Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
สาตาคิรยักษ์ ตอน ๑
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า
อญฺญา หิ ลาภูปนิสา อญฺญานิพฺพานคามินี เอวเมตํ อภิญฺญาย
ภิกขุ พุทฺธสฺส สาวโก สกฺการํ นาภินนฺเทยฺย วิเวกมนุพฺรูหเย
ภิกษุผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า รู้ยิ่งแล้วซึ่งปฏิปทา ๒ อย่างนี้ว่า
ปฏิปทาอันเข้าไปอาศัยลาภเป็นอย่างหนึ่ง
ปฏิปทาเครื่องให้ถึงนิพพานเป็นอย่างหนึ่งดังนี้แล้ว
ไม่พึงเพลิดเพลินในลาภสักการะ พึงพอกพูลวิเวกอยู่เนืองๆ
การออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำกันได้ง่ายๆ แต่ก็ไม่ยากเกินไปคือยากพอสู้ ถ้าเรารู้จักสอนตนเอง ควบคุมตัวเราเองให้ไม่ประมาท ไม่ไปมัวหลงใหลในลาภสักการะ ยึดมั่นในมโนปณิธานว่า ออกบวชเพื่อสลัดกองทุกข์ หวังจะทำจิตให้หลุดพ้นจากอาสวะกิเลส แล้วมุ่งทำความเพียร ความเป็นสมณะแท้ก็จะบังเกิดขึ้น แม้ยังไปไม่ถึงเป้าหมาย แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ห่างไกลจากหนทางพระนิพพาน
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอุปมาการประพฤติพรหมจรรย์ กับการแสวงหาแก่นไม้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจเอาไว้ว่า ภิกษุบางรูปบวชเข้ามาแล้วเป็นผู้คงแก่เรียน ทรงธรรม ทรงวินัย เป็นนักเทศน์ แต่ก็ไม่ได้ลงมือปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เมื่อได้ลาภสักการะจากพุทธศาสนิกชนแล้ว ต่อมาเกิดความหลงตัวเอง จึงเที่ยวยกตนข่มท่าน ไม่ยอมบำเพ็ญสมณธรรมให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ พรหมจรรย์ของภิกษุรูปนั้น เปรียบเสมือนกิ่งและใบของพรหมจรรย์ เหมือนคนที่ต้องการแก่นไม้ เที่ยวหาไม้ในป่า พบต้นไม้ใหญ่มีแก่น กระพี้ เปลือกและสะเก็ด แต่กลับเก็บเอาแต่กิ่งและใบไป เพราะเข้าใจว่าเป็นแก่นไม้ จึงไม่อาจใช้ทำประโยชน์อะไรตามที่ต้องการได้
บางท่านไม่หลงใหลในลาภสักการะ แต่มุ่งบำเพ็ญศีลให้มีความบริสุทธิ์กายวาจา ผลแห่งศีลนั้นท่านอุปมา เหมือนสะเก็ดแห่งพรหมจรรย์ บางคนมุ่งเจริญสมาธิภาวนา จนจิตเป็นสมาธิตั้งมั่น มีใจบริสุทธิ์ขึ้นไปอีก แต่พระพุทธองค์ยังทรงตรัสว่า เป็นเพียงเปลือกของพรหมจรรย์เท่านั้น ยังไม่ใช่ที่สุดของพรหมจรรย์
บางท่านมุ่งบำเพ็ญวิปัสนา จนสามารถได้ฌานอภิญญา เกิดญาณทัศนะ ก็มัวหลงดีใจว่าตนเองเป็นผู้ที่ทรงอภิญญา ไม่ยอมเจริญวิปัสสนาขั้นสูงสูงยิ่งขึ้นไปอีก ยินดีพอใจหยุดอยู่เพียงเท่านั้น แม้จะเป็นสามัญผลระดับนี้ พระองค์ก็ยังทรงอุปมาว่า เป็นเพียงกระพี้ของพรหมจรรย์ เหมือนคนที่ต้องการแก่นไม้ถากเอาเพียงกระพี้ของต้นไม้ไปเท่านั้น
ส่วนท่านผู้เจริญวิปัสสนา จนได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ซึ่งเป็นธรรมอันเป็นโลกุตตระ ท่านเรียกว่านี้เป็นแก่นของพรหมจรรย์ เหมือนคนที่ต้องการแก่นไม้ รู้จักแก่นไม้และสามารถตัดเอาแก่นไม้ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้
พุทธองค์ทรงสรุปว่า พรหมจรรย์นี้ ไม่ใช่มีลาภสักการะและความสรรเสริญเป็นอนิสงส์ ไม่ใช่มีความสมบูรณ์แห่งศีล เป็นผลที่มุ่งหมาย ไม่ใช่มีความสมบูรณ์แห่งสมาธิเป็นผลที่มุ่งหมาย และไม่ใช่มีญานทัศนะเป็นผลที่มุ่งหมาย แต่พรหมจรรย์นี้ มีเจโตวิมุตติกิเลสไม่กลับกำเริบเป็นผล เป็นแก่นสารและเป็นที่สุด ถ้าภิกษุสามเณรรูปใดปฏิบัติได้เช่นนี้ ก็ได้ชื่อว่าเป็นสมณะแท้ เป็นเนื้อนาบุญของโลก เป็นอายุพระพุทธศาสนา
สำหรับวันนี้หลวงพ่อมีตัวอย่างของการบำเพ็ญสมณธรรม ของภิกษุ ๒ รูปซึ่งเคยเป็นเพื่อนสนิทกัน ท่านตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัยเป็นอย่างดี จนได้เป็นพระวินัยธร แต่ถูกลาภสักการะครอบงำเลยไม่เอื้อเฟื้อพระธรรมวินัย ครั้นละโลกแล้ว ต้องไปเกิดเป็นยักเป็นเวลายาวนานถึง ๑ พุทธันดร แต่ท่านอาศัยความไม่ประมาทและก็ได้ยอดกัลยาณมิตรที่ดี จึงทำให้ท่านได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เราก็มารับฟังกันเลยนะจ๊ะ
ย้อนหลังจากนี้ไป ๑ พุทธันดรซึ่งถือว่าเป็นอันตรกัปที่ ๑๑ มหาชนในยุคนั้นมีอายุขัยโดยเฉลี่ย ๒๐,๐๐๐ ปี พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระชนมายุได้ ๑๖,๐๐๐ ปีก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน มหาชนได้ช่วยกันถวายพระเพลิงพระสรีระ จากนั้นทั้งมนุษย์และเทวา ต่างก็ทำการสักการะบูชา พระบรมสารีริกธาของพระกัสสปพุทธเจ้า ซึ่งไม่กระจัดกระจายยังคงตั้งรวมกันอยู่เป็นก้อนเดียวกัน เหมือนกับก้อนทองคำ นี่ก็เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์นะจ๊ะ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับผู้มีบุญญาบารมี
ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ทรงมีพระชนมายุน้อย คือทรงมีพระชนมายุเพียง ๘๐ พรรษาเท่านั้น มหาชนที่มาภายหลังยังไม่ทันเห็น ท่านก็เสด็จดับขันธปรินิพพานไปเสียแล้ว แต่ทรงมีมหากรุณาต่อสัตว์โลก ทรงประสงค์จะให้มหาชนได้ทำการบูชาพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ ฉะนั้นพุทธองค์จึงอธิษฐาน ให้พระบรมธาตุกระจัดกระจายกันออกไป เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนรุ่นหลัง ที่จะได้ทำการสักการะบูชากันต่อไป
พระบรมสารีริกธาตุที่กระจัดกระจายออกไปนั้นหลายๆ ท่านอาจจะเคยเห็นกันมาบ้างแล้ว เพียงแค่ได้เห็นก็เป็นมงคลแล้วนะจ๊ะ ให้ทำจิตให้เลื่อมใสและทำความนอบน้อมในพระบรมธาตุ ส่งใจไปถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้พระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปนานแล้วก็ตาม แต่บุญที่เกิดจากการทำจิตให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ย่อมสามารถอำนวยผล ให้เรามีสุคติเป็นที่ไปทีเดียวนะจ๊ะ
ทีนี้เมื่อพระบรมสารีริกธาตุ ของพระกัสสปพุทธเจ้า ไม่กระจัดกระจายกันออกไป จึงไม่จำเป็นต้องมีการแบ่งพระบรมธาตุ พุทธบริษัทจึงได้ทำพุทธเจดีย์สำหรับบรรจุพระบรมธาตุของพระองค์ เอาไว้ในที่แห่งเดียวเท่านั้น พุทธเจดีย์นั้นสูง ๑ โยชน์ วัดโดยรอบ ๑ โยชน์ มีประตู ๔ แห่ง ห่างกันประตูระ ๑ คาวุต
พระเจ้ากิงกราช ทรงสร้าง ๑ ประตู พระราชโอรสพระนามว่าปฐวินธร ทรงสร้าง ๑ ประตู อำมาตย์ผู้เป็นหัวหน้าของเสนาบดีทั้งหลายสร้าง ๑ ประตู ส่วนชาวพระนครก็ร่วมมือกัน โดยมีเศรษฐีเป็นหัวหน้าขอสร้าง ๑ ประตู พุทธบริษัทถือกันว่าทองคำและรัตนชาติเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสมควรที่จะใช้บูชา บุคคลที่ควรบูชาที่สุดในโลก เพราะฉะนั้นอิฐทุกก้อนจึงทำด้วยทองคำสีสุกปรั่งและทำด้วยรัตนต่างๆ แต่ละก้อนก็มีราคาอย่างน้อย หนึ่งแสนกหาปณะ
นายช่างได้ใช้เวลาสร้างนาน ๗ ปี ๗ เดือนและก็ ๗ วัน เมื่อสร้างเสร็จพุทธเจดีย์แห่งนี้ จึงได้รับการขนานนามว่า สุวรรณเจดีย์หรือเจดีย์ทอง เพราะสร้างด้วยทองคำและรัตนชาติล้วนๆ จากนั้นก็ทำการเฉลิมฉลองอยู่ ๗ ปี ๗ เดือนและก็ ๗ วัน มีการบูชาด้วยประทีป ดอกไม้ของหอมอยู่ตลอดทั้งวันและคืน นับว่าเป็นการแสดงพลังแห่งความศรัทธาต่อพระรัตนตรัย ด้วยจิตที่เลื่อมใสอย่างหาที่เปรียบมิได้
ทำให้หลวงพ่อนึกถึงมหาธรรมกายเจดีย์ เจดีย์แห่งพระรัตนตรัย ที่พวกเราได้ทุ่มเทชีวิตจิตใจ ร่วมกันสถาปนาขึ้นมา ความสำเร็จที่บังเกิดขึ้นนั้น เกิดจากการรวมพลังแห่งความเลื่อมใสอันไม่คลอนแคลน ในพระรัตนตรัยของลูกทุกๆ คน ดังนั้นจึงควรหมั่นนึกถึงบุญใหญ่นี้ไว้ให้ดีนะจ๊ะ
บุญนี้เป็นบุญใหญ่ที่จะสนับสนุนให้เราไปถึงที่สุดแห่งธรรม ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ เราก็จะต้องให้ทุกข์ลมหายใจของเรา เป็นลมหายใจแห่งการสร้างบารมี เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง ส่วนว่าเรื่องของภิกษุสองสหายที่จะเป็นอย่างไรต่อไป ก็ให้มาติดตามรับฟังกันในวันพรุ่งนี้นะจ๊ะ