Dhamma for people
ธรรมะเพื่อประชาชน
ถวายภิกษาพาพ้นทุกข์
ทุกชีวิตที่เกิดขึ้นมามีจุดสุดท้ายที่เหมือนกัน คือล้วนบ่ายหน้าไปสู่ความตาย ความตายนั้นติดตัวเรามาพร้อมๆ กับการลืมตาขึ้นมาดูโลก บัณฑิตนักปราชญ์ผู้มีปัญญาจะมองเห็นว่าความตายน่ะ ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว แต่เป็นเครื่องเตือนสติไม่ให้ประมาทมัวเมาในชีวิต จะได้ดำรงตนให้เหมาะสมกับการเกิดมาเป็นมนุษย์ เมื่อทราบว่าไม่สามารถที่จะพ้นจากพยามัจจุราชไปได้ ก็ตั้งใจสร้างบุญบารมีอย่างเต็มที่ เมื่อถึงเวลาที่จะละจากโลกนี้ไป ก็จากไปอย่างไม่สะทกสะท้าน เพียงแต่ย้ายที่อยู่ ที่ทำงานใหม่ ไปสู่ภพภูมิที่เหมาะสมกับบุญบารมีที่ได้ทำเอาไว้ เสวยผลบุญรอเวลาที่จะมาสร้างบารมีต่อไปในโลกมนุษย์ สร้างบารมีไปจนกว่า จะสามารถขจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปได้ เมื่อนั้นก็จะหลุดพ้นจากพยามัจจุราช ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
มีวาระแห่งภาษิตที่ปรากฎอยู่ในอันนสังสาวกเถราปทานที่ ๕ ความว่า
"เรามีปีติอย่างยิ่ง เราได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระฉวีวรรณดั่งทองคำ พระนามว่าสิทธัตถะ เสด็จดำเนินอยู่ในระหว่างชุมชน มีพระลักษณะประเสริฐ ๓๒ ประการ ดั่งดวงประทีปส่องโลกให้โชติช่วงหาประมาณมิได้ ไม่มีใครเปรียบ ทรงฝึกพระองค์ แล้วยังความรุ่งเรืองให้ปรากฏ เราถวายอภิวาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิมนต์พระองค์ ผู้เป็นมหามุนี ให้เสวยภัตตาหาร พระมหามุนี ผู้ประกอบไปด้วยมหากรุณาในโลก ทรงอนุโมทนาแก่เราในกาลนั้น เรายังจิตให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ผู้ทรงพระมหากรุณาพระองค์นั้น ทำความแช่มชื่นเบิกบานแล้ว ได้บันเทิงอยู่ในสวรรค์ตลอดหนึ่งกัป ในกัปที่ ๙๔ แต่กัปนี้ เราได้ถวายทานใดในเวลานั้น ด้วยผลแห่งทานนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย" นี้ก็เป็นผลแห่งการถวายภัตตาหาร
นี่เป็นคำกล่าวของพระเถระรูปหนึ่ง ที่ท่านบรรลุพระอรหันต์แล้ว ก็ได้ระลึกถึงบุพกรรมที่สร้างเอาไว้ในอดีต ท่านประกาศบุพกรรมท่ามกลางมหาชน ทำให้สาธุชนทั้งหลาย ต่างก็เชื่อมั่นในผลแห่งกรรมว่า ผลบุญนี้มีอานิสงส์ไม่มีประมาณ การถวายทานเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ในชีวิตของทุกๆ คนเพราะคนเราเกิดมาในโลกนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยปัจจัย ๔ ในการดำรงชีพ คือต้องมีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรค ในแต่ละภพแต่ละชาติที่ทุกๆ คนเกิดมา จะมีบุญเก่าคอยหล่อเลี้ยง หากใครก็ตาม ที่ได้สร้างมหาทารบารมีเอาไว้มาก การเกิดขึ้นของปัจจัย ๔ ก็สะดวกสบาย เกิดขึ้นอย่างง่ายดาย
พระเถระรูปนี้นับว่าท่านเป็นผู้ที่มีบุญเก่าสั่งสมมาดี เพราะท่านได้มองย้อนไปดูประวัติ ในแต่ละภพแต่ละชาติทำให้ทราบว่า ท่านเป็นผู้ที่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา และได้บำเพ็ญบุญเอาไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ อันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน มาหลายภพหลายชาติ ทำให้บุญที่สั่งสมเอาไว้ ส่งผลให้เจริญรุ่งเรืองเป็นบุญต่อบุญ สมบัติต่อสมบัติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้จะเกิดในยุคใดก็ตาม ท่านก็มีโอกาสสร้างบุญทุกๆ ครั้งตามกำลังและสภาวะของตนในภพชาตินั้นๆ
แม้ในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิทธัตถะ ท่านท่านได้บังเกิดในตระกูลหนึ่ง ตอนนั้นยังไม่ทราบถึงการเสด็จอุบัติขึ้นของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ใช้ชีวิตเยี่ยงชาวโลกทั่วๆ ไปโดยไม่ได้สร้างบุญอะไรเป็นพิเศษ แต่อนุภาพแห่งบุญที่ท่านเคยทำต่อเนื่องกันมาหลายชาติ ได้ส่งผลให้ตัวท่านเป็นผู้มีจิตเมตตา อ่อนโยนกับทุกๆ คนไม่เป็นคนตระหนี่และไร้น้ำใจแต่อย่างใด
วันหนึ่งเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริก ผ่านไปยังเมืองที่กุลบุตรท่านนี้อาศัยอยู่ กุลบุตรผู้ใจบุญ เมื่อเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้งดงาม ด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ และมณฑลแห่งพระรัศมีด้านละวา กำลังเสด็จบิณฑบาตอยู่ ก็มีจิตเลื่อมใสคิดในใจทันทีว่า สมณะรูปนี้งดงามน่าเลื่อมใสยิ่งนัก ชะรอยพระองค์ต้องเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงคุณอันประเสริฐเป็นแน่แท้ เป็นบุญลาภของเราแล้วหนอ ที่จะได้สร้างบุญใหญ่กับพระพุทธองค์
เมื่อดำริอย่างนี้ ก็ก้มลงกราบพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมกับอาราธนาพระองค์ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์จงอนุเคราะห์ข้าพระองค์ด้วยเถิด ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะได้บุญใหญ่ โอกาสที่พระองค์จะผ่านมาทางนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายเลย ข้าพระองค์อยากจะถวายภัตตาหาร อันควรแก่สมณะบริโภค ขอพระองค์ทรงรับอาราธนาด้วยเถิด พระผู้มีพระภาคก็ทรงรับด้วยอาการดุษฎี
กุลบุตรท่านนี้ก็ดีใจมาก เชื้อเชิญพระผู้มีพระภาคเจ้าไปสู่เรือน และก็น้อมถวายภัตตาหารมีรสเลิศ ยังพระบรมศาสดาให้บริโภคอิ่มหนำสำราญด้วยข้าวและน้ำอันประเสริฐ ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นผ่านไป การถวายภัตตาหารในครั้งนั้น ได้ประทับอยู่ในใจของกุลบุตรนั้นมาตลอดเวลา ด้วยอานุภาพแห่งการถวายภัตตาหาร ด้วยจิตที่เลื่อมใสอย่างไม่มีประมาณนั้น หลังจากที่จากโลกนี้ไป ก็ทำให้ท่านไปบังเกิดในเทวโลก เสวยทิพยสมบัติอันโอฬารอย่างยาวนาน เวียนวนอยู่ในเทวโลกกับมนุษยโลกหลายภพหลายชาติทีเดียว
จนกระทั่งมาถึงสมัยพุทธกาลในยุคของเรานี้ ท่านได้บังเกิดในตระกูลหนึ่ง ในยุคนั้นพระสัจธรรมกำลังรุ่งเรือง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนา ยังแว่นแคว้นต่างๆ ทั่วชมพูทวีป แม้แต่พระองค์เองก็เสด็จจาริกไปตามเมืองต่างๆ เพื่อประกาศพระสัจธรรมเช่นกัน มนุษย์และเทวดาทั้งหลายที่มีโอกาสได้ฟังธรรม ก็ได้บรรลุธรรมตามกำลังบุญของตนเป็นจำนวนมาก
กุลบุตรผู้มีบุญนี้ ก็มีโอกาสได้ฟังธรรมและเกิดความเลื่อมใสอย่างยิ่ง กอปรกับบุญเก่าส่งหนุนนำให้ได้คิดว่า การใช้ชีวิตฆราวาสนั้นเป็นชีวิตที่คับแคบ ไม่เป็นอิสระจากอาสวะกิเลสทั้งหลาย ตัวเราเองเป็นผู้ที่มีโอกาสดี ที่ได้เกิดมาพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่ควรที่จะปล่อยโอกาสดีๆ ให้ผ่านไป ควรที่เราจะหาโอกาสปฏิบัติธรรมให้เต็มที่ ท่านจึงตัดสินใจออกบวชเรียนกรรมฐานแล้วก็ตั้งใจปฏิบัติธรรม บุญในตัวที่ได้สั่งสมมาดี ได้ส่งผลให้ท่านเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมได้อย่างสะดวกสบาย สามารถเจริญวิปัสสนาจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ ในเวลาไม่นานเลย
ด้วยอานุภาพบุญเก่าที่ได้สร้างมหาทานบารมีนั้น จึงทำให้ท่านปรากฏนามว่า อันนสังสาวกเถระคือผู้สมปรารถนาด้วยอำนาจแห่งบุญ ที่ตนทำไว้ในการก่อน ต่อมาภายหลังท่านได้ระลึกถึงบุพกรรมของตน ก็ได้เห็นภาพแห่งการสร้างบารมี ที่ผ่านมาจึงเกิดโสมนัส เมื่อจะประกาศบุพจาริตาประทานคือเรื่องราวการสร้างบารมีที่ตนเองได้สั่งสมไว้ในการก่อน จึงเปร่งอุทานว่า เราบรรลุพระอรหัตด้วยอานุภาพแห่งบุญคือ การถวายภัตตาหารในการนั้น
อานุภาพบุญนี้ยิ่งใหญ่เหลือเกิน ได้ตามส่งผลให้เราหลายภพหลายชาติ คุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว ผู้ใคร่ในบุญทั้งหลาย พึงทำบุญ อย่าได้ประมาทในการสร้างบุญ คือการถวายภัตตาหารเลย
นี่ก็คือเรื่องราวการสร้างบารมีของพระอรหันตเถระผู้ทรงคุณวิเศษ ที่ท่านได้ยืนยันในการสร้างบารมีว่า ใครทำบุญไว้ดีแล้ว ผลบุญที่บังเกิดขึ้นจะบันดาลให้สำเร็จสมปรารถนาในชีวิต ได้บรรลุจุดหมายปลายทาง คือมรรคผลนิพพานอย่างแน่นอน แล้วบุญจะคอยค้ำจุนให้เราได้พบเจอแต่สิ่งที่ดีงามตลอดชีวิต ดังนั้นลูกๆ ทุกคนไม่ควรที่จะมองข้ามมหากุศล คือการถวายภัตตาหารแด่ผู้ประพฤติธรรมนะจ๊ะ
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)