Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
ตอน โปริสาท ตอนที่ 01
มีธรรมภาษิตที่พระองคุลีมาลเถระได้กล่าวเอาไว้ว่า
ผู้ใดเคยประมาทในกาลก่อนแต่ในภายหลังกลับถ่ายถอนความประมาทเขายังโลกนี้ให้สว่างดุจพระจันทร์ พ้นแล้วจากก้อนเมฆฉันนั้นเมื่อก่อนเราเป็นโจร ปรากฏชื่อว่า องคุลีมาล ถูกกิเลสดุจห้วงน้ำใหญ่พัดไป เรามีมือเปื้อนเลือด แต่เมื่อมาถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแล้ว จึงถอนตัณหาอันจะนำไปสู่ภพเสียได้
เราทำกรรม ที่จะให้ถึงทุคติเช่นนั้นไว้มาก ถูกวิบากกรรมพัดพาไป พวกคนพาลไร้ปัญญา มักตามประกอบความประมาท ส่วนนักปราชญ์ทั้งหลายย่อมรักาความไม่ประมาทไว้เหมือนรักษาทรัพย์อันประเสริฐ ท่านทั้งหลายจงอย่าประมาท อย่ายินดีในกาม เพราะว่าผู้ไม่ประมาทแล้วเพียงเพ่งอยู่ ย่อมถึงความสุขอันไพรบูรณ์
นี่เป็นคำอุทานของพระอรหันตเถระรูปหนึ่ง ซึ่งรู้จักกันดีในนามของพระองคุลีมาล ท่านเป็นผู้มีประวัติการสร้างบารมีที่น่าศึกษามาก เพราะช่วงชีวิตในสังสารวัฏของท่านได้ผ่านการผจญภัยที่โชกโชนมามาก ชีวิตมีขึ้นมีลงยิ่งกว่าคลื่นทะเล ท่องไปในสังสารวัฏทั้งยังเป็นสุคติภูมิคือเสวยสุขในสวรรค์และมีทั้งไปเสวยวิบากกรรมในนรกเพราะกรรมปาณาติบาตเคยเกิดเป็นยักษ์มาหลายชาติ ตกนรกก็หลายครั้ง เป็นอะไรต่ออะไรมาเยอะแยะมากมาย เพราะกิเลสบังคับให้สร้างกรรมและเกิดผลของกรรมคือวิบากตามมา เกลียวชีวิตของท่านจึงมีความสลับซับซ้อม
แม้แต่ชีวิตในภพชาติปัจจุบันซึ่งเป็นภพชาติสุดท้ายกว่าจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ท่านก็ถูกคนประณามว่าเป็นมหาโจร เพราะถูกอาจารย์สั่งให้ไปหานิ้วมือมนุษย์มาหนึ่งพันนิ้ว เพื่อแลกกับวิชาที่จะทำให้เป็นเจ้าโลก ท่านเป็นคนฉลาดมากแต่ว่าขาดความเฉลียวใจ คิดแต่จะไปให้สุดสายวิชาที่กำลังเล่าเรียนอย่างเดียว ทำให้พลาดพลั้งไปฆ่ามนุษย์มากมาย เมื่ออกุศลเข้าสิงจิตมากเข้าจนเลือดเข้าตา ท่านต้องเกือบทำมาตุฆาต คือฆ่ามารดาของตน แต่อาศัยพระบรมศาสดาช่วยเอาไว้ ทำให้ท่านพบหนทางสว่างแห่งชีวิต
เรื่องราวในภพปัจจุบันของท่านหลวงพ่อจะไม่นำมาเล่าในที่นี้แต่จะเล่าชีวประวัติการสร้างบารมีของท่านในสมัยที่เป็นกษัตริย์ ยินดีในการเสวยเนื้อมนุษย์เป็นอาหารจานโปรด โดยชื่อเรื่องคือจอมโจรโปริสาทหรือยอดมนุษย์กินคน
ในสมัยพุทธกาลหลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปราบองคุลีมาลให้กลายเป็นพระอริยเจ้าผู้เปี่ยมล้มไปด้วยมหากรุณาแล้ว ภิกษุสงฆ์ได้สนทนากันในโรงธรรมสภาว่า“น่าอัศจรรย์จริงที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปราบพระองคุลีมาล ผู้เคยเป็นมหาโจร มีฝ่ามือชุ่มไปด้วยเลือดโดยไม่ต้องใช้อาวุธหรือศาสตราใดๆ ทรงสามารถทำให้หมดพยศได้ นับว่าทรงทำในสิ่งที่ทำได้ยาก ธรรมดาว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ทำกิจที่ทำได้ยาก ให้สำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์”
ในขณะเดียวกันนั้นพระบรมศาสดาประทับอยู่ในพระคันธกุฎีได้ทรงสดับถ้อยคำของภิกษุสงฆ์ด้วยทิพโสต จึงเสด็จออกจากพระคันธกุฎีเดินเข้าไปในพระธรรมสภา เมื่อประทับนั่งบนอาสนะที่ภิกษุจัดถวายแล้วจึงตรัสถามภิกษุสงฆ์ว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอกำลังสนทนาเรื่องอะไรกันอยู่หรือ”เมื่อภิกษุกราบทูลให้ทรงทราบจึงตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเราได้บรรลุปรมาภิสัมโพธิญาณในบัดนี้และสามารถปราบพระองคุลีมาลได้ไม่น่าอัศจรรย์เลย เมื่อครั้งเรายังบำเพ็ญบารมีก็สามารถปราบพระองคุลีมาลผู้มีฤทธิ์มากด้วยปัญญา เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่า”
เมื่อภิกษุสงฆ์กราบอาราธนาให้ทรงเล่าเรื่องในอดีตของพระองคุลีมาล พุทธองค์ทรงนำเรื่องจอมโจรโปริสาทมาเล่าให้หมู่ภิกษุสงฆ์มารับฟังกัน
เรื่องมีอยู่ว่า ในอดีตกาลพระโพธิสัตว์ทรงถือกำเนิดเป็นราชกุมารของพระเจ้าโกรัพยะในนครอินทปัตแคว้นกุรุ เนื่องจากพระราชกุมารมีพระพักตร์งดงามดั่งดวงจันทร์และมีนิสัยใฝ่ในการศึกษาหาความรู้ แต่ไม่ยินดีในเรื่องการรบราฆ่าฟัน พระประยูรญาติจึงขนานนามว่า สุตโสม
ครั้นทรงเติบใหญ่อยู่ในวัยเรียนพระราชาทรงพระราชทานทองลิ่มชนิดเนื้อดีราคาพันหนึ่งเพื่อนำไปเป็นค่าศึกษาศิลปศาสตร์ในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ที่เมืองเมืองตักกศิลา พระกุมารรับทรัพย์แล้วก็ออกเดินทางไปทันที ทางด้านพรหมทัตกุมารพระโอรสของพระเจ้ากาสิกราชในพระนครพาราณสีก็ได้ออกเดินทางไปเมืองตักกศิลาเพื่อศึกษาศิลปะศิลาเช่นกัน เมื่อต่างฝ่ายต่างเดินทางมาถึงศาลาที่พักริมทางแห่งหนึ่ง
สุตโสมกุมารได้เริ่มเข้าไปทักทายสนทนาปราศรัยก่อนได้ซักถามเป้าหมายในการเดินทาง ครั้นต่างฝ่ายต่างแนะนำตนเองก็ทำให้เกิดความคุ้นเคยและทรงเป็นมิตรที่ดีต่อกัน หลังจากพักเหนื่อยจากการเดินทางไกลแล้วจึงชักชวนกันเข้าพระนคร ซักถามหนทางไปสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์จากคนในเมือง
เมื่อรู้เส้นทางแล้วก็พากันไปไหว้อาจารย์ แจ้งชาติกำเนิดของตนพร้อมกับบอกวัตถุประสงค์ของการเดินทางมาในครั้งนี้ พระอาจารย์เห็นว่าพระกุมารทั้งสองเป็นผู้มีบุญญาธิการมีคุณสมบัติเพียบพร้อมในการที่จะศึกษาศิลปวิทยา จึงรับไว้เป็นลูกศิษย์ เมื่อราชกุมารทั้งสองผ่านการทดสอบแล้วก็ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียน
จากนั้นก็ได้มอบทรัพย์ซึ่งเป็นค่าเล่าเรียบให้อาจารย์และเริ่มเรียนศิลปะวิทยาแขนงต่างๆด้วยความตั้งอกตั้งใจ ในสมัยนั้นแม้พระราชบุตรอื่นๆในชมพูทวีปหนึ่งร้อยหนึ่งพระองค์ก็เรียนศิลปะอยู่ในสำนักของอาจารย์ทิศาปาโมกข์
สุตโสมกุมารเป็นลูกศิษย์ที่มีความโดดเด่นที่สุด เพราะท่านมีสติปัญญามาก เพียงร่ำเรียนได้ไม่นานก็สำเร็จในศาสตร์ทุกแขนง เมื่อเรียบจบแล้วสุตโสมกุมารก็ไม่ได้รีบเสด็จกลับนคร เพราะต้องรอให้พรหมทัตกุมารเรียนสำเร็จเสียก่อน เนื่องจากถือว่ามาด้วยกันก็ต้องกลับไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นตั้งแต่นั้นมาสุตโสมกุมารได้คอยให้กำลังใจในการศึกษา ขณะเดียวกันก็แนะนำพระสหายในสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ ทำให้พรหมทัตกุมารแจ่มแจ้งมากขึ้นและสำเร็จการศึกษาในเวลาต่อมาเพียงไม่นาน