ธรรมะเพื่อประชาชน พร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย เพราะคำว่าบุญนี้เป็นชื่อของความสุข ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราย่อมรู้ชัดผลแห่งบุญอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ที่เราเสวยแล้วตลอดกาลนาน

ชาดก : ธรรมะเพื่อประชาชน Dhamma for peopleรวมนิทานอีสปพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ธรรมะเพื่อประชาชน : จนข้ามภพ รวยข้ามชาติ (๒)


ธรรมะเพื่อประชาชน : จนข้ามภพ รวยข้ามชาติ (๒)

Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน

DhammaPP_01.jpg

จนข้ามภพ รวยข้ามชาติ (๒)


                บุคคลให้ทานไม่ได้ด้วยเหตุ ๒ อย่าง คือ ความตระหนี่ ๑ ความประมาท ๑ บัณฑิตผู้รู้แจ้ง เมื่อต้องการบุญพึงให้ทานแท้ คนผู้ตระหนี่กลัวยากจน ย่อมไม่ให้อะไรๆ แก่ผู้ใดเลย ความกลัวจนนั่นแลจะเป็นภัยแก่คนผู้ไม่ให้ คนตระหนี่ย่อมกลัวความอยากข้าวอยากน้ำ ความกลัวนั่นแหละ จะกลับมาถูกต้องคนพาลทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

                จิตใจเป็นศูนย์รวมของความรู้สึกนึกคิดทั้งมวล เป็นบ่อเกิดแห่งคำพูด และการกระทำ ปกติใจของคนเรานั้น ใสสะอาดบริสุทธิ์เป็นประภัสสร แต่เมื่อมีกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะเข้ามาครอบงำ ใจดวงนั้นก็จะเศร้าหมองไม่ผ่องใส เปรียบเสมือนกับน้ำซึ่งปกติใสสะอาด

 

 

DhammaPP_02.jpg

                           แต่ขุ่นมัวไปเพราะมีสิ่งเจือปน ถ้าอยากให้น้ำกลับมาใสดังเดิม ต้องทำสิ่งที่เจือปนอยู่ ให้ตกตะกอนไป

 

 

DhammaPP_03.jpg

                  ใจของเราก็เช่นเดียวกัน ถ้าอยากให้บริสุทธิ์ผ่องใส ต้องเจริญภาวนา ทำใจให้หยุด ให้นิ่ง เพื่อขจัดกิเลสอาสวะที่ปนเป็นให้หมดไป

 

 

DhammaPP_04.jpg

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ทานสูตร ว่า

                บุคคลให้ทานไม่ได้ด้วยเหตุ ๒ อย่าง คือ ความตระหนี่ ๑ ความประมาท ๑ บัณฑิตผู้รู้แจ้ง เมื่อต้องการบุญพึงให้ทานแท้ คนผู้ตระหนี่กลัวยากจน ย่อมไม่ให้อะไรๆแก่ผู้ใดเลย ความกลัวจนนั่นแลจะเป็นภัยแก่คนผู้ไม่ให้

 

 

DhammaPP_05.jpg

                คนตระหนี่ย่อมกลัว ความอยากข้าวอยากน้ำ ความกลัวนั่นแหละ จะกลับมาถูกต้องคนพาลทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เพราะเหตุนั้น บัณฑิต พึงครอบงำมลทิน กำจัดตระหนี่เสีย แล้วพึงให้ทานเถิด เพราะบุญย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในโลกหน้า

 

 

DhammaPP_06.jpg

                  การสังเกตว่าผู้ใดตระหนี่ ไม่ได้วัดกันตรงที่ความรวย หรือยากจน เป็นกลุ่มชนชั้นสูงหรือชนชั้นกรรมาชีพ แต่ดูที่จิตใจที่งดงาม และการบริจาคทานด้วยจิตเคารพเลื่อมใส

 

DhammaPP_07.jpg

 

