ธรรมะเพื่อประชาชน พร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย เพราะคำว่าบุญนี้เป็นชื่อของความสุข ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราย่อมรู้ชัดผลแห่งบุญอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ที่เราเสวยแล้วตลอดกาลนาน

ชาดก : ธรรมะเพื่อประชาชน Dhamma for peopleรวมนิทานอีสปพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ธรรมะเพื่อประชาชน : ชัยชนะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งที่ ๑ พญามาร (๒)


ธรรมะเพื่อประชาชน : ชัยชนะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งที่ ๑ พญามาร (๒)

Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน

 DhammaPP_.01.jpg
ชนะครั้งที่ ๑ ของพระสัมมาสัมพุชัยทธเจ้า
(ตอนที่ ๒ ชนะพญามาร)
 
        โอกาสที่หาได้ยากที่สุดในการสร้างบารมีของสรรพสัตว์ทั้งหลาย คือ โอกาสที่ได้อัตภาพเป็นมนุษย์ แม้หมู่สัตว์เหล่าอื่นอีกเป็นจำนวนมาก ล้วนปรารถนาจะได้เกิดเป็นมนุษย์เช่นพวกเรา เพราะเป็นโอกาสดีโอกาสเดียวที่สามารถสั่งสมบุญบารมีได้อย่างเต็มที่  เมื่อเราได้ในสิ่งที่ได้โดยยากเช่นนี้แล้ว ควรจะต้องใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด โดยต้องรู้จักประคับประคองตัวของเราให้ดำเนินชีวิตอยู่บนเส้นทางแห่งความดี เส้นทางแห่งบุญ ชีวิตจึงจะมีคุณค่า เพราะบุญเท่านั้น ที่จะช่วยปกป้องคุ้มครองตัวของเราให้ปลอดภัยจากภัยทั้งหลาย ทั้งภัยในชีวิต ภัยในอบายและภัยในสังสารวัฏ โดยเฉพาะบุญที่เกิดจากการเจริญสมาธิ(Meditation)ภาวนา จะทำให้เส้นทางไปสู่อายตนนิพพานของเราสะดวกสบายยิ่งขึ้น จะถึงที่หมายโดยปลอดภัยและรวดเร็ว
 
 
 
DhammaPP_.02.jpg
                มีพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า
                “เราแสวงหานายช่างผู้กระทำเรือน  เมื่อไม่ประสบ จึงได้ท่องเที่ยวไปในสงสารมิใช่น้อย การเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ ดูก่อนนายช่างผู้กระทำเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักไม่ได้กระทำเรือนอีกต่อไป ซี่โครงทั้งหมดของท่านเราหักเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็กำจัดแล้ว จิตของเรา ถึงวิสังขารคือพระนิพพานแล้ว เราได้ถึงความสิ้นตัณหาแล้ว ดังนี้”
 
                นี้เป็นพุทธอุทานที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ เป็นปฐมพุทธพจน์ หลังจากชนะพญามารและเหล่าเสนามาร และได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณที่ใต้ควงไม้ศรีมหาโพธิ์ ซึ่งหลวงพ่อได้เล่าไว้เมื่อคราวที่แล้วว่า  เมื่อพญามารยกพลมามืดฟ้ามัวดิน เพื่อแย่งชิงรัตนบัลลังก์ และขัดขวางการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธองค์ เทวดาและพรหมทั้งหลายเห็นเช่นนั้น ต่างพากันหวาดกลัว ขนลุกขนพองไปตามๆกัน รีบหลบหนีเอาตัวรอดไป ทิ้งพระโพธิสัตว์ไว้เพียงลำพัง ดังเทพบุตรที่นั่งอยู่ในวิมานอันว่างเปล่า
 
                *พระอรรถกถาจารย์ได้พรรณนาไว้ว่า “ขณะที่พญามารและพระโพธิสัตว์กำลังต่อสู้กันอยู่ อุกกาบาตได้ตกลงโดยรอบ ทิศทั้งหลายต่างมืดมัวด้วยควัน แผ่นดินแม้ไม่มีใจก็เหมือนมีใจ ถึงความพลัดพรากเหมือนหญิงสาวพลัดพรากจากสามี เหมือนเถาวัลย์ต้องลมพัดแรง มหาสมุทรก็มีนํ้าปั่นป่วน แม้น้ำทั้งหลายไหลทวนกระแส ลำต้นไม้ต่างๆ คดงอ พายุร้ายพัดไปรอบๆ มีเสียงอึกทึกครึกโครม ความมืดที่ปราศจากดวงอาทิตย์ก็เลวร้าย สัตว์ร้ายท่องไปในกลางหาว ส่วนหมู่ทวยเทพทั้งหลายเห็นมารประสงค์จะประหารพระมหาสัตว์ ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพทั้งปวง ต่างพากันเอ็นดูและส่งเสียงคอยเป็นกำลังใจอยู่ห่างๆ”
 
 
DhammaPP_.04.jpg
 
                พระบรมโพธิสัตว์รู้ว่า กำลังผจญกับศัตรูที่ไม่มีใครในภพสามจะปะทะได้ จึงนึกถึงแต่กำลังบารมี ๓๐ ทัศ ที่สั่งสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ให้มาเป็นธรรมาวุธอันวิเศษเป็นเกราะแก้วคุ้มกันภัย และเอาชนะศัตรูที่มาข่มขู่อยู่เบื้องหน้า ขณะนั้นเองพญามารได้บันดาลให้ฝนถ่านสีแดงร้อนแรงราวกับไฟนรก แต่เมื่อตกลงมาก็กลับกลายเป็นทิพยมาลาบูชาพระมหาบุรุษ พญามารจึงบันดาลให้ฝนชนิดต่างๆ ตกลงจากอากาศ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประหาร ถ่านไฟ ไฟนรก ฝนทราย ฝนโคลนและฝนน้ำกรด แต่ก็ไม่สามารถทำอันตรายใดๆ ได้
 
 
 
DhammaPP_.06.jpg
 
                เมื่อพญามารไม่อาจทำอันตรายมหาบุรุษด้วยฤทธิ์ของตนได้ ก็โกรธมาก เร่งไพร่พลให้ไปจับพระมหาบุรุษมาประหารให้ได้ ตัวพญามารเองก็ไสช้างคิรีเมขล์เข้าไปยังต้นโพธิ์ ประกาศว่า “ดูก่อนสิทธัตถะ ท่านจงลุกขึ้นจากบัลลังก์นี้ รัตนบัลลังก์นี้ไม่ควรแก่ท่าน ควรแก่เราต่างหาก” พวกเสนามารพากันโห่ร้องรับกันลั่นไปทั่วภพสาม
 
                พระมหาบุรุษตรัสว่า “รัตนบัลลังก์นี้ บังเกิดขึ้นด้วยบุญของเรา หาได้เกิดเพราะบุญของท่านไม่ เพราะฉะนั้น เราจะไม่ยอมลุกเด็ดขาด”
 
                พญามารขู่ว่า “ท่านไม่รู้จักกำลังของเรา เรามีพหลโยธามากมาย มีอาวุธครบครัน ส่วนตัวท่านนั้นมีเพียงลำพังคนเดียว ยังกล้ามาลองดีกับเราอีก”
 
 
 
DhammaPP_.07.jpg
                พระมหาบุรุษตรัสตอบว่า “ดูก่อนมาร แม้ตัวท่านก็ไม่รู้กำลังของเรา เราได้บำรุงเลี้ยงไพร่พลไว้มากมาย มีอาวุธพร้อมมือ เพราะฉะนั้น เราจึงไม่กลัวท่าน บารมี ๓๐ ทัศ นี้เป็นโยธาของเรา” พระโพธิสัตว์ตรัสต่อว่า “พยานที่รู้เห็นการกระทำของเราไม่มี แต่พื้นดินอันหาวิญญาณมิได้นี้เป็นพยานของเรา เราได้สร้างมหาทานบารมีไว้ในสมัยเป็นพระเวสสันดรถึง ๗ ครั้ง”
 
 
 
DhammaPP_.008.jpg
 
                พระองค์ได้เอ่ยอ้างมหาทานบารมีที่เคยสั่งสมไว้ แล้วทรงชี้นิ้วพระหัตถ์ขวาลงไปที่แผ่นดิน ลมและน้ำที่รองแผ่นปฐพีซึ่งหนา ๑,๐๑๔,๐๐๐ โยชน์ ก็ไหวก่อน จากนั้นมหาปฐพี ซึ่งหนา ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ ไหวขึ้น ๖ ครั้ง เสมือนรับรองพระดำรัสของพระองค์ น้ำซึ่งเกิดจากอานุภาพแห่งมหาทานบารมีของพระโพธิสัตว์ ได้หลั่งล้นท่วมท้นเสนามารทั้งหลาย มหาปฐพีปั่นป่วนกัมปนาท มหาเมฆร้องครืนปานภูเขาจะถล่มทลาย พญามารเห็นเช่นนั้น รู้สึกอัศจรรย์ใจ ครั่นคร้ามในพระเดชานุภาพ เทพเทวาต่างพากันประโคมดนตรีลือลั่นทั่วจักรวาล
 
 
 
DhammaPP_.09.jpg
 
                ทันใดนั้นเอง อสนีบาตฟาดเปรี้ยงลงมา หมู่มารทั้งหลายต่างตื่นตระหนกตกใจกลัวบุญญานุภาพของพระมหาบุรุษ แม้ช้างคิรีเมขล์ก็ไม่อาจยืนต้านทานกระแสนํ้าได้ถึงกับคุกเข่าล้มลง มารที่นั่งบนคอช้างคิรีเมขล์ก็ตกลงมาที่แผ่นดิน แม้พวกเสนามารทั้งหมดต่างกระจัดกระจายไปในทิศใหญ่ทิศน้อย เหมือนรำแกลบที่กระจายไปทั่ว พญามารเกรงพระเดชาบารมี รีบหลบหนีไปซ่อนเร้นด้วยความเสียใจ ที่พ่ายแพ้พระบรมโพธิสัตว์ ถึงกระนั้นก็อดชมเชยพระบรมโพธิสัตว์ไม่ได้ว่า “บุคคลใดในโลกและเทวโลก ที่จะเสมอด้วยพระองค์ไม่มี พระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ผู้มีอานุภาพ มีเดชครอบงำสรรพสัตว์ทั้งหลาย จะขนหมู่สัตว์ผู้ชาญฉลาดให้ข้ามพ้นโอฆะได้ บรรลุฝั่งมหานฤพานอันเกษมในคราวนี้แน่นอน”
 
 
 
 DhammaPP_.11.jpg
                เราจะเห็นว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราชนะมารและเสนามาร ตั้งแต่ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า  เมื่อทรงชนะมารแล้ว พระองค์บำเพ็ญเพียรโดยมิย่อท้อ ในเวลาปฐมยามทรงบรรลุบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติในหนหลังได้ว่า ในชาติก่อนพระองค์เกิดที่ไหน เป็นอะไร มีชื่อและโคตรอย่างไร เป็นต้น ในเวลามัชฌิมยามทรงบรรลุ จุตูปปาตญาณ รู้การจุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลายว่า สัตว์นั้นทำกรรมอะไร ตายแล้วไปเกิดที่ไหน ในเวลาปัจฉิมยามทรงบรรลุอาสวักขยญาณ ตรัสรู้อริยสัจ ๔ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว
 
                ความอัศจรรย์หลายๆ อย่างได้บังเกิดขึ้น คือ โลกันตนรกกว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ ในระหว่างจักรวาลทั้งหลาย ไม่เคยสว่างแม้ด้วยแสงอาทิตย์ ๗ ดวง กลับมีแสงสว่าง มหาสมุทรลึก ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ที่เคยมีรสเค็มกลายเป็นน้ำจืด แม่นํ้าทุกสายพร้อมกันหยุดไหล อัจฉริยัพภูตธรรมมากมายได้ปรากฏขึ้น
 
 
 
DhammaPP_.10.jpg 
                พวกเทพยดาเห็นพญามารแตกพ่ายไป ต่างชื่นชมแซ่ซ้องสาธุการ กล่าวสรรเสริญพระคุณเป็นการใหญ่ว่า “พระสิทธัตถะเป็นมหาบุรุษที่ชนะพญามารได้ ควรที่ชาวโลกจะน้อมเศียรลงกราบบูชาพระองค์ ผู้เที่ยงแท้ที่จะเป็นพระบรมศาสดาของมนุษย์และ  เทวาทั้งหลาย”
 
 

 DhammaPP_.12.jpg

                การชนะศึกพญามารในครั้งนั้น ถือเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่เป็นอันดับแรก ในชัยมงคลกถากล่าวว่าเป็นชัยชนะที่แท้จริง เพราะรบกับตัวจริง คือพญามาร ซึ่งมีอานุภาพมาก สามารถบังคับบัญชาได้ทั้งมนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม เขาอยู่เหนือวิสัยที่ปุถุชนคนธรรมดาจะไปถึงแม้ด้วยความคิด อย่างไรก็ตาม มีอยู่ที่หนึ่ง ที่เราจะไม่ถูกพญามารบังคับบัญชา คือ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ที่ตรงนี้เป็นหลุมหลบภัยที่ดีที่สุด เราจะปลอดภัยจากมารทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกิเลสมาร ขันธมาร อภิสังขารมาร มัจจุมารหรือเทวบุตรมาร ล้วนไม่สามารถบังคับใจเราได้ เพราะฉะนั้น เราจะต้องนำใจมาหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายนี้ให้ได้ตลอดเวลา แล้วเราจะมีสรณะที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด คือพระรัตนตรัย กระทั่งเป็นผู้มีชัยชนะตลอดกาลนาน
 
 
*พุทธประวัติ เล่ม๑ (หลักสูตรนักธรรมตรี)
 
 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล