Dhamma for people
ธรรมะเพื่อประชาชน
ผิดพลาดเพราะลำเอียง (๕)
สรรพสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาล้วนเคยเป็นญาติกันมาก่อน โลกใบนี้เปรียบเสมือนบ้านหลังใหญ่ที่มีประชากรโลกเป็นสมาชิกครอบครัว การมีจิตเมตตาปรารถนาดีต่อกัน มีจิตกรุณาช่วยเหลือกันให้พ้นจากทุกข์ มีมุทิตาจิตต่อความดีของผู้อื่น รวมทั้งมีอุเบกขาธรรม วางใจเป็นกลางๆ ทั้งในเรื่องดีและร้ายที่บังเกิดขึ้น นับเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนพึงมีต่อกัน ความรู้สึกเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อจิตของเราได้พัฒนาให้มีคุณภาพ มีความบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น เราน่ะจะมีความสุขและอยากจะแบ่งปันความสุขให้กับทุกๆ คน ซึ่งความรู้สึกนี้น่ะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสันติสุขอันไพบูลย์ ที่จะนำไปสู่การบรรลุมรรคผลนิพพาน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในเนรุชาดกว่า
อมานาน ยตฺถสิยา
สนฺตานํ วา วิมานนา
หีนสมฺมานนา วาปิ
น ตตฺถ วสตี วเส
ในที่ใดไม่นับถือคนดี มีแต่ดูถูกคนดีหรือมีแต่ยกย่องคนเลว ในที่นั้นคนดีย่อมอยู่ไม่ได้แน่นอน
โลกในยุคปัจจุบันนี้กำลังต้องการคนดีมีศีลธรรม มาช่วยกันคุ้มครองโลกและพัฒนาโลกให้เจริญรุ่งเรือง ให้เป็นโลกแห่งสันติสุขที่ทุกคนมีธรรมะภายใน เป็นที่พึ่งที่ระลึกในขณะที่ผู้ปรารถนาดีต่อโลก กำลังร่วมกันทำในสิ่งที่ดีงาม สร้างสรรค์โลกนี้ให้มีสันติสุข แต่กลับถูกมองไปในทางที่ตรงกันข้าม ก็จะมีคนดีอย่างนี้หลงเหลืออยู่ในโลกอีกหรือ เพราะสภาพจิตใจของเขาได้เสื่อมลง แทนที่จะสนับสนุนคนดีกลับไปขัดขวาง แล้วก็ยกย่องคนชั่วขึ้นมาแทน จึงทำให้สังคมในปัจจุบันนี้มีแต่ความสับสนวุ่นวาย เหมือนดังเรื่องที่หลวงพ่อได้เล่าติดต่อกันมาหลายวันซึ่งวันนี้ก็มาถึงตอนสุดท้ายแล้วนะจ๊ะ
เรื่องราวที่ผ่านมาก็คือพระราชาทรงหาทางกำจัดปุโรหิตชื่อธรรมธัช ผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์และภักดีเสมอมา เพราะอาศัยกาฬกะเสนาบดีผู้เป็นพาล ทำตนเป็นดุจมหาโจรที่หลบซ่อนอยู่ในพระราชวัง แต่พระโพธิสัตว์อาศัยฉัตตปาณีผู้เป็นช่างกัลบกได้ช่วยเหลือ ทำให้ได้มีโอกาสทำความดียิ่งๆ ขึ้นไป เรื่องในวันนี้ก็ถึงตอนที่ พระราชาตรัสถามฉัตตปาณีว่า ฉัตตปาณีท่านเห็นอารมณ์อะไร จึงสามารถวางใจเป็นกลางแม้ในบุคคลที่ควรรัก ฉัตตปาณีกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช เมื่อครั้งก่อนข้าพระองค์เป็นพระราชา พระนามว่ากิตวาส ในกรุงพาราณสี โอรสของข้าพระองค์ได้รับการทำนายลักษณะจากโหราจารย์ผู้ชำนาญว่า พระโอรสนี้จะอดน้ำสิ้นพระชนม์
พระชนกชนนีทรงขนานนามพระโอรสนั้นว่า ทุฏฐราชกุมาร ครั้นพระโอรสเจริญวัยแล้วได้ดำรงตำแหน่งเป็นอุปราช พระราชาทรงมีพระหฤทัยโปรดปรานพระโอรสมาก มักจะให้ติดตามเป็นในงานราชกิจต่างๆ ไม่เคยขาด ด้วยหวังว่าเมื่อถึงเวลาอันสมควร จะให้สืบทอดราชสมบัติแทนพระองค์ คำทำนายของโหราจารย์ยังฝังลึกอยู่ในพระทัยของพระองค์เสมอมา แม้ไม่มีวี่แววว่า พระโอรสจะอดน้ำสิ้นพระชนม์ก็ตาม ทำให้พระองค์เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ด้วยหัวอกของบิดา ผู้มีความรักและปรารถนาดีต่อพระโอรสเป็นอย่างมาก ทรงหวั่นเกรงว่าพระโอรสจะอดน้ำตาย จึงรับสั่งให้ราชบุรุษช่วยกันขุดสระโบกขรณีไว้ ในที่ต่างๆ ภายในพระนคร แล้วทรงรับสั่งให้สร้างมณฑปไหว้ตามสี่แยก แล้วให้ตั้งตุ่มน้ำดื่มไว้เป็นจำนวนมากเพื่อพระโอรสสุดที่รัก
วันหนึ่งขณะที่พระกุมารแต่งพระองค์เสด็จประพาสอุทยานแต่เช้าตรู่ ระหว่างทางได้พบพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ซึ่งกำลังเที่ยวจาริกไปบิณฑบาตในพระนคร มหาชนเห็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าแล้ว ต่างก็กราบไหว้สรรเสริญและประคองอัญชลี ดีใจว่านานแล้วหนอจะมีพระคุณเจ้ามาโปรดในพระนคร
แต่พระกุมารกลับคิดแตกต่างจากชาวพระนครว่า สมณะรูปนี้น่ะไม่ทำมาหากิน มัวแต่ขออาหารที่คนอื่นหามาได้ด้วยความยากลำบาก ชาวพระนครแทนที่จะมาแสดงความเคารพนอบน้อมต่อเรา แต่กลับไปนอบน้อมสมณะโล้นผู้ไม่มีที่พักเป็นหลักแหล่ง เมื่อมิจฉาสังกัปปะคือ ความดำริที่ผิดบังเกิดขึ้นในพระทัยก็ทรงพิโรธ ประกอบกับความอิจฉาพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงเสด็จลงจากช้างเข้าไปหาพระปัจเจกพระพุทธเจ้า แล้วก็แย่งบาตรจากมือพระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุ่มลงไปบนพื้นดิน จากนั้นก็เอาพระบาตรเหยีบภัตตาหารย่ำไปย่ำมาให้แหลก ฝ่ายพระปัจเจกพระพุทธเจ้ายืนมองพระกุมาร ด้วยใจที่เป็นปกติได้แต่คิดสงสารในการกระทำของพระกุมารว่า สัตว์ผู้นี้เห็นทีจะวอดวายเสียแล้ว ทางด้านพระกุมารก็หันมากล่าวสัพยอกว่า สมณะเราเป็นโอรสของพระเจ้ากิตวาส มีนามว่าทุฏฐราชกุมารแม้ท่านจะโกรธเราจะทำอะไรเราได้ ต่อจากนี้ไปท่านอย่าได้เข้ามาในพระนครของเราอีก
พระปัจจเจกพุทธเจ้าผู้ไม่มีทั้งความรักและความชัง ปราศจากความโกรธและความเกลียด เมื่อเห็นว่าบาดแตกแล้วจึงเหาะขึ้นสู่เวหาไปที่เงื้อมเขานันทมูลกะมูลในป่าหิมพาน ขณะนั้นนั่นเองด้วยกรรมของพระกุมาร ผู้ประทุษร้ายต่อบุคคลผู้บริสุทธิ์ก็ให้ผลทันตา พระกุมารมีพระวรกายเร่าร้อนพลุ่งพล่านตรัสว่า ร้อนเหลือเกิน จากนั้นก็ล้มลงเกลือกกลิ้งบนแผ่นดิน พวกราชบุรุษได้รีบไปหาน้ำมาให้พระกุมารดื่ม แต่น้ำทั้งหมดที่มีอยู่บริเวณนั้นก็เหือดแห้ง สระโบกขรณีที่ขุดเตรียมเอาไว้ก็แห้งผาก พระกุมารก็สิ้นชีพในที่นั้นนั่นเอง ครั้นละโลกแล้วก็ไปบังเกิดในอเวจีมหานรก
พระราชาครั้นสดับข่าวการจากไปของพระโอรสแล้ว ก็ถูกความโศกเข้าครอบงำ ทรงตรอมพระทัยไม่เสวยพระกายาหารเป็นเวลาหลายวัน มีพระวรกายซูบผอมลงไปเรื่อยๆ ใครจะปลอบโยนอย่างไรก็ไม่รับฟัง พอครบ ๗ วันจึงมาพิจารณาถึงความทุกข์ เพราะความพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักว่า ความโศกของเรานี้น่ะเกิดขึ้นแต่สิ่งที่เรารัก ทำให้เราน่ะละเลยราชกิจ เพื่อประโยชน์สุขของมหาชน หากเราจะไม่มีความรักแล้ว ความโศกก็จะไม่บังเกิดขึ้นเลย เอาเถิดตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขึ้นชื่อว่าความรักในสิ่งใดๆ ทั้งที่มีวิญญาณครองหรือว่าไม่มีวิญญาณครองอย่าได้เกิดขึ้นแก่เราเลย เมื่ออธิษฐานจิตมั่นอย่างนี้แล้ว ตั้งแต่นั้นมาพระราชาก็ไม่ยอมเป็นทุกข์เพราะความรักต่อใครอีกเลย
พระราชาครั้นสดับแล้วก็อนุโมทนาและตรัสถามต่อไปว่า สัตบุรุษท่านเห็นอารมณ์อันใดเล่าจึงเป็นผู้ไม่โกรธ ฉัตตปาณีกราบทูลว่าข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์เคยเป็นดาบสชื่อว่าอรกะ เจริญเมตตาจิต ๗ ปี อยู่ในพรหมโลก ๗ กัป ด้วยเมตตาภาวนาที่สั่งสมมานาน เพราะฉะนั้นแม้ในภพชาตินี้จึงเป็นผู้ที่ไม่โกรธ
เมื่อฉัตตปาณีกราบทูลคุณธรรม ๔ ประการของตนอย่างนี้แล้วก็ได้ทุนยกย่องปุโรหิตธรรมธัชว่า เป็นบัณฑิตที่พระองค์ไม่ควรกลั่นแกล้งปทุษร้าย ส่วนกาฬกะเสนาบดีเป็นผู้มากไปด้วยความโลภ ความโกรธและความหลง ชอบกินสินบน กระทำตนเหมือนมหาโจรที่หลบซ่อนอยู่ในพระราชวัง ชาวพระนครเมื่อได้ฟังแล้วจึงช่วยกันจับเสนาบดีทุบตีจนตาย ตั้งแต่นั้นมาธรรมธัชบัณฑิตก็ได้รับความไว้วางใจ ให้ทำหน้าที่ช่วยบริหารราชการแผ่นดิน จนประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง
เห็นไหมจ๊ะ ว่าการยกย่องคนดีที่ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยกย่องคนดีมีศีลธรรมก็จะทำให้ชีวิตของเราเจริญรุ่งเรืองตามไปด้วย เพราะฉะนั้นให้หมั่นพิจารณาดูข้อบกพร่องของตัวเองเสมอว่า ที่ผ่านมานั้นเราน่ะเป็นคนมีอคติความลำเอียงหรือเปล่า เป็นคนหูเบาหรือเปล่า ถ้ามีก็รีบแก้ไขปรับปรุงกันไป ไม่มีอะไรสายเกินไปสำหรับการฝึกฝนอบรมตนเอง ให้เป็นคนดีมีใจซื่อตรง เพราะชาตินี้เราเกิดมาเพื่อแก้ไขตัวเองอยู่แล้ว ถ้าแก้ไขได้ในชาตินี้ภพชาติต่อไปเราก็จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ หากเราฝึกในเรื่องหยาบๆ ภายนอกได้ดีหมั่นแก้ไขข้อบกพร่องอยู่เสมอ เป็นคนหนักแน่นในความเที่ยงธรรม เป็นผู้มีใจเที่ยงตรงเหมือนตาชั่ง เมื่อปฏิบัติธรรมก็จะมีใจเที่ยงตรงต่อหนทางพระนิพพาน ได้เข้าถึงพระธรรมกายภายในได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นน่ะ ให้ลูกๆ ทุกคนหมั่นฝึกฝนตนเรื่อยไป แล้วก็ฝึกใจให้หยุดนิ่ง ให้เข้าถึงพระรัตนตรัยกันให้ได้นะจ๊ะ