                คนที่ไม่ตระหนี่ เพราะมองเห็นประโยชน์ที่จะบังเกิดขึ้นทั้งในโลกนี้และโลกหน้า จึงรักในการให้เป็นชีวิตจิตใจ คนเช่นนี้ ความตระหนี่ครอบงำจิตใจไม่ได้ ถ้าเป็นคนจนก็จะสามารถพลิกผันชีวิตให้ร่ำรวยขึ้นมาได้ด้วยผลบุญ หรือถ้ารวยอยู่แล้ว ก็จะรวยยิ่งๆ ขึ้นไป จนกระทั่งรวยข้ามชาติ

 

 

 

DhammaPP_08.jpg

                  ส่วนคนตระหนี่นั้นมองภพชาติหน้าไม่ออก จึงมุ่งหน้าสะสมและใช้จ่ายทรัพย์ ไม่มีความคิดที่จะบริจาค   แม้รวยก็รวยเพราะกินบุญเก่า รวยชาติเดียว ทว่าต้องจนอีกหลายชาติ

 

 

DhammaPP_09.jpg

                  ในตอนนี้เรามาศึกษา วิธีแก้ความยากจนข้ามชาติของมหาทุคตะ กันต่อ ว่าเขามีวิธีการอย่างไร ถึงตอนที่ มหาทุคตะ ออกปากรับคำที่จะเลี้ยงพระภิกษุรูปหนึ่งในจำนวน ๒๐,๐๐๐ รูปแล้ว เขารีบกลับบ้านไปชักชวนศรีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก ให้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพเลี้ยงพระสัก ๑ รูป ภรรยาก็ไม่ขัดข้อง และกล่าวอนุโมทนาว่า "พี่คิดถูกแล้ว  เมื่อชาติก่อนเราไม่ได้ให้อะไร ๆ ชาตินี้จึงต้องเกิดเป็นคนยากจน เราทั้งสองคนออกไปทำงานรับจ้าง จะต้องสามารถหาอาหารมาถวายพระได้อย่างแน่นอน ฉันขออนุโมทนากับพี่ด้วย"  

 

 

DhammaPP_10.jpg

 

                จากนั้นทั้งสองคนมุ่งตรงไปยังบ้านของเศรษฐี เพื่อขอรับจ้างทำงาน มหาเศรษฐีเห็นมหาทุคตะมาขอรับจ้างทำงาน จึงถามว่า "เธอจะทำอะไรให้ฉันได้บ้างล่ะ" 
        มหาทุคตะตอบอย่างนอบน้อมว่า "ท่านเศรษฐีจักให้ทำอะไร ผมทำได้หมดแหละครับ"
        มหาเศรษฐีบอกว่า "ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ ฉันจะเลี้ยงพระ ๓๐๐ รูป เจ้าจงมาผ่าฟืนเถอะ"
      มหาทุคตะดีใจมากที่ได้งานทำ  เมื่อได้มีดและขวานมาแล้ว เขาตั้งท่าถกเขมรอย่างเอาจริงเอาจัง อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  ใช้ทั้งมีดและขวานผ่าฟืนไปอย่างกระฉับกระเฉง ด้วยอาการร่าเริงยิ่งนัก

 

 

 

DhammaPP_11.jpg

        เศรษฐีสังเกตเห็นมหาทุคตะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ จึงถามว่า "วันนี้ดูเธอขยันทำงานเหลือเกิน เธอไปได้แรงบันดาลใจ มาจากไหน จึงขยันเป็นพิเศษ"
 

 

DhammaPP_12.jpg


        มหาทุคตะตอบว่า "กระผมกำลังปีติที่จะได้เลี้ยงพระรูปหนึ่ง จึงตั้งใจทำงาน เพื่อจะนำอาหารที่ท่านเศรษฐีเมตตามอบให้นี้ ไปจัดถวายพระ" เศรษฐี ฟังแล้ว ก็อนุโมทนาในความตั้งใจดีของมหาทุคตะ ที่จะบริจาคมหาทานในครั้งนี้

 

 

DhammaPP_13.jpg

                ฝ่ายภรรยาของมหาทุคตะเข้าไปขอทำงานกับภรรยาเศรษฐี นางได้รับหน้าที่ในการตำข้าวและฝัดข้าว ทำไปก็ปลื้มปีติใจไป จนภรรยาเศรษฐีสังเกตเห็น ได้ถามสาเหตุว่า ทำไมจึงร่าเริงผิดปกติ นางจึงเล่าเรื่องที่รับเลี้ยงพระ ภรรยาท่านเศรษฐีก็อนุโมทนาชื่นชม

 

 

DhammaPP_14.jpg

                วันนั้นทั้งวัน มหาทุคตะและภรรยาได้ช่วยกันรับจ้างทำงานที่บ้านเศรษฐี เพื่อหาเงินมาซื้อภัตตาหารเลี้ยงพระ หลังจากเสร็จงานแล้ว ท่านเศรษฐีได้ให้ค่าแรงเพิ่มเป็นสองเท่าด้วยความเลื่อมใส ใจของคนเรานี่ ทันทีที่คิดจะให้ ก็ได้กลับคืนมา ยิ่งให้ก็ยิ่งได้ ทั้งสองภรรยาสามียินดีร่าเริงว่า ได้ไทยธรรมแล้ว  ตกเย็นจึงกลับบ้านพักผ่อน

 

 

DhammaPP_15.jpg

                รุ่งเช้าภรรยารีบลุกขึ้นมาจัดแจงอาหาร  ส่วนมหาทุคตะไปเก็บผักที่แม่น้ำ ชาวประมงยืนทอดแหอยู่ ได้ยินเสียงร้องเพลงด้วยความรู้สึกสบายอารมณ์ของมหาทุคตะ จึงตะโกนถาม เมื่อรู้ว่ามหาทุคตะจะเลี้ยงพระ ต่างมีจิตเลื่อมใส ขอร่วมบุญด้วยการมอบปลาตะเพียน ๔ ตัว ที่เก็บไว้ให้

 

 

 

DhammaPP_16.jpg

                ขณะมหาทุคตะกำลังถือปลากลับบ้าน บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสักกะก็ร้อน พระองค์ทรงตรวจดูมนุษยโลกด้วยทิพยจักษุ ทรงทราบว่า "มหาทุคตะจะถวายภัตตาหารแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า" แต่เนื่องจากอาหารของมหาทุคตะไม่ประณีตพอที่จะถวายพระบรมศาสดา จึงทรงดำริว่า "ถ้ากระไร เราควรไปบ้านของมหาทุคตะ ทำหน้าที่เป็นพ่อครัว เพื่อจะได้บุญอีกส่วนหนึ่ง"

 

 

DhammaPP_17.jpg

                จากนั้นได้แปลงกายเป็นมาณพหนุ่ม มุ่งตรงไปที่บ้านของมหาทุคตะ บอกว่า ตนเองรู้วิชาปรุงอาหารให้มีรสเลิศ   รสอร่อย ใครได้รับประทานแล้ว จะติดอกติดใจกันทุกคน มหาทุคตะดีใจว่า มีคนมาช่วยทำครัวให้ เพราะตนเอง และภรรยาไม่มีความรู้ในเรื่องการทำครัว ที่ผ่านมานั้น อาหารที่รับประทานแต่ละมื้อ  ส่วนมากมักไปเที่ยวขอเขากินประทังชีวิตไปวันๆ เท่านั้น การจะทำอาหารที่ประณีตถวายพระนั้น ไม่เคยเลย เขาได้บอกหนุ่มคนนั้นว่า ตนเองไม่มีเงินค่าจ้างให้ 

 

 

DhammaPP_18.jpg


                พระอินทร์บอกว่า "หากท่านจะทำอาหารถวายพระ เราไม่ขอรับค่าจ้าง แต่ขอให้เราเป็นผู้มีส่วนแห่งบุญ ที่ท่านทำไปก็แล้วกัน" มหา  ทุคตะดีใจมากที่ตัดสินใจจะทำความดีที่ทำได้ยากเคยคิดว่าเป็นปัญหา แต่กลับไม่มีปัญหา จึงรู้สึกปลื้มใจตลอดเวลาจากนั้นก็เชิญหนุ่มแปลกหน้าผู้ใจดี เข้าไปทำอาหารในครัว ส่วนตนเองก็ไปนิมนต์พระมาฉันภัตตาหารที่บ้าน

 


 DhammaPP_19.jpg
   

                เช้าวันนั้น ผู้นำบุญได้กราบนิมนต์ภิกษุให้ไปรับภัตตาหาร ตามบ้านต่างๆ ตามบัญชีรายชื่อที่จดไว้จนครบ แต่ลืมแบ่งพระไว้ให้แก่มหาทุคตะ  เมื่อมหาทุคตะมาขอรับพระ ก็ไม่มีให้ ทำให้มหาทุคตะรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง เสมือนหอกคมกริบแทงที่หัวใจ หมดแรงทรุดกายลงนั่งกอดเข่าร้องไห้ วิงวอนขอแบ่งพระสักรูปหนึ่งจากเจ้าภาพทั้งหลาย มหาชนเห็นอาการเศร้าโศกของมหาทุคตะแล้วเกิดความสงสาร พากันตำหนิผู้ชักชวนเขาทำบุญ ว่าท่านได้ทำกรรมหนักเสียแล้ว ที่ลืมแบ่งพระภิกษุให้มหาทุคตะ แม้ทุกคนจะสงสาร แต่ไม่มีใครยอมแบ่งพระภิกษุให้ ด้วยเสียดายบุญที่ตนจะได้รับ

 

 

 

DhammaPP_20.jpg

 

                บัณฑิตผู้นั้นรู้สึกละอายใจมาก ได้กล่าวขอโทษ และแนะนำว่า "สหายเอ๋ย ยังมีพระผู้ทรงพระคุณอันยิ่งใหญ่เหลืออยู่อีกองค์หนึ่ง คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าท่านมีบุญ พระองค์ก็คงจะรับอาราธนาเป็นแน่" มหาทุคตะรู้สึกว่า ตนเองพบปัญหาใหญ่ขึ้นทุกขณะ เพราะขณะนี้ตนมีศรัทธา มีไทยธรรม แต่ไม่มีพระมาเป็นเนื้อนาบุญ  ส่วนพระบรมศาสดานั้นเล่า ทรงมีอุปัฏฐากเป็นบุคคลสำคัญมากมาย การที่พระพุทธองค์จะทรงรับนิมนต์เราผู้ไม่มี ชื่อเสียงเลย คงเป็นการยากเหลือเกิน

 

 

 

DhammaPP_21.jpg

 

                ถึงอย่างไรในใจก็ไม่ยอมสิ้นหวัง มุ่งหน้าไปที่ประตูพระคันธกุฎีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ส่วนพระบรมศาสดา จะทรงรับนิมนต์หรือไม่ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป คงต้องมาศึกษากันในตอนต่อไป

 

 

 

DhammaPP_22.jpg

 

                สำหรับข้อคิดในตอนนี้ คือ ทุกย่างก้าวของชีวิต ก่อนจะพบกับความสำเร็จ มักต้องเผชิญกับอุปสรรคนานัปการ เราเป็นยอดนักสร้างบารมี ต้องเอาชนะปัญหาและอุปสรรคนั้นให้ได้ เหมือนเรือที่ต้องฝ่าคลื่นลม  เมื่อสามารถฝ่าคลื่นลมมรสุมมาได้ ก็สามารถเข้าจอดเทียบท่าได้สำเร็จ  เมื่อตั้งใจทำความดีอะไรแล้ว อย่าได้หวั่นไหวต่อปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น อุปสรรคมีไว้ ให้ข้าม ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้ให้กลุ้ม ถ้าเราเอาชนะปัญหาด้วยปัญญา ย่อมจะพบกับความสำเร็จ ขอให้พวกเรามองไปที่เป้าหมาย และเพียรพยายามจนกว่าจะประสบความสำเร็จกันทุกคน

 

พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)        
 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล