Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
ตอน เลิกทะเลาะกันได้แล้ว
ไม่มีวิธีการใด ที่จะสามารถขจัดความคิดเบียดเบียน ความเห็นแก่ตัว ความทะเลาะเบาะแว้ง และความเห็นผิดของมนุษยชาติให้หมดไปจากโลกนี้ได้ดีเท่ากับการประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงความเหมือนกัน คือพระรัตนตรัยภายใน เพราะความแตกต่างนำมาซึ่งความแตกแยก แต่ความเหมือนกันทางความคิด คำพูดและการกระทำ ก่อให้เกิดพลังแห่งความสามัคคี อันจะทำไปสู่ความผาสุกของมนุษยชาติ
แต่เนื่องจากทุกครั้งที่มนุษย์มาเกิดใหม่ ต่างต้องเรียนรู้ความจริงของชีวิตกันใหม่ บางทีก็รู้ผิดบ้าง ถูกบ้าง ฉะนั้นจึงมีความเบาะแว้ง เกิดการทะเลาะวิวาท จนกระทั่งทำสงครามกัน แต่เมื่อใดที่ทุกคนหันมาทำใจหยุดใจนิ่ง พอทำสงครามรบกับกิเลสที่อยู่ภายในตัวของเรา เมื่อนั้น ความขัดแย้งและความเห็นที่แตกต่างก็จะหมดไป ความรักและความปรารถนาดีต่อกันอย่างแท้จริงก็จะบังเกิดขึ้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในขุททกนิกายคุณชาดก ความว่า
อปิ เจปิ ทุพฺพโล มิตฺโต มิตฺตธมฺเมสุ ติฏฺติ
โส ญาตโก จ พนฺธุ จ โส มิตฺโต โส จ เม สขา
มิตรถึงจะมีกำลังน้อย แต่ดำรงอยู่ในมิตรธรรม ก็นับได้ว่าเป็นทั้งญาติ เป็นทั้งพวกพ้องและเป็นทั้งเพื่อนของเรา มนุษย์ทุกคน ควรมีความรักและความสมัครสมานสามัคคี ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องหรือใครก็ตามเพราะความรักและสามัคคีนั้น ย่อมก่อให้เกิดผลดีในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้นแก่โลก
ส่วนการทะเลาะเบาะแว้งกัน นอกจากจะไม่ก่อให้เกิดผลดีอะไรนั้น ยังจะก่อให้เกิดผลเสียตามมาด้วย ทั้งยังทำให้จิตใจขุ่นมัว ผูกโกรธซึ่งกันและกัน ทำให้ถูกไฟกิเลส คือโทสะ เผาลนอยู่ภายใน แล้วก็จะแสดงออกมาทางกายและวาจา ผิดกายก็หยาบกร้าน อีกทั้งคำพูดที่แสดงออกมาก็หยาบคาย เพราฉะนั้นการทะเลาะวิวาทกัน จึงไม่เป็นผลดีต่อกันทั้งสองฝ่าย มีแต่จะก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย ทั้งเกียรติยศ ชื่อเสียง และทรัพย์สินเงินทองต่างๆ ดังเรื่องต่อไปนี้
ในครั้งพุทธกาล มีมหาอำมาตย์สองคน ซึ่งมีตำแหน่งเป็นอำมาตย์ฝ่ายใน และเป็นหัวหน้านายทหารของพระเจ้าโกศล มหาอำมาตย์ทั้งสองนี้ เมื่อเจอหน้ากันทีไร ก็ต้องมีเรื่องชวนให้ทะเลาะกันทุกครั้งไป ตามปกติแล้ว มหาอำมาตย์ทั้งสอง ต่างก็เป็นคนดี มีศีล มีธรรม มีความสามารถเป็นที่ยอมรับของเหล่าทหารและพวกชาวบ้าน
แต่ติดตรงที่มีทิฐิมานะ ไม่ลงรอยกันทั้งนั้น เรื่องนี้ใครๆต่างก็รู้กันเป็นอย่างดี แม้พระราชาและหมู่ญาติจะคอยพูดห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ฟัง จนต้องวางอุเบกขา ไม่มีใครอยากจะพูดจาห้ามปรามอีก
เช้าวันหนึ่ง พระบรมศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลกในเวลาใกล้รุ่ง พิจารณาว่าใครจะมีบุญญาบารมีที่สามารถบรรลุธรรมได้ ทรงเห็นมหาอำมาตย์ทั้งสอง เข้ามาในข่ายพระญาณของพระองค์ รุ่งขึ้นพระองค์จึงเสด็จไปบิณฑบาต ยังตัวเมืองสาวิถีเพียงลำพัง
ได้เสด็จไปยืนอยู่ที่หน้าบ้านของมหาอำมาตย์ เมื่อมหาอำมาตย์เห็นแล้วก็ออกมารับบาตร พร้อมทั้งทูลอาราธนาให้เสด็จเข้าไปประทับนั่งบนอาสนะ พระบรมศาสดาจึงตรัสถึงอานิสงค์ของการมีเมตตาจิตต่อกัน มหาอำมาตย์เกิดความซาบซึ้ง และมีจิตดื่มด่ำในพระธรรมเทศนา จึงได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน
ต่อมาพระบรมศาสดา ทรงให้มหาอำมาตย์ท่านนั้น ถือบาตรตามไปบ้านของมหาอำมาตย์อีกคนที่ชอบทะเลาะกัน เมื่อเสด็จไปถึง มหาอำมาตย์ก็ทูลอาราธนาให้พระองค์เสด็จเข้าไปในบ้าน พระพุทธองค์ก็ตรัสถึงอานิสงค์ของการมีเมตตาจิตต่อกันอีกครั้ง เหมือนกับที่ตรัสให้มหาอำมาตย์คนแรกฟัง ทำให้มหาอำมาตย์มีดวงตาเห็นธรรม ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันเหมือนกัน
เมื่อมหาอำมาตย์ทั้งสอง ได้เป็นพระอาริยะบุคคลแล้ว ความแตกต่างที่เคยมีอยู่ในใจก็หมดสิ้นไป เพราะได้เข้าถึงความเหมือนกันภายใน หลังจากนั้นก็ได้เลิกทะเลาะกันอย่างเด็ดขาด เกิดความปรองดอง มีความรักและความสามัคคีต่อกัน
ข่าวที่มหาอำมาตย์ทั้งสองเลิกทะเลาะกันนั้นเป็นเรื่องที่ถูกกล่าวหาไปทั้งเมือง แม้แต่ภิกษุวัดเชตะวันก็ยังได้พูดคุยถึงเรื่องนี้
วันหนึ่งพวกภิกษุได้พูดคุยกันถึงเรื่องนี้อยู่ในโรงธรรมสภา ขณะที่ได้พูดกันอยู่นั้น พระบรมศาสดาได้เสด็จเข้ามา และตรัสถามว่า พวกเธอกำลังพูดคุยเรื่องอะไรกันอยู่ ครั้นพวกภิกษุกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า
“อย่าว่าแต่ในชาตินี้เลย แม้ชาติที่ผ่านๆมา เราเองก็ทำให้มหาอำมาตย์ทั้งสองคนนี้ให้เกิดความสามัคคีกันมาแล้ว ”
เมื่อภิกษุอยากจะรู้เรื่องในอดีตชาติ จึงอาราธนาให้พระพุทธองค์ตรัสเล่าให้ฟัง พระพุทธองค์จึงตรัวว่า ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรมหมทัตครองราชอยู่ในเมืองพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดในตระกูลพราหมณ์ เมื่อโตเป็นหนุ่มก็ได้เดินทางไปศึกษาศิลปวิทยาที่เมืองตักศิลา
เมื่อเรียนจบแล้วเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาสเพราะมองไม่เห็นสาระแก่นสารในการทำมาหากินทางโลก จึงมุ่งแสวงหาวิชาความรู้ในทางธรรม พระโพธิสัตว์ได้เดินทางเข้าป่าหิมพานต์ บวชเป็นฤๅษี เมื่อบวชแล้วพระโพธิสัตว์ก็ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง ต่อมาไม่นานก็สามารถทำอภิญญาและสมาบัติให้เกิดขึ้นได้ ท่านดำรงชีวิตอยู่อย่างสมาถะ มีเพียงรากไม้และผลไม้เป็นอาหาร พอประทังชีวิตไปวันๆ แต่ก็มีความสุขอยู่ในฌานสมาบัติ
บริเวณท้ายที่จงกลมของพระโพธิสัตว์ มีพังพอนตัวหนึ่งอาศัยอยู่ที่จอมปลวก และที่ใกล้ๆจอมปลวกนั้นก็มีงูตัวหนึ่งอยู่ใกล้ๆที่โคนต้นไม้ สัตว์ทั้งสองตัวนี้เมื่อพบเจอกันทีไรจะแว้งกัดกันทุกครั้ง พระโพธิสัตว์เห็นสัตว์ทั้งสองทะเลาะกันโดยตลอด จึงปรารถนาดีอยากจะให้สัตว์ทั้งสองเลิกทะเลาะกัน
วันหนึ่งพระโพธิสัตว์ได้เรียกงูและพังพอนเข้ามาหาพร้อมๆกันแล้วสั่งสอนให้เห็นถึงโทษในการทะเลาะเบาะแว้งกัน และกล่าวถึงอานิสงค์ในการมีเมตตาจิตต่อกันว่าดีอย่างไร จนทำให้สัตว์ทั้งสองมีจิตอ่อนโยน และสอนให้สัตว์ทั้งสองเลิกทะเลาะเบาะแว้งกัน ให้อยู่ด้วยกันด้วยความสามัคคี ทั้งงูและพังพอนเมื่อได้ฟังโอวาสของพระโพธิสัตว์แล้วต่างก็เข้าใจถึงความปรารถนาดี จึงได้เลิกทะเลาะกัน
แต่เมื่อเวลาที่งูเลื้อยออกจากจอมปลวกไปหาอาหาร พังพอนก็ยังไม่วางใจในตัวงู กลับนอนอ้าปาก หันหน้าไปทางโพรงจอมปลวกที่งูเลื้อยออกมา จนกระทั่งผล็อยหลับไป พระฤๅษีเห็นพังพอนนอนแยกเขี้ยวอยู่ก็เกิดความสงสัย
จึงถามขึ้นว่า “นี่เจ้าพังพอน เข้านอนโกรธใครอยู่ เจ้าเชื่อมสัมพันธ์กับงูที่เป็นศตรูอยู่กันแล้วไม่ใช่หรือ แต่ทำไมกลับมานอนแยกเขี้ยวอยู่อีก เจ้าไม่ต้องกลัวงูอีกต่อไปแล้ว”
พังพอนก็ตอบว่า “พระคุณเจ้า ขึ้นชื่อว่าศตรู ยังไงก็วางใจไม่ได้ ต้องระแวงไว้ก่อน ”
ต่อมาพระฤๅษีก็ตอกย่ำให้พังพอนได้เชื่อว่า “เจ้าอย่าได้หวาดระแวงงูอีกเลย เราได้พูดให้งูเข้าใจและเลิกทำร้ายเจ้าแล้ว”จากนั้นพระโพธิสัตว์ก็สอนให้พังพอนยึดหลักพรหมวิหารธรรมจนตลอดชีวิต ครั้นละจากโลกไป ก็เคลื่อนย้ายไปยังสุคติภูมิ หลุดพ้นจากสภาพของเดรัจฉาน
เห็นได้ว่าความรักและสามัคคีกันทำให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ไม่ว่าจะเป็นสังคมมนุษย์ หรือสัตว์เดรัจฉาน ล้วนปรารถนาความรักและความปรารถดีต่อกันอย่างแท้จริง ปรารถนาการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แต่ว่าเมื่อมีการทะเลาะเบาะแว้งกันเกิดขึ้น การอยู่ร่วมกันก็ไม่มีความสุข เพราะต้องคอยหวาดระแวงกันตลอดเวลา เนื่องจากต่างฝ่ายต่างก็กลัวอีกฝ่ายจะประทุษร้ายเอา
ฉะนั้นก็เลิกทะเลาะกันได้แล้ว สังคมในโลกมนุษย์ทุกวันนี้อยู่กันอย่างหวาดผวา จะให้อยู่กันอย่างมีความสุข ก็ต้องมีความรักและความสามัคคีกัน เริ่มตั้งแต่สถาบันครอบครัวที่อบอุ่น เกื้อกูลเมตตากัน แผ่ขนาดไปถึงที่ทำงานภายในประเทศและนอกประเทสทั่วโลก ให้กระแสเมตตาธรรมแผ่ขยายออกไปทั่วโลก และชาวโลกจะมีความสุขทั่วหน้ากัน