Dhamma for people
ธรรมะเพื่อประชาชน
มาตังคบัณฑิต ๒
มนุษย์ทุกคนต่างต้องการให้ชีวิตของตัวเอง ก้าวไปในทางที่เลือกเอาไว้ แล้วหวังจะให้ทางที่เลือกไว้นั้นน่ะมีแต่สิ่งที่ดีๆ ถ้าเราเลือกทางได้ถูกต้องและอาศัยอิทธิบาท ๔ คุณเครื่องแห่งความสำเร็จ มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เราก็จะประสบความสำเร็จได้ แต่ถ้าหากเลือกทางผิด ชีวิตก็จะอับเฉา ต้องประสบกับความทุกข์ทั้งกายและใจ ดังนั้นการตัดสินใจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ในการดำเนินชีวิตของเรา วิธีการง่ายๆ ที่จะช่วยในการตัดสินใจของเราให้ถูกต้องได้นั้นน่ะ เราจะต้องหมั่นฝึกใจของเราให้หยุด ให้นิ่ง ให้ใสสว่าง เพราะเมื่อใจเราใสสว่างแล้ว เราจะได้รู้เห็นอย่างแจ่มแจ้ง ตั้งแต่ต้นทางไปตลอดจนสุดปลายทาง และการตัดสินใจของเราก็จะถูกต้อง ไปตามความเป็นจริงทุกอย่างนะจ๊ะ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในขุททกนิกาย ธรรมบทว่า
สุทฺทฺทสํ สุนิปุณํ
ยตฺถกามนิปาตินํ
จิตฺตํ รกฺเขถ เมธาวี
จิตฺตํ คุตฺตํ สุขาวหํ
ผู้มีปัญญา พึงรักษาจิตที่เห็นได้ยากแสนยาก
ละเอียดประณีตยิ่งนัก
มักตกไปในอารมณ์ตามความใคร่
เพราะว่าจิตที่คุ้มครองไว้ดีแล้ว ย่อมนำความสุขมาให้
เราเกิดมาในโลกนี้ต้องประสบกับความทุกข์ในทุกๆ ขั้นตอนของชีวิต ตั้งแต่เกิดก็เป็นทุกข์ แก่ก็เป็นทุกข์ เจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นทุกข์ ตายแล้วก็ยังเป็นทุกข์ สำหรับคนที่ยังอยู่ ที่ทุกข์ก็เพราะว่า มีสาเหตุแล้วก็ไม่รู้ว่า จะแก้ปัญหาที่จะทำให้ทุกข์นั้นมลายหายสูญไปได้อย่างไร ชีวิตหลังความตายจะเป็นอย่างไรก็รู้ได้ยาก แต่ก็มักจะพูดกันว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ เพราะคนที่จะไปรู้ ไปเห็นนรก สวรรค์ได้จริงมีอยู่จำนวนน้อย บางคนเมื่อไม่รู้จึงไม่ค่อยจะเชื่อ เลยใช้ชีวิตให้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์ ตามความพอใจของตัวเองและการใช้ชีวิตก็ใช่ว่าจะราบรื่น บ่อยครั้งก็จะประสบกับปัญหาที่ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร ทั้งๆ ที่ทุกปัญหานั้นน่ะ มีทางแก้ไขและวิธีที่จะแก้ไขปัญหาได้นั้นน่ะ ต้องหยุดใจให้ได้เสียก่อน
เพราะการคุ้มครองรักษาใจให้หยุดนิ่งอยู่ในวงกาย คือหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นั้น นอกจากจะสามารถแก้ไขความทุกข์ ในขั้นที่สามารถดับทุกข์ได้แล้ว ยังนำความสุขอันไม่มีประมาณมาให้อีกด้วย เมื่อใจสงบก็จะพบทางออก จากทุกข์มากก็มาทุกข์น้อย จากทุกข์น้อยก็หมดทุกข์ หมดโศก หมดโรค หมดภัย อุปสรรคทั้งหลายก็ไม่มากล้ำกรายเราได้ เหมือนเรื่องของบัณฑิตในการก่อน ที่หลวงพ่อจะนำมาเล่าให้ฟังต่อจากคราวที่แล้วนะจ๊ะ
พระโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดในตระกูลจัณฑาล แม้จะเป็นคนไร้ทรัพย์แต่ก็ไม่อับจนปัญญา เพราะท่านแก้ไขปัญหาอย่างชาญฉลาดและก็ถูกวิธี จากที่เคยมีฐานะยากจนก็ยกฐานะของตัวเองน่ะให้สูงขึ้นมาได้ ด้วยการเริ่มต้นยกฐานะทางใจขึ้นมาก่อน แม้ท่านจะเป็นคนจัณฑาลไม่มีใครอยากจะมองแม้ด้วยหางตา แต่ท่านก็มีวิธีการที่จะทำตัวให้เป็นผู้ที่ได้รับความเคารพยำเกรง กราบไหว้ จากคนทั้งเมืองได้
เรื่องก็มีอยู่ว่า พระโพธิสัตว์อยากจะสั่งสอน ลูกสาวเศรษฐีที่เป็นสาเหตุทำให้ท่าน ต้องถูกพวกนักเลงสุราทุบตีจนปางตาย อยากจะแก้ทิฏฐิมานะของเธอ ด้วยการไปนอนอยู่หน้าลานบ้านท่านเศรษฐี และถ้าหากไม่ได้ลูกสาวท่านเศรษฐีมาเป็นภรรยา ก็จะไม่ยอมลุกไปไหน ขอนอนตายอยู่ที่ตรงนี้แหละ ความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพันของท่าน ทำให้ชาวเมืองเกิดโกลาหลกันใหญ่ เมื่อร่วงไป ๔-๕ วันคนที่อยู่บ้านข้างเคียงจากบ้านของท่านเศรษฐี ต่างก็มายืนประชุมกันว่า พวกเราต่างก็ไม่อยากเป็นคนจัณฑาล ท่านเศรษฐีอย่าทำให้เราเนี่ยฉิบหายกันเลย จงยกนางทิฏฐมังคลิกา ให้แก่หนุ่มจัณฑาลคนนี้เถิด
เศรษฐีและภรรยาแม้จะส่งทรัพย์ไปให้มากมาย หนุ่มชนบทก็ปฏิเสธ ไม่ยอมรับฝ่ายเดียว ครั้น ๖ วันผ่านไปจนถึงวันที่ ๗ พระโพธิสัตว์ผู้มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่ยอมรับประทานอาหาร ไม่ยอมดื่มน้ำ เริ่มมีลมหายใจโรยรินเหมือนคนใกล้จะตายเข้าไปทุกขณะ ทุกคนที่อยู่ในบ้านใกล้เรือนเคียงทั้ง ๑๔ หลังมาประชุมกันเพื่อกดดันท่านเศรษฐี แต่ก็ยังไม่ยอมยกลูกสาวให้หนุ่มจัณฑาล เมื่อเจรจาต่อรองกันไปมา ด้วยความรักและสงสารลูกอย่างสุดซึ้ง ทำให้เศรษฐีถึงกับเป็นลมล้มลง ชาวเมืองจึงพากันขึ้นไปบนคฤหาสน์ และจับธิดาเศรษฐีเปลื้องเครื่องประดับออก เหมือนเก็บดอกทองกวาวในยามที่ออกดอกเบ่งบาน ได้ผูกผมของนางให้ใหม่ ให้นุ่งผ้าเขียวเก่าๆ ผูกชิ้นผ้าเก่าๆ ไว้ที่ข้อมือ ประดับตุ้มหูที่หูทั้งสอง ส่งกระเช้าใบตาลให้ แล้วช่วยกันช่วยนางลงจากคฤหาสน์ นำไปมอบให้กับพระโพธิสัตว์ พร้อมกับกล่าวว่า เจ้าจงพาสามีของเจ้าไปเถิด อย่าให้สามีของเจ้าต้องมาตายหน้าลานบ้านแห่งนี้เลย
นางทิฏฐมังคลิกาพูดว่า ลุกขึ้นซิเจ้าคนถ่อย พระโพธิสัตว์ได้ฟังแล้วก็พูดทั้งๆ ที่ยังนอนอยู่ว่า นางหญิงถ่อยเราจะไม่ยอมลุกขึ้น นางย้อนถามว่าจะให้พูดว่าอย่างไรเล่าเจ้าถึงจะยอมลุกขึ้น พระโพธิสัตว์ก็บอกว่าเจ้าจงพูดกับเราว่า ท่านมาตังคะขอท่านจงลุกขึ้นเถิด นางขัดไม่ได้จึงต้องยอมพูด ตามที่พระโพธิสัตว์บอกทุกอย่าง
มาตังคะบัณฑิตสั่งนางว่า คนของเจ้าใช่ไหมที่ทุบตีเราปางตาย ทำให้เราไม่สามารถลุกขึ้นได้ เจ้าจงช่วยพยุงเราให้ลุกขึ้นทีเถิด เมื่อนางเข้าไปพยายามพยุงพระโพธิสัตว์ขึ้น ท่านจึงแกล้งลุกขึ้นแล้วก็ล้มลงไปอีก พร้อมกับกล่าวเสียงดังว่า เธอใช้ให้คนทุบตีเราแล้ว บัดนี้ตัวเธอยังจะทุบตีเราอีกหรือ นางพยายามพยุงพระโพธิสัตว์ให้ลุกขึ้นได้แล้ว ก็พูดอ้อนวอนว่านายจ๋าเรารีบไปกันเถอะ
พระโพธิสัตว์กล่าวว่าข้าถูกคนของเจ้าน่ะ ทุบตีจนบอกซ้ำเช่นนี้คงไม่สามารถเดินไปเองได้ เจ้าจงให้ข้าขี่หลังแล้วแบกไปเถิด เนื่องจากนางทิฏฐมังคลิกา เป็นหญิงสุขุมาลแห่งชาติ ไม่เคยได้รับความยากลำบากมาก่อน แต่นางก็จำต้องทำตามที่พระโพธิสัตว์บอกทุกอย่าง นางได้ให้พระโพธิสัตว์ขี่หลัง แล้วพาไปยังประตูเมืองด้านทิศตะวันออกและถามว่าที่อยู่ของนายน่ะอยู่ที่ไหน ท่านก็บอกให้นางแบกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพอใจ นางจึงต้องแบกไปทุกประตูเมือง
การที่พระโพธิสัตว์ทำเช่นนี้ ก็เพราะต้องการลดทิฏฐิมานะของนางนั่นเอง ฝ่ายมหาชนเห็นการกระทำของพระโพธิสัตว์ ก็แซ่ซ้องสรรเสริญว่า นอกจากคนเช่นมาตังคบัณฑิตแล้ว ไม่มีใครอื่นที่จะสามารถทำลายทิฏฐิมานะและความหยาบกระด้างของนางได้ เมื่อพระโพธิสัตว์สั่งให้นางทำตามจนพอใจแล้ว จึงพานางไปอยู่ที่บ้านหลังเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งอยู่นอกพระนคร แต่ก็ไม่เคยล่วงเกินนางเลย นางได้ทำหน้าที่สีภรรยาดูแลพระโพธิสัตว์เป็นอย่างดี ยิ่งอยู่ด้วยกันนานวันเข้าก็ยิ่งรู้สึกเคารพรักและศรัทธาในวัตรปฏิบัติของท่าน ด้วยความจริงใจ
พระโพธิสัตว์เมื่อมั่นใจว่า นางมีความเคารพยำเกรงต่อตนแล้ว ก็คิดหาวิธีที่จะให้นางได้ยศใหญ่ จากนั้นก็คิดต่อไปว่า เราเป็นคฤหัสถ์คงไม่สามารถทำได้ แต่เมื่อบวชแล้วจึงจะทำได้ และก็เรียกนางมาสั่งว่าให้เธอทำความสะอาดบ้านให้ดี ฉันจะเข้าไปบำเพ็ญสมณธรรมไม่นานจะกลับมา ว่าแล้วก็เดินางเข้าป่าตามลำพังแสวงหาผ้าเก่าๆ แล้วออกบวชเป็นดาบส เมื่อบวชแล้วก็ตั้งใจทำสมาธิเจริญภาวนา จนได้บรรลุฌานอภิญญาสมาบัติ จากนั้นจึงคิดหาวิธีการที่จะทำให้ นางทิฏฐมังคลิกาเป็นหญิงผู้มีชื่อเสียงที่สุดในชมพูทวีป
ส่วนว่าวิธีการอั้นชาญฉลาดของพระโพธิสัตว์เจ้า จะเป็นอย่างไรนั้น ก็ให้มาติดตามรับฟังในวันต่อไปนะจ๊ะ เราจะเห็นว่าการยกระดับฐานะของตัวเราให้สูงขึ้น ต้องเริ่มจากการยกระดับจิตใจ ให้สูงขึ้นเสียก่อน อย่างน้อยให้ได้เห็นความสว่างภายใน ใจของเราก็จะผ่องใสจนสามารถมองเห็นวิธีการแก้ไขปัญหาทุกๆ ปัญหา เหมือนเรามองเห็นกุ้ง หอย ปู ปลาในน้ำใสๆ อย่างนั้นแหละ เมื่อมองเห็นแล้วก็จะสามารถแก้ไขได้ถูกจุด ดังตัวอย่างของพระโพธิสัตว์ ถึงแม้ท่านจะเกิดในตระกูลต่ำ แต่ท่านมีปัญญามากและปัญญานี่แหละคือสมบัติอันล้ำค่า ที่จะยกระดับคุณค่าชีวิตให้สูงขึ้น และก็เป็นสิ่งที่หาซื้อไม่ได้ ด้วยทรัพย์สินเงินทอง แต่ต้องแสวงหาปัญญาบริสุทธิ์ภายในด้วยตัวเราเอง ซึ่งพวกเราก็ต้องหมั่นแสวงหาปัญญาชนิดนี้ ด้วยการหมั่นทำใจให้หยุดให้นิ่งกันทุกๆ วันเลยนะจ๊ะ
พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)