ธรรมะเพื่อประชาชน พร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย เพราะคำว่าบุญนี้เป็นชื่อของความสุข ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราย่อมรู้ชัดผลแห่งบุญอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ที่เราเสวยแล้วตลอดกาลนาน

ชาดก : ธรรมะเพื่อประชาชน Dhamma for peopleรวมนิทานอีสปพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ธรรมะเพื่อประชาชน : พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ๐๕


ธรรมะเพื่อประชาชน : พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ๐๕

Dhamma for people
ธรรมะเพื่อประชาชน

DhammaPP168_01.jpg

พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ๐๕

                    การดำเนินชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัยในสังสารวัฏ เราจะต้องรู้ว่าสิ่งไหนเป็นบุญสิ่งไหนเป็นบาป แล้วดำรงตนให้อยู่ในเส้นทางของบุญเส้นทางของความดี เพราะถ้าไม่รู้ในสิ่งเหล่านี้แล้ว จะทำให้เราพลาดพลั้งไปทำบาปอกุศล ทำให้ชีวิตต้องมัวหมองและทุกข์ทรมานได้ เมื่อยังไม่รู้ก็ต้องแสวงหาท่านผู้รู้ เข้าไปสอบถามในสิ่งที่สงสัย 

 


                    ท่านผู้รู้เหล่านั้นได้แก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย หรือพระสงฆ์ผู้มีภูมิรู้ภูมิธรรม ที่สามารถแนะนำเส้นทางสวรรค์และนิพพานให้กับเราได้ ที่สำคัญคือต้องหมั่นเข้าไปหาผู้รู้ภายในคือพระธรรมกาย หรือวิธีการหยุดใจที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ปล่อยใจเข้าไปภายใน เพื่อแสวงหาความรู้แจ้งที่เกิดจากปัญญาบริสุทธิ์ แล้วเราจะเข้าถึงผู้รู้แจ้งเห็นแจ้งภายในกันนะจ๊ะ


                    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน สุปปพุทธกุฏฐิสูตร ว่า

                    จกฺขุมา วิสมานีว
                    วิชฺชมาเน ปรกฺกเม
                    ปณฺฑิโต ชีวโลกสฺมึ
                    ปาปานิ ปริวชฺชเย

 

                    บุรุษผู้เป็นบัณฑิตพึงละเว้นบาปทั้งหลายในโลก เหมือนบุรุษผู้มีจักษุ

                    เมื่อหนทางอื่นที่จะก้าวไปมีอยู่ ย่อมหลีกทางอันไม่ราบเรียบเสีย

 


                    การใช้ตำแหน่งหน้าที่ในทางโลกนั้น เป็นประดุจดาบสองคม ซึ่งมีทั้งให้คุณและโทษ ที่ว่าให้คุณหมายถึงเมื่อถึงคราจะบำเพ็ญบุญกุศล หรือทำสังคมสงเคราะห์อะไรก็แล้วแต่ ก็สามารถทำได้สะดวกสบายมีพวกพร้อบริวาร คนใต้บังคับบัญชาคอยให้การสนับสนุนจุนเจือ เมื่อมียศมีตำแหน่ง มีพรรคมีพวกจะทำอะไรก็มีความสะดวกสบาย นี้เป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปในทางที่ถูกต้องนะจ๊ะ 

 


                    บัณฑิตนักปราชญ์เมื่อเร็งเห็นชัดเจนว่า หากได้ยศตำแหน่งหรือหน้าที่การงานอันทรงเกียรติมาแล้ว หากตำแหน่งนั้นบังคับให้ตนเองต้องทำปาณาติบาต อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อันจะเป็นทางมาแห่งบาปอกุศล แล้วชีวิตหลังความตายจะนำพาตนไปสู่อบายภูมิ ก็จะหาทางหลีกเลี่ยงไม่ยอมรับตำแหน่งนั้นอย่างเด็ดขาด แม้จะต้องเอาชีวิตเข้าแลกก็ตาม 

 


                    เมือนดังพระเตมียราชกุมารผู้ประสูตรได้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น ก็เห็นทุกข์ภัยในอบายได้อย่างน่าอัศจรรย์ เพราะท่านสามารถระลึกชาติได้ จึงพยายามหาทางที่จะไม่สืบราชบัลลังก์ เพราะกลัวต้องไปเสวยทุกข์ในนรก ซึ่งมันไม่คุ้มกันเลย และวิธีการที่จะไม่ต้องเป็นองค์รัชทายาทนั้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีปรากฏว่า จะเป็นใครทำกันมาก่อน วิธีการอันแยบยนของท่าน จะเป็นอย่างไรนั้นเรามาติดตามรับฟังกันเลยนะจ๊ะ

 


                    เมื่อครั้งที่แล้วหลวงพ่อได้เล่าค้างไว้ถึงตอนที่ พระราชาทรงทราบว่า มีกุมารคลอดในเรือนของอำมาตย์ในวันเดียวกันถึง ๕๐๐ คน ทรงรับสั่งให้พระราชทานแม่นมเพื่อเลี้ยงดูทารกทุกคนเป็นอย่างดี สำหรับเตมียกุมาร ทรงพระราชทานแม่นมที่มีความถึงพร้อมให้ ๖๔ นาง ซึ่งเว้นจากโทษ ๑๐ ประการคือไม่สูง ไม่ต่ำ ไม่ดำ ไม่ขาว ไม่อ้วน ไม่ผอม ถันไม่แบน ไม่หย่อนยาน ไม่เป็นโรคหอบหืด และไม่เป็นโรคไอ

 

 
                        เมื่อพระราชกุมารมีพระชนมายุได้ ๑ เดือน พี่เลี้ยงนางนมได้ประดับพระกายแล้วอัญเชิญขึ้นเฝ้าพระราชบิดา ขณะที่พระองค์กำลังเสด็จออกว่าราชการอยู่ภายในท้องพระโรงมหาวินิจฉัย ก็ทรงรับเอาพระกุมารมาจากมือของพี่เลี้ยงนางนม แล้วทรงอุ้มพระราชกุมารให้ประทับนั่งบนตัก พร้อมกับทรงวินิจฉัยคดีความตามปกติ โดยรับสั่งให้ลงพระอาญาแก่มหาโจร ๔ คน โดยให้โบยโจรคนหนึ่งด้วยหวายหนามแช่น้ำเกลือจนตาย โจรอีกคนหนึ่งให้จองจำไว้กับขื่อคา โจรอีกคนหนึ่งก็ให้นำไปประหารด้วยคมหอก โจรคนสุดท้ายให้เสียบด้วยหลาวประจานทั้งเป็น

 

 
                        พระเตมียราชกุมาร  เมื่อได้สดับคำตัดสินลงอาญาของพระราชบิดา ก็ทรงหวาดสะดุ้ง เกิดความสลดหดหู่ ดำริว่า  พระราชบิดาของเรา ทำบาปกรรมใหญ่หลวงนัก คงไม่พ้นจากการเสวยทุกข์ในนรกเป็นแน่ แม้เราเองก็ต้องตัดสินคดีความ ดุจเดียวกับพระราชบิดาทำอย่างไรหนอ ตัวเราจึงจะพ้นจากพระราชมณเฑียรอันเปรียบเสมือนเรือนโจรนี้ได้ ดำริฉะนี้แล้วก็ยิ่งสลดพระทัยเพิ่มขึ้น


    

                        ในวันรุ่งขึ้น เหล่านางนมได้นำพระราชกุมารไปบรรทมภายใต้พระเศวตฉัตร พระราชกุมารบรรทมหลับสนิทจนเต็มอิ่มแล้ว ก็ลืมพระเนตรขึ้นแลดู ณ เบื้องบน  ได้เห็นพระเศวตฉัตร และสิริราชสมบัติอันโอฬารเช่นนั้น ก็ทรงดำริขึ้นว่า ก่อนที่จะมาเกิดในพระราชมณเฑียรภายใต้พระเศวตฉัตรนี้ เรามาจากไหนหนอ ด้วยอำนาจบุญเก่าที่สั่งสมมา และด้วยเหตุที่ทรงเกิดในที่เดิม ซึ่งทรงคุ้นเคยมาก่อน เมื่อทรงทอยู่ในความสงบ นึกทบทวนดู จึงทำให้พระเตมิยราชกุมารระลึกชาติหนหลังได้ว่า เราเคยเป็นกษัตริย์เสวยราชสมบัติ อยู่ในพระนครนี้ถึง ๒๐ ปี เพราะอกุศลที่เคยตัดสินประหารชีวิตผู้คนมาไม่น้อย ครั้นตายแล้ว บาปกรรมเมื่อครั้งเป็นกษัตริย์ในชาตินั้น ก็ส่งผลให้ไปบังเกิดในอุสสุทนรกเป็นเวลายาวนาน ถึงแปดหมื่นปี พอพ้นจากนรก บุญได้โอกาสจึงส่งผลให้ไปเกิดในเทวโลกชั้นดาวดึงส์ จากนั้นจึงได้กลับมาเกิดในที่นี้อีก


 

                        เมื่อทรงนึกถึงความทุกข์ทรมานที่ตนเคยเสวยในนรก ก็ทรงสะดุ้งกลัว หวาดเสียวพระทัยยิ่งนัก จึงทรงดำริว่า หากเราได้เสวยราชสมบัติสืบต่อจากพระราชบิดา ก็คงไม่พ้น ต้องทำบาปกรรม ประหารชีวิตผู้คนมากมายเช่นเดิม และจะต้องไปเสวยทุกข์ใหญ่ในนรกอีกอย่างแน่นอน

 


                        คิดดังนี้แล้ว พระราชกุมารก็ทรงสลดพระทัยยิ่งนัก พระกายซึ่งเปล่งปลั่งดั่งทองคำก็กลับซูบซีดเศร้าหมอง เหมือนดอกบัวที่ถูกขยำด้วยมือพลันเหี่ยวแห้งไปในทันที พระราชกุมารไม่อาจข่มพระเนตรลง ได้แต่บรรทมกระสับกระส่ายด้วยทรงรำพึงว่า ทำอย่างไรหนอ เราจึงจะพ้นจากพระราชมณเฑียรนี้ไปได้ ด้วยความที่ทรงเห็นภพในอดีตชัดเจนจึงทรงเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ที่นำไปสู่การเวียนว่ายตายเกิด นับภพนับชาติไม่ถ้วน พระกุมารไม่ปรารถนาจะครองราชสมบัติซึ่งเป็นเหมือนเหยื่อล่อ ที่จะนำพาพระองค์ไปสู่ความทุกข์ทรมานในนรกอีก 

 


                    การที่พระราชกุมารบรรทมด้วยความกระสับกระส่ายอยู่ภายใต้พระเศวตฉัตรนั้น  อยู่ในสายตาของเทพธิดาผู้สถิตอยู่ที่พระเศวตฉัตรตลอดเวลา เทพธิดากำลังเหลียวมองพระองค์ด้วยความรัก ซึ่งในครั้งอดีตชาติ นางได้เคยเกิดเป็นพระมารดาของพระราชกุมาร ตั้งแต่วันที่พระราชกุมารประสูติ ก็เกิดความรักประหนึ่งว่าเป็นบุตรในอุทร ด้วยสายสัมพันธ์ที่เคยเป็นแม่ลูกกันมาข้ามชาติ จึงเฝ้าติดตามดูแลพระกุมารด้วยความรักมิเสื่อมคลาย

 

 
                    เทพธิดาครั้นได้ทราบความดำริของพระราชกุมาร จึงได้แสดงตนให้พระองค์เห็น แล้วปลอบโยนให้ทรงคลายความโศกว่า พ่อเตมิยะ พ่ออย่าเศร้าโศกไปเลย อย่าคิดกลัวไปเลยหากพ่อต้องการจะพ้นไปจากพระราชมณเฑียรนี้ เพราะเกรงภัยในนรก พ่อก็จงแสร้งทำตนเป็นคนง่อยเปลี้ย แม้พ่อมิได้หูหนวก ก็จงแสร้งทำเป็นคนหูหนวก แม้พ่อมิได้เป็นคนใบ้ ก็จงแสร้งทำเป็นคนใบ้ เมื่อพ่อได้อธิษฐานองค์สารเหล่านี้แล้วก็อย่าได้แสดงความที่พ่อเป็นคนฉลาด พ่อเตมียะ พ่ออย่าได้แสดงตนว่าเป็นบัณฑิต จงปล่อยให้คนทั้งหลายเข้าใจว่าพ่อเป็นคนเขลาเถิด แล้วเขาก็จะเหยียดหยามว่าพ่อเป็นคนกาลกิณี ในที่สุดก็จะขับไล่พ่อออกไป หากพ่อสามารถกระทำตามอุบายนี้ได้ ความปรารถนาของพ่อก็จะสำเร็จอย่างแน่นอน

 


                    พระเตมิยกุมารได้สดับถ้อยคำ ที่เทพธิดาแนะนำ ก็ทรงอุ่นพระทัย ตรัสตอบเทพธิดานั้นไปว่า แม่เทพธิดาคำของท่านซึ้งใจเรายิ่งนัก ท่านช่างปรารถนาประโยชน์ต่อเราอย่างแท้จริง เราจะทำตามคำที่ท่านแนะนำอย่างแน่นอน ตรัสดังนี้แล้ว พระราชกุมารก็ตั้งจิตอธิษฐานด้วยอย่างแน่วแน่ว่า ต่อจากนี้ไป เราจะแสดงตนเป็นคนง่อยเปลี้ย เป็นคนหูหนวก และเป็นคนใบ้ จะทำตามคำของแม่เทพธิดา จนกว่าความปรารถนาของเราจะสำเร็จ

 


                    เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้นเราค่อยมาติดตามรับฟังในตอนต่อไปนะจ๊ะ สำหรับวันนี้ให้ลูกทุกคนอย่าประมาทในการดำเนินชีวิต เพราะชีวิตที่ผิดพลาดมีอบาย ทุคติ วินิบาต นรกรอรับอยู่ เราจึงต้องเลือกทำแต่ความดีเพื่อจะได้มีสุคติเป็นที่ไป ชีวิตก็จะได้ ปลอดภัยทั้งในโลกนี้และโลกหน้ากันทุกคนนะจ๊ะ 

 

โดย : หลวงพ่อธัมมชโย  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

 

 

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล