ธรรมะเพื่อประชาชน พร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย เพราะคำว่าบุญนี้เป็นชื่อของความสุข ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราย่อมรู้ชัดผลแห่งบุญอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ที่เราเสวยแล้วตลอดกาลนาน

ชาดก : ธรรมะเพื่อประชาชน Dhamma for peopleรวมนิทานอีสปพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ธรรมะเพื่อประชาชน : ภูเขาทอง ๑ (ชฎิลเศรษฐี)


ธรรมะเพื่อประชาชน : ภูเขาทอง ๑ (ชฎิลเศรษฐี)

Dhamma for people
ธรรมะเพื่อประชาชน

DhammaPP197_1_02.jpg
ภูเขาทอง ๑

(ชฎิลเศรษฐี)

                        เวลาในโลกมนุษย์ในแต่ละวันน่ะหมดไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งวันเวลาผ่านพ้นไปสังขารร่างกายของเราก็ยิ่งเสื่อมไปตามลำดับ เหมือนพระอาทิตย์จะเดินทางมาจนคล้อยบ่าย ในที่สุดก็ต้องอัสดงนี่คือความเป็นจริงของสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิจำราชันหรือคนยากจนเข็ญใจต่างก็ต้องตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้เหมือนกันหมด เราก็ต้องตระหนักว่าในขณะที่สังขารกำลังเดินทางไปสู่ความเสื่อมสลาย ทุกลมหายใจก็ควรที่จะต้องเป็นไปเพื่อการสร้างบุญบารมีเท่านั้น เราต้องบำเพ็ญทั้งทาน ศีลและภาวนาไม่ขาดเลยแม้แต่เพียงวันเดียว โดยเฉพาะการทำใจให้หยุดให้นิ่งนี้เป็นวัตถุประสงค์หลักของการเกิดมาเป็นมนุษย์กันเลยทีเดียวนะจ๊ะ

 


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในสิริชาดกความว่า


สพฺพตฺถ กตปุญญสฺส
อติจฺจญเญว ปาณิโน
อุปฺปชฺชนฺติ พหู โภคา
อปิ นายตเนสุปิ

โภคะเป็นอันมาก ย่อมล่วงเลยสัตว์เหล่าอื่นไป
แต่เกิดขึ้นในที่ทั้งปวง แก่ผู้มีบุญที่ได้กระทำไว้ดีแล้ว
มิใช่แต่เพียงนี้เท่านั้น แม้รัตนะทั้งหลายก็ย่อมเกิดขึ้น
แม้ในที่อันมิใช่บ่อเกิดของรัตนะ

 

 

                        การที่โภคทรัพย์ทั้งที่มีวิญญาณครองและไม่มีวิญญาณครองสามารถเกิดขึ้นได้แม้ในที่อันไม่ใช่บ่อเกิด ก็เพราะอานุภาพแห่งบุญ เช่นรัตนะทั้งหลายเกิดขึ้นอย่างอัศจรรย์กับผู้มีบุญ เพราะเกิดจากอานุภาพของมหาทามบารมีที่ดึงดูดโภคทรัพย์เหล่านั้นมาเป็นของคู่บุญ เกิดขึ้นเฉพาะผู้ที่ได้สั่งสมบุญไว้เท่านั้น โภคทรัพย์เหล่านี้จะล่วงเลยผู้ไม่มีบุญไป แต่จะมาหยุดอยู่กับผู้มีบุญให้ผู้มีบุญได้ใช้อย่างมีความสุขจนตลอดชีวิตทีเดียว หรือได้ใช้จนกว่าจะหมดความจำเป็น เหมือนดังเรื่องมหาเศรษฐีผู้มีบุญท่านหนึ่ง ที่ท่านได้เป็นผู้ครอบครองภูเขาทอง ซึ่งผุดขึ้นมาที่หลังบ้านเรื่องราวของท่านจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น เรามาติดตามรับฟังกันเลยน๊ะจ๊ะ

 

 


                        ในกรุงพาราณสีได้มีธิดาของเศรษฐีคนหนึ่งเป็นผู้มีรูปสวย เมื่ออายุได้ราว ๑๖ ปี พ่อแม่ได้สร้างปราสาท ๗ ชั้นให้เธออยู่อาศัย และสั้งให้หญิงรับใช้คอยดูแลเป็นอย่างดี วันหนึ่งวิทยาธรตนหนึ่งเหาะผ่านมาทางอากาศ ก็ได้เห็นนางยืนอยู่ที่หน้าต่าง ทำให้เกิดความสเน่หาจึงเข้าไปทำความเชยชิดกับเธอ ด้วยอาศัยการอยู้ร่วมกันกับวิทยาธร ไม่นานนางก็ตั้งครรภ์ 

 

 


                        ลูกสาวเศาษฐีได้สั่งบังคับสาวใช้ว่า อย่าได้บอกเรื่องนี้กับใคร ขอให้เก็บเป็นความลับ หญิงรับใช้ก็ทำตามทุกอย่าง ขณะเดียวกันก็ช่วยบำรุงบริหารครรภ์เป็นอย่างดี ครั้น ๑๐ เดือนร่วงไปลูกสาวเศรษฐีก็ได้ลูกชาย ด้วยเกรงว่าพ่อแม่จะรู้ นางจึงให้หญิงรับใช้นำภาชนะใหม่มา แล้วก็วางเด็กลงนอนในภาชนะ จากนั้นก็ใช้ฝาปิดอย่างมิดชิด เปิดไว้เพียงช่องให้เด็กหายใจได้ จากนั้นก็วางพวงดอกไม้ไว้ข้างบน นางสั่งหญิงรับใช้ ให้เทินภาชนะนี้บนศีรษะ ไปลอยในแม่น้ำคงคา ถ้ามีคนถามก็บอกว่าเป็นเครื่องทำพลีกรรม หญิงรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ก็ทำตามคำสั่งทุกอย่าง 

 

 


                        เช้าวันนั้นมีหญิง ๒ คนกำลังอาบน้ำอยู่ทางด้านทิศใต้ ของแม่น้ำคงคาเห็นภาชนะใบนั้นถูกน้ำพัดพา หญิงคนหนึ่งพูดว่าภาชนะใบนั้นเป็นของฉัน ส่วนอีกคนกนึ่งก็พูดว่า ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่อยู่ในภาชนะก็ต้องเป็นของฉัน เม่อภาชนะลอยมาถึง จึงยกภาชนะวางไว้บนบก เปิดดูก็เห็นเด็กทารกกำลังน่ารักน่าเอ็นดู จึงเกิดความตื่นเต้นดีใจหญิงคนแรกอ้างว่า เด็กคนนี้ต้องเป็นของฉันเพราะฉันเห็นภาชนะก่อน แต่เพื่อนของนางแย้งว่า เด็กทารกนี้ต้องเป็นของฉัน เพราะฉันกล่าวว่า สิ่งที่มีอยู่ในภาชนะนี้ต้องเป็นของฉัน 

 

 


                        เนื่องจากปญิงทั้งสองต่างก็รักทารกผู้มีบุญคนนี้ อยากได้ไปเลี้ยงเหมือนกัน แต่ว่าตกลงกันไม่ได้ จึงพากันไปให้อำมาตย์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ศาล ช่วยวินิจฉัย พวกอำมาตย์ไม่กล้าวินิจฉัยว่า เด็กคนนี้ควรเป็นลูกของใคร จึงนำไปเฝ้าพระราชา พระราชาทรงสดับถ้ออยคำของหญิงทั้งสองแล้ว ก็ทรงวินิจฉัยโดยอาศัย พระราชอำนาจ ให้หญิงคนหนึ่งได้เด็กทารก อีกคนหนึ่งไดัภาชนะไป 

 

 


                        เนื่องจากหญิงที่ได้ครอบครองเด็กเป็นอุปัฏฐายิกาของพระมหากัจจายนเถระ เพราะฉะนั้นนางจึงเลี้ยงทารกน้อยเอาไว้ ด้วยคิดว่า เมื่อโตขึ้นจะนำไปบวชเป็นลูกศิษย์ของพระเถระ ในวันตั้งชื่อพวกหมู่ญาติ สังเกตุเห็นผมของเด็กเป็นกระเซิง เพราะมลทินครรภ์ที่ล้างออกไม่หมดในวันแรกเกิด จึงตั้งชื่อเขาว่า ชฎิลหมายถึงผู้มีผมเผ้ายุ่งเหยิงเป็นกระเซิง

 

 


                        เมื่อหนูน้อนชฏิลเติบโต อายุราว ๗ ขวบพระเถระได้เข้าไปบิณฑบาตในบ้านของอุบาสิกา อุบาสิกานิมนต์พระเถระให้นั่งฉันภัตตาหารที่บ้าน พระเถระเห็นเด็กจึงไต่ถามว่าเป็นใคร มาจากไหน อุบาสิกาบอกว่า เด็กคนนี้ดิฉันได้เลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม ตั้งใจว่าถ้าโตขึ้นจะนำไปบวชเป็น.สัทธิวิหาริก ของพระคุณเจ้า ว่าแล้วก็ถวายลูกชายให้บวชกับพระเถระ ตัวหนูน้อยเองก็มีความพอใจในการบรรพชา เพราะสั่งสมบุญเก่ามาดี

 

 


                        พระเถระเรียกหนูน้อยชฎิลเข้ามาใกล้ๆ ได้สนทนาพูดคุยด้วยความเอ็นดู ขณะเดียวกันก็ตรวจดูด้วยญาณทัสสนะของท่านว่ามีบุญพอจะได้บวชในบวรพระพุทธศาสนาหรือไม่ เมื่อตรวจดูก็เห็นว่า หนูน้อยคนนี้เป็นผู้มีบุญมาเกิด เมื่อโตขึ้นจะได้ครอบครองมหาสมบัติทั้งที่เป็นโลกียะและโลกุตระ แต่ขณะนี้ความแก่รอบห่งญาณ ที่เป็นเหตุให้ได้บรรละมรรคผลนิพพานยัง ไม่ถึงพร้อม เพราะฉะนั้นต้องรอให้อินทรีย์แก่กล้าก่อน 

 

 


                        ครั้นรับเด็กมาแล้วแทนที่จะให้บวช ท่านก็พาไปฝากบ้านของอุปทานอีกคนหนึ่งในกรุงตักศิลา โดยบอกว่าอุบาสก อาตมาตั้งใจจะให้หนูน้อยคนนี้บวช แต่ตอนนี้ยังไม่เหมาะ อุบาสกช่วยเป็นภาระเลี้ยงดูแทนอาตมาด้วยเถิด อุบาสกก็ไม่ขัดข้อง รับมาเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ประหนึ่งว่าเป็นลูกของตน 

 

 


                        ในบ้านของอุบาสกนั้นมีสินค้าที่ขายไม่ออกนานถึง ๑๒ ปี วันหนึ่งอุบาสก มีกิจธุระนอกบ้าน จึงฝากหนูน้อยชฏิลช่วยเฝ้าหน้าร้านให้ หนูน้อยก็นั่งเฝ้าหน้าร้าน ใครมาถามก็บอกราคาสินค้า ตามที่เคยขายก่อนหน้านี้ ลูกค้าที่มาซื้อของไม่มีใครสักคนที่ต่อรองให้ลดราคา ตามที่หนูน้อยบอกไป มีแต่จะให้เงินเกินราคา แล้ววันนั้นนับเป็นเรื่องที่หน้าอัสจรรย์มาก มีผู้หลั่งไหลมาซื้อของที่ร้านมากเป็นพิเศษ 

 

 


                        ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า เทวดาผู้รักษาพระนคร ได้ช่วยดลใจลูกค้าให้มุ่งหน้าไปยังร้านค้าของหนูน้อยชฎิลเท่านั้น ทำให้หนูน้อยขายสินค้าที่สะสมไว้นาน ๑๒ ปีหมดภายในวันเดียว อุบาสกกลับมาจากทำธุระในช่วงบ่ายเมื่อไม่เห็นสินค้าในร้านก็ตกใจมาก นึกว่าถูกใครมาปล้นไปหมดแล้วเพราะสินค้าที่เอาไว้ขายไม่เหลือเลยแม้สักชิ้นเดียว ในร้านมีแต่ความว่างเปล่า ครั้นไต่ถามลูกชายก็ได้รับคำตอบที่ทำให้ทั้งตื่นเต้นและทั้งอัศจรรย์ใจ หนูน้อยบอกว่าตัวเองได้ขายสินค้าไปหมดแล้ว พร้อมกันนำเงินค่าสินค้านั้นมาให้ เป็นเงินจำนวนมากกว่าราคาสินค้าซะอีก

 

 


                        อุบาสกจึงคิดว่าเพราะความเมตตาของพระเถระ ทำให้เราได้ผู้มีบุญน่ะมาอยู่ด้วย จึงมีความรักในหนูน้อยชฎิลมากยิ่งขึ้น เมื่อเติบโตเป็นหนุ่มจึงให้แต่งงานกับลูกสาวคนโต แล้วสั่งบริวารให้ไปช่วยกันสร้างคฤหาสน์หลังใหญ่ให้อยู่ เมื่อคฤหาสน์สร้างเสร็จ ในทันทีที่ชฎิลพร้อมด้วยภรรยาก้าวข้ามธรณีประตู เหตุมหัสจรรย์ก็ได้บังเกิดขึ้น คือภูเขาทองคำสูงประมาณ ๘๐ ศอกได้ชำแรกแผ่นดินผุดขึ้นที่หลังบ้าน และข่าวนี้ก็ได้แพร่สพัดไปทั่วพระนคร พระราชาพอสดับข่าวว่า ภูเขาทองชำแรกแผ่นดินผุดขึ้นทีหลังบ้านของท่านชฎิล จึงพระราชทานฉัตรเศรษฐี พร้อมกับให้นามใหม่ว่า ชฎิลเศรษฐี 

 

 

                        เราอาจสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไรที่มีภูเขาทองผุดเกิดขึ้นมา อย่างว่าท่านได้สั่งสมบุญอะไรเอาไว้ ก็ยากที่จะเข้าใจและยากที่จะรับได้ทุกอย่าง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบันล้วนมีเหตุมาจากอดีตทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นในวันพรุ่งนี้เราจะมาติดตามรับฟังประวัติการสั่งสมบุญของท่านชฎิลเศรษฐีกันนะจ๊ะ 

 

พระธรรมเทศนา โดย : หลวงพ่อธัมมชโย  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)  

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล