Dhamma for people
ธรรมะเพื่อประชาชน
ชัยชนะครั้งที่ ๖ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
(ตอนที่ ๖ ชนะสัจจก-นิครนถ์)
ความสุขหรือความทุกข์ที่ทุกคนได้รับในปัจจุบันชาติ ล้วนเป็นผลมาจากกรรมที่ได้ทำไว้ในอดีตชาติ ผู้ที่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ดี มีเพียงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ และผู้มีรู้มีญาณเท่านั้น เพราะท่านเหล่านั้นเป็นผู้มีใจหยุดนิ่งได้อย่างสมบูรณ์ สามารถระลึกชาติได้ มีอนาคตังสญาณ รู้ไปถึงอนาคตได้ และกฏแห่งกรรมเป็นกฏสากล สิ่งใดที่เราทำไว้ ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล ไม่ได้สูญหายไปไหน ต้องส่งผลอย่างแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว การนั่งสมาธิเจริญภาวนา เป็นกรรมฝ่ายกุศลที่จะส่งผลให้เราพ้นทุกข์ พ้นจากอาสวกิเลสและเข้าถึงที่พึ่งภายใน คือ พระรัตนตรัย
สัจจกนิครนถ์ได้ชมเชยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งปรากฏใน มหาสัจจกสูตร ว่า
“พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นผู้ปรารภโต้ตอบวาทะกับท่านปูรณะกัสสป ท่านมักขลิโคสาล ท่านอชิตเกสกัมพล ท่านปกุธะกัจจายนะ ท่านสัญชัยเวลัฏฐบุตร ท่านนิครนถ์นาฏบุตร แม้ท่านเหล่านั้นปรารภโต้ตอบวาทะกับข้าพเจ้า ก็เอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อนเสีย และชักนำให้พูดนอกเรื่อง ทั้งทำความขัดเคืองขุ่นมัวให้ปรากฏ ส่วนพระโคดมผู้เจริญอันข้าพเจ้ามาสนทนากระทบกระทั่ง ทั้งไต่ถามด้วยถ้อยคำที่ปรุงแต่งอย่างนี้ ก็มีผิวพรรณสดใส ทั้งมีสีหน้าเปล่งปลั่ง เพราะพระองค์เปี่ยมด้วยมหากรุณา เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า”
นี้เป็นถ้อยคำของนักปราชญ์ผู้ถือตัว ผู้เป็นอาจารย์ของพระราชามหากษัตริย์ แต่ต้องยอมรับในพุทธปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยใจที่เลื่อมใสจริงๆ เพราะตนเองเคยดั้นด้นไปสอบถามเจ้าลัทธิต่างๆ พบแต่ความว่างเปล่า มีคำสอนที่หาสาระไม่ได้ ครั้นได้โต้วาทะกับพระพุทธเจ้า รู้ทันทีว่าไม่มีใครจะเสมอเหมือนพระพุทธองค์ ซึ่งตอนที่แล้ว จบลงตรงนี้ คราวนี้เรามาศึกษากันต่อว่า กว่าพระองค์จะได้บรรลุธรรมนั้น พระองค์ทรงลองผิดลองถูกมาอย่างไรบ้าง
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเล่าว่า “เทวดาเห็นพระองค์ทำความเพียรอย่างยิ่งยวด ต่างพากันกล่าวว่า “พระสมณโคดมทำกาละแล้ว บางพวกก็บอกว่ายัง บางพวกบอกว่า พระสมณโคดมกำลังจะตาย” แต่บางพวกบอกว่า “พระสมณโคดม ยังไม่ตาย ทั้งจะไม่ตาย แต่จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์”
พระพุทธองค์ทรงดำริหาวิธีใหม่โดยลดอาหารให้น้อยลงๆ เรื่อยๆ พวกเทวดาเกิดความสงสาร ต่างเข้ามาขอร้องว่า “ท่านอย่าปฏิบัติเช่นนั้นเลย ถ้าท่านจักอดอาหาร พวกเราจะแทรกโอชารสตามขุมขนของท่าน” แต่พระองค์ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากเทวดา เพราะได้ปฏิญญาอดอาหารแล้ว หากให้เทวดาทำเช่นนั้น จะเป็นการเสียสัจจะ แล้วทรงเริ่มเสวยอาหารให้น้อยลงๆ เหลือเพียงหยิบมือหนึ่งบ้าง เท่าเมล็ดถั่วเขียวบ้าง เท่าเมล็ดถั่วดำบ้าง เท่าเยื่อในเมล็ดบัวบ้าง ทำให้มีร่างกายซูบผอมมากเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก อวัยวะน้อยใหญ่ เนื้อตะโพกก็ลีบเหมือนกับอูฐ ซี่โครงทั้งสองข้างปรากฏเห็นได้ชัด
ดวงตาทั้งสองโบ๋ลึกเข้าไปในเบ้าตา เหมือนดวงดาวในบ่อน้ำลึก หนังบนศีรษะเหี่ยวเหมือนลูกนํ้าเต้าที่เขาตัดขณะยังดิบ เมื่อเอามือลูบหน้าท้องทรงสัมผัสถึงกระดูกสันหลัง เพราะผอมบางไม่มีอาหาร เมื่อนึกจะถ่ายอุจจาระและปัสสาวะก็ซวนเซล้มลง เมื่อจะให้กายสบายบ้าง เอามือลูบตัว เส้นขนที่มีรากเน่าก็หลุดร่วงจากพระวรกาย
มนุษย์ทั้งหลายเห็นเข้า พากันกล่าวว่า พระสมณโคดมดำไป บางพวกพูดว่า พระสมณโคดมไม่ดำเป็นแต่คลํ้าไป บางพวกพูดว่า ไม่ดำไม่คลํ้าเป็นแต่พร้อยไป พระองค์มีผิวพรรณผุดผ่องเปล่งปลั่ง แต่ผิวเสียเพราะเป็นผู้มีอาหารน้อยเท่านั้นเอง พระพุทธองค์ทรงดำริว่า “สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในอดีต ในอนาคต หรือในปัจจุบันที่เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส ที่เกิดขึ้นเพราะความเพียร ทุกขเวทนานั้นล้วนไม่เกินไปกว่านี้อีกแล้ว แต่เรายังมิได้บรรลุญาณทัสสนะอันวิเศษที่พอแก่การเป็นพระอริยะ เราบำเพ็ญทุกรกิริยาแสนสาหัส แต่ไม่สำเร็จผล ชะรอยทางแห่งการตรัสรู้ จะเป็นทางอื่นกระมัง”
เมื่อพิจารณาเช่นนั้น ทรงหวนระลึกถึงสมัยที่ยังเป็นเด็ก เมื่อคราวไปร่วมพิธีแรกนาขวัญกับพระบิดา พระองค์นั่งอยู่ใต้ร่มหว้า มีใจสงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ได้บรรลุปฐมฌาน จึงดำริว่า “สงสัยจะเป็นทางนั้นกระมังที่เป็นทางแห่งการตรัสรู้ หากเป็นทางตรัสรู้จริง ผู้ที่จะบรรลุธรรมต้องมีความสบายทั้งกายและใจ” พระองค์จึงเริ่มกลับมาเสวยอาหารเช่นเดิม
ปัญจวัคคีย์ที่คอยเฝ้าอุปัฏฐากเห็นพระองค์ทรงเลิกความเพียรอย่างอุกฤษฏ์พากันละทิ้งพระองค์ไปอยู่ที่อื่น พระองค์ไม่ได้ใส่ใจ เมื่อเสวยอาหารหยาบให้กายมีกำลังแล้ว สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย นั่งบำเพ็ญเพียรใต้ต้นโพธิ์ ทรงบรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌานไปตามลำดับ เมื่อจิตเป็นสมาธิตั้งมั่นไม่หวั่นไหวก็เข้าถึงพระธรรมกาย ทรงน้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสติญาณ สามารถระลึกชาติในอดีตได้ ปฐมยามพระองค์ทรงได้บรรลุวิชชาแรก เมื่ออวิชชาถูกกำจัด วิชชาก็บังเกิดขึ้นทันที
เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วปราศจากอุปกิเลส ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวแล้ว ทรงน้อมจิตไปเพื่อจุตูปปาตญาณ เห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี ผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ รู้ชัดซึ่งสัตว์ว่า เป็นไปตามกรรม และในมัชฌิมยามแห่งราตรีนั้น ทรงบรรลุวิชชาที่ ๒
จากนั้นทรงดำเนินจิตเข้าสู่กลางของกลางภายในเรื่อยไป จิตตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ทรงน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้สาเหตุแห่งทุกข์ นี้วิธีดับทุกข์ นี้เป็นทางพ้นทุกข์ จิตได้หลุดพ้นจากกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว มีญาณรู้ว่า พ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่ควรทำเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มีอีกต่อไป และในปัจฉิมยามทรงบรรลุวิชชาที่ ๓ ทรงปฏิญาณตนว่า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
สัจจกนิครนถ์ได้ฟังขั้นตอนการบำเพ็ญเพียรของพระองค์ จนได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณเช่นนั้นแล้ว ใช่ว่าจะอัศจรรย์ใจ กลับทูลถามเรื่องอื่นว่า “พระสมณโคดมเคยนอนหลับในเวลากลางวันบ้างไหม” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “หลังจากที่เรากลับจากบิณฑบาตภายหลังภัตกิจ ก็ปูสังฆาฏิให้เป็น ๔ ชั้น แล้วเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะก้าวลงสู่ความหลับโดยข้างเบื้องขวา” นิครนถ์ได้โอกาสรีบทูลว่า “ถ้าหากยังนอนกลางวัน แสดงว่ายังเป็นอยู่ด้วยความหลง”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสชัดเจนว่า “อาสวะเหล่าใดที่ทำให้เศร้าหมอง ให้เกิดภพใหม่ มีวิบากเป็นทุกข์ ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไป บุคคลใดยังละไม่ได้ นั่นแหละเป็นคนหลง แต่ถ้าละกิเลสเหล่านั้นได้แล้ว นับว่าเป็นผู้ตื่นอยู่ทุกเมื่อ ตถาคตละกิเลสอาสวะเหล่านั้นได้หมด มีรากอันตัดขาดแล้ว ทำให้ไม่มีที่ตั้งดังว่าต้นตาลยอดด้วน งอกใหม่ไม่ได้อีกแล้ว ไม่มีความเกิดต่อไปเป็นธรรมดา ฉะนั้น ตถาคตตัดขาดจากกิเลสอาสวะแล้ว ย่อมชื่อว่า เป็นผู้ตื่นอยู่ทุกเมื่อ”
เมื่อสัจจกนิครนถ์ได้ฟังคำตอบที่ชัดเจนเช่นนั้นแล้ว จำต้องจนด้วยคำถามที่สรรหามาถาม และยอมรับในการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธองค์ เกิดความเคารพเลื่อมใสว่า “เรื่องที่พระองค์กล่าวมานั้น น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยมีมาก่อน ข้าพเจ้ามาสนทนาไต่ถามด้วยถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้ แต่พระองค์ยังมีผิวพรรณผ่องใส ไม่มีความขัดเคือง นั่นเป็นเพราะพระองค์เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแท้”
จะเห็นว่า พระพุทธเจ้าของเราทรงได้ชัยชนะอย่างงดงาม ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลางและเบื้องปลาย ทรงได้รับการยกย่องจากผู้ที่ไม่ยอมยกย่องผู้ใดมาก่อน ทรงได้ชัยชนะด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ จึงสมควรที่พวกเราจะเทิดทูน บูชา และหมั่นสรรเสริญพระพุทธคุณ หมั่นฝึกฝนอบรมตน โดยก้าวตามรอยบาทพระบรมศาสดา ปฏิบัติตามพุทธโอวาท จะทำให้เราเป็นผู้มีชัยชนะตลอดกาล คือ สามารถเอาชนะกิเลสอาสวะภายในตัวได้และเข้าถึงพระธรรมกายกันทุกคน