ธรรมะเพื่อประชาชน พร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย เพราะคำว่าบุญนี้เป็นชื่อของความสุข ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราย่อมรู้ชัดผลแห่งบุญอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ที่เราเสวยแล้วตลอดกาลนาน

ชาดก : ธรรมะเพื่อประชาชน Dhamma for peopleรวมนิทานอีสปพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ธรรมะเพื่อประชาชน : สิริมาเทพนารี ๒


ธรรมะเพื่อประชาชน : สิริมาเทพนารี ๒

Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
 
DhammaPP229_01.jpg
ปรนิมมิตวสวัตดี
ตอน สิริมาเทพนารี  ๒
 
          ชีวิตของคนเราต้องมีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง คน สัตว์ สิ่งของอันเป็นที่รัก ดังนั้นถึงคราวจำเป็นต้องสูญเสียบางสิ่ง หลายๆ คนยอมเสียเงินตราเพื่อแลกกับเวลาที่จะสูญเสียไป  เพราะเวลาเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งกว่าเงินตรา เวลาแม้เพียงน้อยนิด สามารถเปลี่ยนเป็นสมบัติได้อย่างมหาศาล หลายๆ คนยอมเสียเวลาเพื่อแลกกับอารมณ์ที่ดีๆ เพราะอารมณ์ดีมีคุณค่ายิ่งกว่าเงินตรา ดังนั้นจึงยอมเสียเงินตรา ดีกว่าเสียเวลาและอารมณ์ อารมณ์ดี อารมณ์เบิกบานและอารมณ์ที่เป็นกุศล ควรให้เกิดขึ้นในดวงใจของเราเสมอ เพราะเมื่ออารมณ์ดีแล้ว ใจของเราก็จะมีความสุข แม้จะสูญเสียอะไรก็ตาม แต่ถ้าใจเราดี ใจเราเป็นสุข ก็เสมือนไม่ได้สูญเสียอะไรไป ฉะนั้นให้หวงแหนเวลาและรักษาอารมณ์ดีไว้เสมอ
 
 
 
DhammaPP229__02.jpg
 
          พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ปุญญกริยาวัตถุสูตร ว่า
 
               "ดูก่อน เธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณอันยิ่ง กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณอันยิ่ง แต่ไม่ได้เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเป็นอย่างยิ่ง เมื่อถึงแก่กาลกิริยาตายไปแล้ว เขาย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี"
 
 
 
DhammaPP229__03.jpg
          เมื่อครั้งที่แล้ว หลวงพ่อได้เล่าเรื่องของหญิงงามเมืองชื่อสิริมาค้างเอาไว้ว่า เธอได้เปลี่ยนวิถีชีวิตจากหญิงงามเมืองมาเป็นยอดหญิงพุทธสาวิกาผู้มีจิตใจสูงส่ง วิถีชีวิตของเธอได้เปลี่ยนไป เพราะได้ยอดกัลยาณมิตรคือมหาอุบาสิกาอุตตรา ที่ได้พามาฟังธรรมจากพระผู้มีพระภาคเจ้า และด้วยอุปนิสัยบารมีที่เธอเคยสั่งสมอบรมมาแต่ปางก่อน ทำให้เธอได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน เป็นอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา
 
 
          ตั้งแต่นั้นมา เธอก็ละเว้นอาชีพเดิม ซึ่งเป็นที่รังเกียจของคนดีมีศีลธรรม เธอได้มุ่งหน้าประกอบกองการกุศล มีอจลศรัทธาที่เชื่อมั่นไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดๆ เธอได้ตั้งสลากภัตวันละ ๘ สำรับ อาราธนาให้พระภิกษุสงฆ์ได้อนุเคราะห์เป็นเนื้อนาบุญที่บ้านของเธอ เพื่อรับสลากภัตวันละ ๘ รูปเป็นประจำทุกวัน
 
 
          อาหารที่นำมาถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ ล้วนจัดสรรอย่างประณีตที่สุด  และถวายในปริมาณที่มาก โดยอาหารที่ถวายแด่พระภิกษุรูปเดียว ก็สามารถเผื่อแผ่ไปถึงภิกษุอีก ๔ รูป ทั้งนี้ก็เพราะเธอตั้งอยู่ในภูมิของพระโสดาบัน จึงไม่มีความตระหนี่ ทั้งให้ทานด้วยความเคารพ ให้ด้วยมือของตัวเอง ยิ่งให้ใจก็ยิ่งเบิกบานผ่องใส เหมือนดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน เพราะศรัทธาของพระโสดาบันเป็นอจลศรัทธา คือไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน ไม่ว่าใครจะมายั่วยุให้เลิกนับถือพระรัตนตรัยก็ไม่สำเร็จ เพราะเธอมีสัมมาทิฏฐิเต็มเปี่ยมบริบูรณ์
 
 
 
 
 DhammaPP229_04.jpg
     ครั้นเธอละสังขาร ก็ได้ไปอุบัติเป็นเทพนารีผู้มีฤทธานุภาพมาก สถิตอยู่ที่สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี เมื่อสิริมาเทพนารีได้ใคร่ครวญพิจารณาดูทิพยสมบัติ และเหตุที่ทำให้เธอได้มาเสวยสมบัติใหญ่เช่นนี้ ก็รู้ว่า มหาสมบัติเหล่านี้ได้มาด้วยอำนาจบุญที่มีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย และถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์ด้วยความเคารพทุกวัน เมื่อเล็งแลลงมาด้วยทิพยจักษุ เธอมองเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังถูกห้อมล้อมด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์ และมหาชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งกำลังประชุมกันอยู่ในบริเวณใกล้กับร่างของเธอที่กำลังขึ้นอืดในขณะนั้น

 

 

 
 DhammaPP229_05.jpg
 
     * ทันทีที่สิริมาเทพนารีปรารถนาจะมาถวายบังคมพระพุทธองค์ เทวรถก็ลอยเลื่อนมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเพื่อรับลงไปยังมนุษยโลก เหล่าเทพอัปสรที่เป็นบริวารก็พากันมาห้อมล้อม เพื่อจะลงมายังโลกมนุษย์ด้วย เธอขึ้นนั่งเทวรถและมุ่งตรงมายังมหาสมาคมทันที จากนั้นเธอได้เข้าไปถวายนมัสการพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยดวงหทัยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเคารพนอบน้อมต่อพระองค์
 

 

 DhammaPP229_06.jpg
     ขณะนั้นเอง พระวังคีสเถระซึ่งบรรลุอภิญญาชำนาญในทิพยจักษุ ได้แลเห็นเทพนารีผู้เลอโฉม ยากที่จักหานารีใดเปรียบปาน กำลังถวายนมัสการพระบรมครูอยู่ จึงยกหัตถ์ขึ้นอัญชลีทูลขอพระบรมพุทธานุญาต และไต่ถามเทพนารีรูปงามนั้นว่า
 
     “ดูก่อนเทพนารี เทวรถของท่านประดับประดาอลังการด้วยรัตนชาติ งามลํ้าเลิศ มีกำลังรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบด้วยอำนาจแห่งบุญของท่าน และตัวท่านเองที่นั่งเหนือเทวรถ ก็ปรากฏรุ่งเรืองด้วยรัศมีประดุจดังอัคคีอันรุ่งเรืองโชตนาการ รัศมีของท่านงามน่ายลดังพระจันทร์ที่แวดล้อมไปด้วยดวงดาวนักขัตฤกษ์ ดูก่อนเทพนารีผู้เลอโฉม เราใคร่จักถามท่านว่า ตัวท่านมาจากเทวโลกชั้นไหน”

 

 

 
 DhammaPP229_08.jpg
 
     เทพนารีสิริมา ตอบพระเถระด้วยความนอบน้อมว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้า ประชุมชนแห่งเทวโลกใด ซึ่งมีนามว่าปรนิมมิตวสวัตดีอันเป็นแดนสวรรค์ชั้นสูงสุด เป็นที่สถิตอยู่ของเทพบุตรและเทพธิดาทั้งหลาย ผู้ปรารถนาจะบริโภคกามคุณอันเป็นทิพย์อันใด ก็มีผู้เนรมิตให้สมความปรารถนา ตัวข้าพเจ้านี้มาจากเทวโลกชั้นนั้น”
 
 
     พระวังคีสเถระ ถามต่อไปว่า “ดูก่อนเทพนารี แต่ก่อนท่านประพฤติกุศลกรรมอันเป็นกุศลสุจริตอย่างไร จึงได้ไปอุบัติในเทวโลกชั้นสูงที่มีชื่อว่า ปรนิมมิตวสวัตดี ท่านเป็นผู้มียศ มีบริวารจะนับจะประมาณมิได้ ได้เจริญซึ่งความสุขอันเป็นทิพย์ ฤทธานุภาพของตัวท่านก็ประเสริฐเลิศนัก ทิศน้อยใหญ่ก็สว่างไสวไปด้วยรัศมีของท่าน อีกทั้งตัวท่านก็แวดล้อมไปด้วยเทพนารีชาวสวรรค์ ท่านได้สร้างกุศลกรรมอันใด จึงได้ไปเสวยสุข ณ แดนสวรรค์สุขาวดีเช่นนี้”

 

 

 
 DhammaPP229_07.jpg
     สิริมาเทพนารีกราบเรียนพระเถระว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เดิมข้าพเจ้ามีนามว่า สิริมา ได้ศึกษาวิชานาฏศิลป์ คือ การฟ้อนและการขับร้อง สำหรับบำเรอในราชสำนักของพระเจ้าพิมพิสารในราชคฤห์มหานครแห่งนี้   ต่อมาข้าพเจ้าได้โชคอันประเสริฐ ได้มีโอกาสสดับพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า และได้ทราบชัดซึ่งพระนิพพาน ข้าพเจ้าละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส มิได้มีความคลางแคลงสงสัยในพระรัตนตรัยอีกต่อไป ถึงความวิเศษด้วยความรู้แจ้งในอริยสัจสี่ ตั้งอยู่ในพระโสดาปัตติผลอันเป็นผลเบื้องต่ำในบวรพระพุทธศาสนา สามารถปิดทุคติภูมิให้กับตัวเองได้ บัดนี้ ข้าพเจ้ายินดีในพระนิพพานอันเป็นธรรมปราศจากโทษ แม้ข้าพเจ้าจะเป็นเทพนารี แต่ก็ยังเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพเจ้าตั้งอยู่ในอริยภูมิเป็นพุทธสาวิกา มุ่งหน้ามาจากเทวโลกเพื่อขอถวายนมัสการพระผู้มีพระภาคเจ้า”
 
 
     จากนั้นสิริมาเทพนารีได้ถวายนมัสการพระบรมศาสดากับพระภิกษุทั้งหลาย แล้วกระทำประทักษิณ ๓ รอบ กราบทูลอำลาพระพุทธองค์ และพาเทพกัญญาที่เป็นบริวารกลับไปสถิตเสวยสุขที่ปราสาทพิมานของตน ณ ปรนิมมิตวสวัตดีเทวโลกตามเดิม

 

 
 
DhammaPP229_09.jpg
 
     นี่ก็เป็นตัวอย่างของผู้ที่ได้สั่งสมบุญ แล้วได้ไปเสวยสุขอยู่ในสวรรค์ชั้นนี้ เราจะเห็นได้ว่า สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีนี้ เป็นแดนสวรรค์ชั้นสูงสุดซึ่งเป็นที่สถิตของเหล่าทวยเทพผู้มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบายเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเมื่อปรารถนาสิ่งใด ก็จะมีบริวารผู้รู้ใจคอยเนรมิตให้ ใครจะไปชั้นนี้ได้ก็ต้องรีบขวนขวายสร้างกุศลผลบุญให้มากที่สุด สวรรค์ทุกชั้นเป็นของกลางซึ่งมีไว้เป็นที่รองรับผู้มีบุญที่สั่งสมบุญไว้ดีแล้ว ให้ได้มาเสวยสุขสมบัติกันอย่างเต็มที่ จนกว่าจะหมดอายุขัยหรือหมดบุญกันนั้นแหละ ถ้าใครสั่งสมบุญไว้มาก  ความสุขอันเป็นทิพย์ก็มีมากและเสวยสุขนั้นได้ยาวนานมาก
 

 

 
DhammaPP229_10.jpg
     คำว่า ฟ้าบันดาลหรือพรหมลิขิตไม่มีกับชาวสวรรค์ เพราะชาวทวยเทพทั้งหลายล้วนสมปรารถนา เพราะบุญที่ตัวได้ทำเองทั้งนั้น เราเป็นนักสร้างบารมีก็ต้องลิขิตชีวิตของตัวเองด้วยการสร้างบุญอย่างเต็มที่ เพราะบุญเท่านั้นจะบันดาลสุขทั้งในมนุษย์และในเทวโลก ตราบกระทั่งให้ได้สุขในภพอันวิเศษ บุญนี่แหละเป็นเครื่องกำหนดชะตาชีวิตในอนาคตของเราว่าจะเป็นเช่นไร ดังนั้นให้พวกเราทุกคน หมั่นสั่งสมบุญไว้มากๆ ทั้งทาน ศีล ภาวนา รวมไปถึงบารมีทั้ง ๓๐ ทัศ ก็ต้องให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ เมื่อทำแล้วก็อธิษฐานจิตให้ดี อยากไปอยู่สวรรค์ชั้นไหน ก็ให้หมั่นอธิษฐานจิตตอกยํ้าไว้เรื่อยๆ แล้วเราจะสมปรารถนากันทุกคน

 
พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี
 
นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 
* มก. เล่ม ๔๘ หน้า ๑๒๕
 
 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล