Dhamma for people
ธรรมะเพื่อประชาชน
พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ๑๓
ในโลกนี้น่ะไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม ทุกคนที่เกิดมา ต่างก็อยู่ในระหว่างการฝึกฝนอบรมตนเองให้เป็นผู้สมบูรณ์ คำว่าสมบูรณ์คือเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ มุ่งกำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงออกจากใจ กำจัดกิเลสอาสวะทั้งหลาย ทำสังโยชน์เบื้องต่ำเบื้องสูงให้หมดสิ้นไป ได้เข้าถึงกายธรรมอรหัตต์เป็นพระอรหันต์ หยุดการเวียนว่ายตายเกิด ไปเสวยเอกันตบรมสุขในอายตนนิพพาน
เพราะฉะนั้น ในระหว่างการเวียนว่ายตายเกิด ก็ต้องสั่งสมบุญบารมีติดตัวไปด้วยทุกครั้ง ต้องฝึกฝนอบรมตนเอง ทั้งกาย วาจา ใจและก็หมั่นทำทานรักษาศีล เจริญภาวนาควบคู่กันไป ก็จะได้เป็นผู้สมบูรณ์พร้อมในทุกด้าน เป็นต้นบุญต้นแบบให้กับชาวโลก และสรรพสัตว์ทั้งหลายกันนะจ๊ะ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกายเอกกนิบาตว่า
ผู้มีปัญญาเพียงดังแผ่นดิน ย่อมไม่พูดเหลวไหล
เพราะปรารภตนเองหรือคนอื่น
ผู้นั้นย่อมได้รับการบูชาจากมหาชนในท่ามกลางชุมชน
แม้ภายหลังเขาย่อมไปสู่สุขติ
การจะไม่เป็นคนพูดจาเหลาะแหละหรือเพ้อเจ้อไร้สาระนั้น เมื่อพูดจาปราศัยเรื่องใด ก็ต้องพิจารณาไตร่ตรองด้วยสติปัญญา ให้รอบคอบเสียก่อน นอกจากจะไม่พูดให้ร้อนเขาร้อนเราแล้ว ควรให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อผู้พูดและผู้ฟังอีกด้วย การกล่าวถ้อยคำสัตย์จริง ไม่โกหกหลอกลวงอาจถูกใจบางคน ไม่ถูกใจบางคน ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ในการพูดจาให้ถูกใจทุกคนนั้น เป็นไม่ได้ยากแต่ขอให้พูดถูกทำนองครองธรรมเอาไว้ เอาความถูกต้องดีงามเป็นหลัก ไม่มีอคติความลำเอียง หัวใจปักมั่นอยู่กับความถูกต้องมากกว่าถูกใจ แม้บางครั้งอาจมีผู้ไม่เห็นด้วยบ้างก็อย่าท้อแท้ใจ อย่างน้อยเราก็ไม่แหนงใจตัวเอง ให้ภูมิใจที่ไม่พูดโกหก เพราะอคติความลำเอียง แล้วเราก็จะมีความองอาจในทุกหนทุกแห่ง
แต่ในโลกปัจจุบันนี้ มีผู้คนมากมายที่กล้าพูดเท็จ เพราะเห็นแก่ลาภสักการะ ยอมพูดโกหกเพราะกลัวตาย เมื่อคิดจะพูดเท็จ ก็มักอ้างว่าเพราะความจำเป็นบีบบังคับ จึงต้องพูดเช่นนั้นเพื่อเอาตัวรอด โดยไไม่ได้คำนึงถึงความเดือดร้อนและจิตใจของผู้อื่นเลยว่าจะเป็นอย่างไร เหมือนดังเรื่องของพระเตมียกุมาร ที่ถูกพวกโหราจารย์ใส่ความเท็จว่า เป็นคนกาลกิณี หากปล่อยไว้นานก็จะนำความพินาศมาสู่แว่นแคว้น จำเป็นจะต้องนำไปฝังทั้งเป็นที่ป่าช้าผีดิบ ซึ่งเราจะมารับฟังกันต่อจากเมื่อวานนี้นะจ๊ะ
ครั้งที่แล้วหลวงพ่อได้เล่าถึงว่า เมื่อพระราชาทรงไต่ถามพวกโหราจารย์ว่า พระโอรสของพระองค์เป็นผู้มีบุญมาเกิดหรือเป็นใครกันแน่ ทำไมสิ่งที่พวกโหราอาจารย์เคยทำนายไว้ว่า จะได้ครองความเป็นใหญ่ในแผ่นดิน แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตรว่า พระโอรสเป็นคนง่อยเปลี้ย เป็นใบ้ ไม่สามารถช่วยเหลือพระองค์เองได้ พวกโหราจารย์ทั้งหลายต่างก็อับจนปัญญา ไม่รู้ว่าจะแก้ตัวอย่างไร เพราะในบุพนิมิตรของพระกุมาร ได้บอกชัดเจนว่า คือผู้มีบุญมาเกิด แต่ว่าเมื่อไม่ตรงตามที่ทำนาย จึงได้แต่ก้มหน้านิ่งไม่กล้าพูดจาอะไร เพราะรู้ว่าถ้าพูดจาให้ระคายเคืองคงต้องถูกนำไปตัดศีรษะเป็นแน่
เมื่อพระราชาทรงถามรุกหนักมากขึ้น ด้วยความกลัวต่อมรณะภัยที่อยู่เบื้องหน้า โหราจารย์คนหนึ่งจึงได้กล่าวขึ้นว่า “ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า ความจริงพวกข้าพระบาททราบแต่ต้นแล้วว่า พระราชกุมารนี้เป็นกาลกิณี แต่ไม่ได้กราบทูลให้ทรงทราบ เกรงว่า จะเป็นที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท เนื่องจากพระองค์ทรงรักพระกุมารยิ่งนัก จึงได้แต่เก็บงำความลับนี้เอาไว้ และปรึกษากันว่า เมื่อกาลเวลาผ่านไป ด้วยเดชะพระบารมีของมหาราชเจ้า อาจทำให้ดวงอัปลักษณ์ของพระกุมาร กลับมาเป็นผู้มีบุญญลักษณะ นำความเจริญมาสู่แว่นแคว้นของพระองค์ก็เป็นได้ ตอนนี้ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ความเป็นกาลกิณี ของพระกุมารไม่สามารถแก้ไขได้เลย พระเจ้าข้า”
จากนั้นก็ได้สรรหาเหตุผลต่างๆ มาสนับสนุนคำพูดของตนที่ทำนายว่า พระกุมารเป็นกาลกิณี ดูนะจ๊ะว่าความกลัว ไม่ว่าจะกลัวในรูปแบบใดก็ตาม ย่อมเป็นเหตุให้คนเราทำความผิดซ้ำซ้อนได้ทุกอย่าง แม้จะต้องเสียสัจจะก็ตาม โหราจารย์ก็เช่นกัน แม้ในตอนแรกจะยังยืนยันในคำพยากรณ์ของตน แต่ครั้นเหตุการณ์คับขันเข้า ก็เกรงว่าพวกตนจะต้องถูกพระราชอาญา จึงจงใจกล่าวเท็จต่อพระราชาทั้งๆ ที่รู้ ซึ่งนอกจากจะถือว่าเสียสัจจะต่อตนเองแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความเห็นแก่ตัวไร้มนุษยธรรม และที่สำคัญยังเป็นการทำบาปกรรมหนัก ซึ่งคงไม่แคล้วที่จะต้องพลัดไปสู่อบาย
ฝ่าพวกโหราจารย์ด้วยกันฟังแล้วก็นิ่งเงียบไปตามๆ กัน เพราะไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า โหราจารย์ท่านนี้น่ะ จะกล้ากราบทูลในสิ่งที่พวกโหราจารย์ด้วยกัน แม้ความคิดก็ยังไม่กล้าคิดเลย แต่โหราจารย์ท่านนี้กลับกล้าพูดเท็จ ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริงเลย
ฝ่ายพระราชาทรงตรองดูก็เห็นว่า มีเหตุผลอยู่ พระองค์จึงทรงคล้อยตามคำของโหราจารย์ท่านนั้น แล้วตรัสถามว่า “เมื่อลูกเราเป็นกาลกิณีเช่นนี้ แล้วจะทำอย่างไรต่อไปเล่า จงแนะนำต่อเถิดท่านอาจารย์” โหราจารย์เห็นว่า พระราชาทรงเชื่อถือถ้อยคำของตนจริงๆ จึงดำริขึ้นในใจว่า “พวกเราเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ก็เพราะอาศัยพระราชกุมารนี่แหละ เป็นต้นเหตุสำคัญ หากไม่มีพระกุมารเสียแล้ว พวกเราก็คงไม่ต้องประสบกับความลำบากใจเช่นนี้”
โหราจารย์นั้น แต่เดิมก็เป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง แต่บัดนี้ความรู้สึกผิด ชอบ ชั่ว ดีได้หมดสิ้นไปจากใจเสียแล้ว ด้วยลืมความจริงข้อหนึ่งไปว่า ไม่ว่าใครก็ล้วนแต่รักตัวเอง และขวนขวายเพื่อให้ตน ได้รับความสุขความปลอดภัยทั้งสิ้น แต่โหราจารย์กลับโยนความทุกข์ไปให้ผู้อื่น โดยไม่คำนึงว่า คนอื่นเขาก็รักตัวของเขาเองเช่นเดียวกัน การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ต่ำช้ามาก
โหราจารย์ท่านนี้น่ะ ครั้นเห็นว่าการทูลตอบนอกตำรากลับได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ ก็เลยยกเมฆทูลแนะนำ เรื่องชั่วร้ายต่อไปว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระอิสริยยศ ถ้าพระองค์ยังทรงเลี้ยงพระกุมารผู้เป็นกาลกิณีไว้ ภายใต้ล่มเศวตฉัตรต่อไป ไม่ช้าแผ่นดินนี้ก็จะเกิดอาเพศ อันตราบอย่างใหญ่หลวง จะบังเกิดขึ้ดแก่พระองค์เอง พระราชบัลลังก์ก็จะล่มสลาย และแม้แต่พระชนม์ชีพของพระอัครมเหสีก็จะสิ้นไป และข้าพระบาทจำต้องขอพระราชทานวโรกาส กราบทูลแด่พระองค์อีกว่า อาเพศทั้ง ๓ ประการนี้ จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ฉะนั้นหากพระองค์ยังทรงลังเลพระทัย ไม่ทรงรีบกำจัดพระราชกุมารเสียโดยเร็ว ก็จะไม่ทันการณ์ พระเจ้าข้า"
พระเจ้ากาสิกราชทรงเชื่อสนิทพระทัยว่า จะต้องเป็นไปตามคำของโหราจารย์ทุกอย่าง แต่ครั้นจะทรงตัดสินพระทัยรับสั่งให้กำจัดพระโพธิสัตว์โดยพลันก็คงไม่ได้ เพราะยังมีพระนางเจ้าจันทาเทวีผู้เป็นพระมารดา ซึ่งมีสิทธิ์ในพระราชโอรสเสมอกันอยู่
โหราจารย์ได้กราบทูลต่อไปว่า “ขอเดชะ ข้าพระบาทเห็นด้วยเกล้าฯว่า พระองค์อย่าทรงรีรออยู่เลย โปรดสั่งให้นำพระเตมิยกุมาร ผู้เป็นกาลกิณี ขึ้นบรรทมบนรถเทียมด้วยม้าอัปมงคล มอบหมายให้สารถีขับรถอัปมงคลนั้น ออกไปทางประตูด้านทิศตะวันตก แล้วนำพระกุมารไปฝังทั้งเป็น ในสถานที่อันเป็นอัปมงคลคือป่าช้าผีดิบนอกเมือง หากทำได้สำเร็จ สวัสดิมงคลทั้งปวงก็จะบังเกิดขึ้นกับพระองค์ แม้ภยันตรายทั้งปวงที่จะเกิดขึ้นกับ พระเศวตฉัตร และพระมเหสี ก็จะอันตรธานสิ้นไป พระเจ้าข้า”
ครั้นพระราชาได้ทรงสดับเช่นนั้นก็ทรงสะเทือนพระทัยอยู่ไม่น้อย เพราะหากทรงตัดสินเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าพระองค์ทรงยอมให้เขาฆ่าพระโอรสของพระองค์เอง ซึ่งไม่ใช่วิสัยของผู้เป็นบิดาจะพึงกระทำต่อบุตร แต่ครั้นทรงดำริถึงภยันตรายที่จะเกิดขึ้นกับบ้านเมือง ก็ให้ทรงหวาดผวายิ่งนัก จึงทรงใคร่ครวญถึงคำกราบทูลของโหราจารย์ ที่ยังคงก้องกังวานอยู่ในพระหฤทัยตลอดเวลา ส่วนว่าพระองค์จะทรงตัดสินพระทัยอย่างไรนั้นเราคงต้องมาติดตามรับฟังกันต่อในวันพรุ่งนี้นะจ๊ะ
พระธรรมเทศนา โดย : หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)