ธรรมะเพื่อประชาชน พร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย เพราะคำว่าบุญนี้เป็นชื่อของความสุข ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราย่อมรู้ชัดผลแห่งบุญอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ที่เราเสวยแล้วตลอดกาลนาน

ชาดก : ธรรมะเพื่อประชาชน Dhamma for peopleรวมนิทานอีสปพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ธรรมะเพื่อประชาชน : พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ๐๙


ธรรมะเพื่อประชาชน : พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ๐๙

Dhamma for people

 ธรรมะเพื่อประชาชน 

DhammaPP172_02.jpg

พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ๐๙

                ความเชื่อทุกความเชื่อจะได้รับการกลั่นกรองว่า ถูกต้องหรือไม่และชาวโลกก็จะได้ประจักษ์ ก็ต่อเมื่อทุกคนได้เข้าถึงพระธรรมกายเพราะพระธรรมกายสามารถพิสูจน์ความเชื่อทั้งหลายว่าถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากมีธรรมจักรษุและญาณทัสสนะ จึงสามารถรู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในนิพพาน ภพ ๓ โลกันตร์ เมื่อเรายังไม่รู้ว่าอะไรคือความเชื่อที่ถูกต้องสมบูรณ์ เราก็ควรจะวางความเชื่อไว้บนหิ้ง แล้วมาพิสูจน์ความจริงกันก่อนจะดีกว่านะจ๊ะ


                พิสูจน์ด้วยการเจริญสมาธิภาวนา ให้เกิดภาวนามยปัญญาความรู้ที่เกิดจากการเห็นแจ้ง ไม่ใช่เกิดการฟังหรือการคิดซึ่งเป็นความรู้ที่ไม่สมบูรณ์ ฉะนั้นน่ะเมื่อเรามีบุญได้เกิดมาเป็นมนุษย์ สมควรอย่างยิ่งที่เราจะต้องให้เข้าถึงพระธรรมกายให้ได้ การจะเข้าถึงได้นั้นต้องหมั่นเจริญสมาธิภาวนา ถ้าเราขยันหมั่นเพียรอย่างไม่ลดละแล้วสักวันหนึ่งเราก็จะเข้าถึงพระธรรมกายกันได้อย่างแน่นอนนะจ๊ะ

มีธรรมะภาษิตที่สุเมธดาบทโพธิสัตว์กล่าวสอนตนเองไว้ว่า

    ดูก่อน สุเมธบัณฑิต จำเดิมแต่นี้ไป 
    ท่านพึงบำเพ็ญสัจจบารมีให้เต็มเปี่ยม 
    อย่าได้ทำการพูดเท็จทั้งที่รู้ตัวอยู่ 
    ด้วยมุ่งหวังทรัพย์เป็นต้น
    แม้อัสนีบาตจะตกลงบนกระหม่อมของท่านก็ตาม
    ธรรมดาว่า ดาวประกายพฤกษ์ในทุกฤดูกาล
    ได้เว้นทางโคจรของตน ไม่โคจรไปในทางอื่น
    โคจรไปเฉพาะ ในทางของตนเท่านั้น ฉันใด
    แม้ถ้าไม่ละสัจจะ ไม่ทำการพูดเท็จ
    ก็จักได้เป็น พระพุทธเจ้า ฉันนั้น


                พระโพธิสัตว์ทั้งหลายต่างตระหนักดีว่า เส้นทางการสร้างบารมี เพื่อมุ่งสู่อายตนะนิพพานนั้น ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ คือไม่สะดวกสบายและไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ใครๆ จะอดทนได้ นี่แหละคือสาเหตุที่ว่าทำไมบางกัปจึงมีพระพุทธเจ้า เสด็จอุบัติขึ้นเพียงไม่กี่พระองค์ บางกัปก็ไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นเลย ที่เรียกว่าสูญญกัป เพราะการสร้างบารมี เพื่อบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นงานที่ยากที่สุดในโลกและจักรวาล และระหว่างทางที่กำลังสร้างบารมีอยู่นั้น ก็มีสถานการณ์ที่ทำให้มีโอกาสหลุดจากเส้นทาง การสร้างบารมีได้ง่ายเหมือนกัน เพราะตราบใดที่ยังเอาชนะกิเลสในใจไม่ได้ยังถูกความโลภ โกรธ หลงครอบงำอยู่ ความผิดพลาดและการตัดสินใจก็ยังคงเกิดขึ้นได้เสมอ


                ดังนั้นพระโพธิสัตว์จึงต้องบำเพ็ญสัจจะบารมี คือจะต้องไม่ออกนอกทางแห่งความดีที่ตั้งใจไว้ ถึงแม้จะมีสิ่งใดมาหลอกล่อก็ไม่ยอมตระบัดสัตย์ไม่ออกนอกเส้นทาง เหมือนกับดาวประกายพฤกจะโคจรอยู่ที่เส้นทางเสมอ อีกทั้งจะรักษาความสัตว์ไม่ยอมพูดเท็จ เพราะเห็นแก่ลาภสักการะหรือเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ ท่านยอมที่จะสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ สระอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต เมื่อคำนึงถึงธรรมเป็นใหญ่ ท่านจะยอมสละทั้งทรัพย์ อวัยวะและก็ชีวิต โดยเฉพาะเมื่อปรารภเหตุที่จะเพิ่มพูนบารมีให้กับตนเอง ท่านจะทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่ โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพันธ์ทุกครั้ง ถ้ายังรักตัวกลัวตาย การจะไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้  นับว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก เพราะฉะนั้นผู้ที่จะได้ชื่อว่าเป็นนักสร้างบารมีอย่างแท้จริงนั้น คือผู้ที่ทุ่มเทสร้างบารมีทุกอย่างชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพัน


                ดังเรื่องของพระเตมียกุมาร ผู้สละชีวิตเพื่อรักษาสัจจะของตนเองครั้งที่แล้วหลวงพ่อได้เล่าถึงตอนที่พระเตมียะกุมารมีพระชนมายุได้ ๖ พระชันษา พระราชบิดาได้ทรงโปรดให้ทดลองด้วยช้าง โดยรับสั่งให้ปล่อยพญาช้างแล่นเข้าหาพระราชกุมาร แต่ขณะที่กุมารที่เหลือพากันร้องระงมวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว แต่พระราชกุมารกลับบรรทมนิ่ง ปล่อยให้พญาช้างเอางวงจับพระองค์ยกชูขึ้น แล้ววิ่งไปโดยรอบพระลานหลวง แต่เพราะช้างนั้นเป็นช้างที่ควาญช้างฝึกดีแล้ว จึงไม่ได้ทำร้ายพระราชกุมาร ให้ได้รับอันตรายแต่อย่างใด 


                เมื่อการทดลองที่น่าหวาดเสียวครั้งนั้นจบลงแล้ว พระราชาก็ได้ตรัสถามพวกราชบุรุษว่า “ขณะที่รับลูกของเรามาจากพญาช้าง พวกท่านเห็นลูกเราขยับมือและเท้าบ้างหรือไม่”  พวกราชบุรุษกราบทูลว่า  “ไม่ทรงขยับเลย พระเจ้าข้า”   พระราชาจึงหันพระพักตร์มาทางพวกอำมาตย์ แล้วรับสั่งว่า “ท่านอำมาตย์ แล้วเราจะทำอย่างไรกันต่อไป”  เมื่อเหล่าอำมาตย์ได้ฟังพระกระแสแล้ว ครั้นจะกราบทูลให้ทรงยุติการทดลองเสียกลางคัน ก็เห็นจะเป็นการไม่สมควร จึงได้กราบบังคมทูลพระราชาให้ทรงทดลองด้วยวิธีอื่นต่อไป 


                โดยอำมาตย์ผู้หนึ่งได้ถวายการแนะนำว่า “ขอเดชะ ธรรมดาเด็ก ๗ ขวบย่อมกลัวงู พวกข้าพระองค์จะทดลองพระราชกุมารด้วยงู พระเจ้าข้า”  กราบทูลดังนี้แล้ว จึงให้พระราชกุมารประทับนั่งอยู่ที่พระลานหลวง  แวดล้อมด้วยกุมารทั้งหลายที่วิ่งเล่นกันอยู่ แล้วปล่อยงูจำนวนมากซึ่งถอนเขี้ยวและเย็บปากแล้วเข้าไป กุมารทั้งหลายเห็นงูเลื้อยมาก็ร้องลั่น แตกตื่นวิ่งหนีกันไปคนละทิศละทาง  แต่พระราชกุมารก็มิได้ทรงหวาดกลัวหรือถอยหนี แม้งูจะเลื้อยมารัดพระกาย แผ่พังพานอยู่บนพระเศียรของพระกุมาร แต่ก็มิได้ทำให้พระองค์หวั่นไหวได้เลย ทรงระงับความกลัวเสียสิ้น ด้วยทรงนึกถึงภัยในนรกว่า “เราพินาศไปในปากงูร้าย ยังดีกว่าตายในนรกอันร้ายกาจ” ดำริดังนี้แล้วก็ทรงประทับนั่งนิ่งเหมือนเข้านิโรธสมาบัติ


                แม้จะทดลองอยู่อย่างนี้เป็นระยะๆ นานนับปี ก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวของพระราชกุมารแต่อย่างใด ทั้งพระราชาก็ทรงรับสั่งถามพวกราชบุรุษอยู่เนืองๆ ว่า “ขณะที่นำลูกของเราไปก็ดี ขณะที่นำมาก็ดี พวกท่านเห็นลูกของเราไหวมือและเท้าบ้างหรือไม่” ก็ทรงได้รับคำตอบเช่นเดิมว่า “ไม่เคยเห็นเลย พระเจ้าข้า” จึงทรงรับสั่งหารือต่อไปว่า “แล้วพวกเราจะทำอย่างไรดี” 


                ขณะนั้นคณะอำมาตย์จึงได้กราบทูลแนะนำว่า “ขอเดชะ ธรรมดาเด็ก ๘ ขวบชอบดูการฟ้อนรำ พวกข้าพระองค์จะทดลองพระราชกุมารด้วยการฟ้อนรำ พระเจ้าข้า”  เมื่อได้รับพระราชานุญาตแล้ว ก็นำพระราชกุมารมาให้ประทับนั่งที่พระลานหลวง กับกุมารทั้ง ๕๐๐ คน แล้วให้แสดงการฟ้อนรำ กุมารทั้งหลายต่างก็สนุกสนาน พากันหัวเราะเฮฮา ส่วนพระราชกุมารทรงนึกว่า “ในเวลาที่เราอยู่ในนรก ความรื่นเริงไม่มีเลยแม้เพียงชั่วขณะเดียว” จึงนิ่งเฉยไม่ทรงทอดพระเนตรดูเลย   


                พระราชกุมารทรงนึกถึงความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ที่เคยประสบมาในนรก ทรงมีเป้าหมายที่จะต้องออกไปให้พ้นจากราชมณเฑียร เหมือนปรารถนาจะหลุดพ้นออกจากนรก จึงทรงอดทนอดกลั้นมั่นคงอยู่ในปณิธานเรื่อยมา  จนกระทั่งในปีถัดมา พวกอำมาตย์ก็ได้กราบทูลพระราชาอีกว่า “ขอเดชะ ธรรมดาเด็กเก้าขวบย่อมกลัวศัสตรา พวกข้าพระองค์จะทดลองพระราชกุมารด้วยศัสตราดูพระเจ้าข้า” 
 
                กราบทูลดังนี้แล้ว ก็ให้พระราชกุมารประทับนั่งที่พระลานหลวงกับกุมารทั้ง ๕๐๐ ร้อย แล้วให้บุรุษร่างใหญ่แต่งกายดุจเพชฌฆาต ทำทีดุจจะประหารพระราชกุมาร   โดยให้บุรุษนั้นเกว่งดาบที่ลับดีแล้ว โห่ร้อง ขู่ตะคอก ร้องตวาดว่า “พระโอรสของพระเจ้ากาสิกราช มีลักษณะง่อยเปลี้ยไม่พูดไม่จา เขากล่าวกันว่าเป็นคนกาลกิณี บัดนี้พระโอรสนั้นอยู่ที่ไหน เราจะตัดหัวให้ขาดเสียเดี๋ยวนี้” ตะโกนพลางเดินเข้าไปหาพระราชกุมาร กุมารทั้งหลายเห็นดังนั้น ก็เกิดความสะดุ้งกลัวร้องลั่น วิ่งหนีไปคนละทิศละทาง  แต่พระกุมารก็ทรงนิ่งเหมือนไม่ทรงรับรู้สิ่งใดเลย แม้คมดาบจรดที่พระศอแล้ว ก็ไม่อาจทำให้พระองค์สะดุ้งกลัวได้ เมื่อเห็นว่าไร้ผลบุรุษนั้นก็ล่าถอยไป


           เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้แล้ว หลวงพ่อก็มีข้อสังเกตุ เกี่ยวกับพระบรมโพธิสัตว์ว่า หากมิใช่เพราะพระกุมาร เป็นผู้มีบุญญาธิการแล้วละก็ บททดสอบเพียงเท่านี้ ก็คงพอที่จะทำให้พระองค์ล้มเลิก ความตั้งใจเดิมได้แล้วแต่เพราะพระองค์ได้ฝึกฝน อบรมตนมาข้ามภพข้ามชาติ พระองค์จึงสามารถสอนตนเองได้ เมื่อตั้งใจจะทำอะไรแล้วก็จะทำให้สำเร็จให้จงได้ ไม่ยอมท้อแท้ หรือท้อถอยเสียกลางคัน ท่านมีจิตใจมั่นคง ดุจศิลาแท่งทึบที่ไม่ไหวต่อแรงลมทั้งสี่ทิศ เพราะฉะนั้นแม้เหล่าอำมาตย์จะพยายามทดลองด้วยวิธีการต่างๆ มานานหลายปี ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ ส่วนว่าพวกอำมาตย์จะหาอุบายอะไรมาทดสอบพระแต่มีเยกุมาร ให้เลิกล้มความตั้งใจ ก็ให้มาติดตามรับฟังกันต่อในวันพรุ่งนี้นะจ๊ะ 
        

โดย : หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล