล้วนมีขีดจำกัดในการใช้งาน แสงสว่างจากหลอดไฟมีเวลาเปิดปิดและมีช่วงหมดอายุการใช้งาน
พระอาทิตย์ให้เวลาสว่างเฉพาะกลางวัน พระจันทร์มีข้างขึ้นข้างแรม แสงสว่างในโลกนี้เป็นความสว่างที่ไม่คงที่มีวันดับ แต่แสงสว่างแห่งปัญญาไม่มีวันดับ ยิ่งลับยิ่งคมชัดยิ่งสว่างไสว ยิ่งใช้ก็ยิ่งทรงคุณค่า ยิ่งสั่งสมก็ยิ่งเกิดอานุภาพเป็นปัญญาบารมี
เหมือนถ่านที่แปรเปลี่ยนเป็นเพชร อีกทั้งผู้มีปัญญาจะเป็นที่พึ่งทั้งแก่ตนเองและบุคคลรอบข้างได้ทุกเมื่อ เหมือนดั่งเรื่องของพระเจ้าสุตโสมโพธิสัตว์ ผู้รุ่งเรืองด้วยปัญญา สามารถเกลี้ยกล่องให้โจรโปริสาทเลิกกินเนื้อมนุษย์ได้อย่างเด็ดขาด
พระโพธิสัตว์ทรงเห็นว่าเมื่อโจรโปริสาทปล่อยให้พระราชาทุกพระองค์เป็นอิสระก็อาจจะพร้อมใจกันทำร้ายโปริสาทจนถึงตาย เพราะฉะนั้นก่อนจะทำการปลดปล่อย พระองค์จึงตรัสบอกพระราชาทุกองค์ให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายโจรโปริสาท โดยตรัสสอนว่า
บิดามารดาย่อมมีความกรุณา ปรารถนาความสุขความเจริญแก่บุตรฉันใด แม้โปริสาทก็ยังเป็นเหมือนนั้นแก่พวกท่านและพวกท่านก็จงเป็นเหมือนอย่างบุตรทั้งหลายเถิด เมื่อกษัตริย์ทุกพระองค์ต่างก็ให้คำมั่นสัญญาว่าจะมีเมตตาต่อโปริสาทและจะไม่ประทุษร้ายตอบ
โปริสาทได้ใช้ดาบตัดเชือกที่ร้อยแขวนพระหัตถ์ของพระราชาพระองค์หนึ่งซึ่งอดอาหารมานานถึงเจ็ดวัน ทันทีที่เชือกขาดออกจากกันก็สลบล้มทั้งยืนทันที พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้จึงตรัสว่าท่านโปริสาท ท่านตัดอย่างนั้นรังแต่จะให้กษัตริย์ที่บอบช้ำอยู่แล้วให้บอบช้ำหนักขึ้นไปอีก พอรับสั่งอีกก็เสด็จไปใช้พระหัตถ์ทั้งสองประคองกษัตริย์แต่ละพระองค์ไว้
เมื่อโปริสาทตัดเชือก พระโพธิสัตว์ทรงรับไว้ ให้กษัตริย์แต่ละพระองค์นอนแนบพระอุระ ทรงประคองให้นอนลงบนพื้นด้วยพระทัยที่เปี่ยมด้วยเมตตาจากนั้นก็ทรงดึงเชือกออกจากพระหัตถ์เหมือนหมอผู้เมตตาดึงด้ายเย็บแผลออก ทรงล้างแผลจนสะอาดและรับสั่งให้โปริสาทฝนสมุนไพรมาสมานแผลก่อนจะทาแผล
พระโพธิสัตว์ทรงได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่า ด้วยผลแห่งบุญทีได้ทำมาทั้งหมดและด้วยเดชแห่งศีลที่ได้รักษามานั้นทันทีที่ข้าพเจ้าทายาที่ฝ่าพระหัตถ์ของกษัตริย์เหล่านี้ขอแผลจงหายเป็นปกติด้วยเถิด ด้วยเดชแห่งความดีและความสัตย์จริงที่พระโพธิสัตว์รักษายิ่งชีวิตนั้น ทันทีที่ทายาแผลที่ฝ่าพระหัตถ์ของกษัตริย์ทุกพระองค์นั้นที่ได้ทายาก็หายเป็นปลิดทิ้งทันที
ฝ่ายโปริสาทได้ออกไปหาข้าวเปลือกในป่านำมาตำเป็นข้าวสารแล้วต้มเป็นข้าวต้มป้อนให้กษัตริย์ทุกพระองค์ ทำให้ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเริ่มลดลง วันรุ่งขึ้นก็ให้ดื่มอีกทั้งเช้า กลางวัน เย็น เมื่อครบสามวันกษัตริย์ทุกพระองค์ก็ทรงมีพละกำลังเหมือนเดิม
จากนั้นพระโพธิสัตว์ก็ตรัสบอกให้กษัตริย์ทั้งหมดเดินทางกลับพระนคร ฝ่ายโปริสาทฟังแล้วกลับร้องไห้ คุกเข่าลงต่อเบื้องพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์และทูลว่า “มหาราชทรงเสด็จไปเถิด หม่อมฉันจะกินรากไม้ ผลไม้ในป่าแห่งนี้ตามลำพัง”
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า “สหาย ท่านจะอยู่ในป่าทำไม จงกลับไปครองราชย์ตามเดิมเถิด”
โปริสาททูลแย้งว่า“หม่อมฉันเข้ากรุงพาราณสีไมได้หรอก เพราะชาวเมืองทั้งหมดเป็นศตรูของหม่อมฉัน ถึงแม้มหาชนจะให้อภัยโทษ หม่อมฉันก็คงไม่กล้ากลับไปพบหน้าผู้ที่เคยทำให้เขาพลัดพรากจากกัน”
“อีกประการหนึ่งหม่อมฉันเมื่อเว้นจากเนื้อมนุษย์เสียแล้วคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน วันนี้หม่อมฉันคงได้เห็นพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย ขอพระองค์และกษัตริย์ทุกพระองค์โปรดอโหสิกรรมงดความผิดของข้าพระองค์ที่ได้ประพฤติล่วงเกิน ขอเชิญเสด็จกลับโดยสวัสดิภาพเถิด ครั้นกราบทูลลาเสร็จแล้วก็นั่งร้องไห้ด้วยความขมขื่นใจ”
พระโพธิสัตว์ที่เปี่ยมล้นไปด้วยมหากรุณาทรงลูบหลังโปริสาทเหมือนมารดาเป็นห่วงบุตร ตรัสให้กำลังใจว่า “สหายโปริสาท คนเช่นท่านเรายังฝึกได้ ส่วนชาวเมืองพาราณสีนั้น อย่างไรเสียก็ไม่ยากเกินกว่ากันไปหรอก ท่านจงสบายใจเถิด เราจะสถาปนาให้ท่านเป็นพระราชาในเมืองพาราณสีนั้นอีก หรือไม่ฉะนั้นก็จะแบ่งราชสมบัติของเราให้ท่านครองครึ่งหนึ่ง”
โปริสาทแม้จะซาบซึ้งในความปรารถนาดี แต่ก็ปฏิเสธที่จะครองราชย์ร่วมกับพระเจ้าสุตโสม เพราะกังวลว่าชาวเมืองต่างก็เป็นศตรูของตน เนื่องจากกล้าไปจับพระราชาของพวกเขามาบวงสรวงเทวดา พระเจ้าสุตโสมทรงดำริว่า การที่โจรโปริสาทหันกลับมาประพฤติธรรมโดยยอมเอาชีวิตเป็นเดิมพัน นับว่าทำกิจที่ทำได้ยาก ยกเว้นเราเสียแล้ว บุคคลอื่นที่จะเป็นที่พึ่งของเธอในโลกนี้คงไม่มีแน่นอน
ด้วยความที่พระองค์เป็นผู้มีปัญญาไม่สิ้นสุดจึงพรรณนาราชสมบัติให้โปริสาทฟังว่า
พระองค์เคยเสวยพระกายาหารอันโอชารสที่พวกห้องเครื่องปรุงทำให้สุกเป็นอย่างดี ดุจเท้าโกสีจอมเทวดาเสวยสุทธาโภชน์ ไฉนจะมาลำบากอยู่ในป่าเพียงพระองค์เดียว นางสนมล้วนแต่น่ารัก ได้ประดับประดาด้วยเครื่องอาภรณ์ชั้นดี อีกทั้งยังเคยแวดล้อมบำรุงบำเรอพระองค์ชื่นบานพระทัย
และท่านได้บรรทมมีพนักแดงปูราชด้วยผ้าโกเชาว์ ล้วนแล้วแต่ลาดด้วยเครื่องลาดที่งดงาม ประดับด้วยเครื่องอลังการน่าตระการตา พระองค์เคยบรรทมหลับเป็นสุข ในท่ามกลางพระแท่นที่บรรทมเช่นนั้น เวลาพักผ่อนก็มีการฟ้อนรำขับร้องบรรเลงเสียงตะโพนสำทับดนตรีรับประสานเสียง การขับการประโคมก็ล้วนแต่ไพเราะเสนาะโสต ไฉนจะทิ้งสิ่งเหล่านี้แล้วมาชอบใจอยู่ในป่าแต่พระองค์เดียวเล่า
พระนครก็ประกอบด้วยพระราชอุทยานที่น่ารื่นรมณ์ น่ายินดี เพลิดเพลินเจริญใจ ทั้งตามถนนหนทางก็มั่งคั่งด้วยม้า รถ คชสาร ไฉนจะทิ้งไว้แล้วมาชอบใจอยู่ในป่าแต่ตามลำพังเล่า
ดูก่อนโปริสาท ขอเชิญเสด็จเถิด เราทั้งสองจะไปด้วยกัน ครั้นพรรณนาเสร็จก็ตรัสบอกกษัตริย์ทั้ง ๑๐๑ พระองค์ว่า เราจะพาพระเจ้าโปริสาทไปดำรงสมบัติในนครพาราณสีเสร็จแล้วจึงจะค่อยกลับอินทปัตนคร เราขอสัญญาว่าถ้าพระองค์ไม่ได้ราชสมบัติในเมืองพาราณสีจะถวายราชสมบัติของเราแก่พระเจ้าโปริสาทครึ่งหนึ่ง