“บุญ” คำเดียวสั้นๆ แต่มีความสำคัญมากต่อชีวิตของเราทั้งหลาย บุญคือสิ่งเดียวเท่านั้น ที่เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิตของพวกเราทุกคน เป็นเครื่องสนับสนุนให้เราได้บรรลุวัตถุประสงค์ของการเกิดมาเป็นมนุษย์ เราจะเป็นผู้ที่สมบูรณ์พร้อมด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ มีโอกาสทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาอย่างเต็มที่ ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระบรมศาสดา จนกระทั่งมีดวงตาเห็นธรรม ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ทั้งหมดนี้จะได้มาก็ต้องอาศัยบุญทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น บุญจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเรา วันเวลาที่ผ่านไปนั้น จึงควรให้ผ่านไปพร้อมกับบุญบารมีที่เพิ่มขึ้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน มัจฉรีสูตร ว่า
“ชนเหล่าใดในโลกนี้ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว รู้ถ้อยคำ ปราศจากความตระหนี่
เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ เป็นผู้มีความเคารพแรงกล้า
ชนเหล่านี้ย่อมปรากฏในสวรรค์อันเป็นที่อุบัติ หากถึงความเป็นมนุษย์ ย่อมเกิดในสกุลที่มั่งคั่ง
ได้เสื้อผ้าอาหาร ความร่าเริงและความสนุกสนานโดยไม่ยาก พึงมีอำนาจแผ่ไปในโภคทรัพย์
ที่ผู้อื่นหาสะสมไว้ บันเทิงใจอยู่ นั่นเป็นวิบากในภพนี้ ทั้งภพหน้าก็จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์”
มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ เมื่อเติบโตจนรู้เดียงสาแล้ว ต่างก็มีความมุ่งหวัง ตั้งความปรารถนาอยากประสบความสุขความสำเร็จในชีวิต อยากพบเจอแต่สิ่งที่ดีๆ ส่วนใหญ่ก็ตั้งความปรารถนาเอาไว้เพียง ๒ ระดับ คือความปรารถนาบนดิน ซึ่งหมายถึงความสุขตามประสาชาวโลก อยากพรั่งพร้อมด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และก็คุณสมบัติ ปรารถนาให้ได้ลาภยศ สรรเสริญสุขที่คนอื่นเขามีกัน ความปรารถนาบนฟ้า หมายถึงการได้สวรรค์สมบัติ มีทิพยวิมาน มีรัศมีกายสว่างไสว มีอายุขัยยืนยาว ได้เสวยทิพยสมบัตินานๆ ชีวิตหลังความตายขออย่าได้พลัดตกไปในอบายภูมิ ให้มีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไปอย่างเดียว เป้าหมายทั้งสองอย่างนี้จะเป็นผลสำเร็จได้ นอกจากอาศัยสติปัญญาและความสามารถแล้ว ยังต้องอาศัยบุญอีกด้วย เพราะบุญเป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของความสุขและความสำเร็จทุกอย่าง ถ้าขาดบุญแล้ว จะทำอะไรก็ติดๆ ขัดๆ ไปเสียทุกอย่าง ฉะนั้นบุญจึงเป็นหลักเป็นประธานของความสำเร็จทั้งปวง
* เหมือนในสมัยพุทธกาล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร มีอยู่ช่วงหนึ่งชาวเมืองในกรุงราชคฤห์ต่างก็พร้อมใจหยุดงาน เพื่อช่วยกันทำความสะอาดถนนหนทาง เกลี่ยทราย โรยดอกไม้หอมชนิดต่างๆ โรยข้าวตอก ตั้งต้นกล้วยและหม้อน้ำไว้ทุกๆ ประตูเรือน ยกธงประดับบ้านเรือนซึ่งงดงามด้วยสีต่างๆ จากนั้นก็ประดับตกแต่งร่างกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์อย่างดี เพื่อเฉลิมฉลองในงานนักขัตฤกษ์ตลอด ๗ วัน
ส่วนพระเจ้าพิมพิสารมหาราชแห่งกรุงราชคฤห์ ก็ได้เสด็จออกจากพระราชนิเวศน์ทรงเสด็จเลียบพระนครพร้อมด้วยเหล่าข้าราชบริพารที่ตามเสด็จจำนวนมาก ทำให้มหาชนได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระราชา ในระหว่างนั้นมีกุลสตรีนางหนึ่งได้เห็นสมบัติมากมาย พร้อมทั้งราชานุภาพของพระเจ้าพิมพิสาร ก็เกิดอัศจรรย์ใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จึงถามบัณฑิตว่า
“สมบัติของพระราชานี้เปรียบเสมือนเทวฤทธิ์ พระราชาทรงสร้างบุญกุศลอะไรเอาไว้ ทำไมถึงมีความยิ่งใหญ่กว่าหมู่เราชาวแว่นแคว้นมากมายหลายเท่านัก”
บัณฑิตนั้นก็ตอบนางไปว่า “ดูก่อนแม่มหาจำเริญ ก็เพราะพระราชาทรงสั่งสมบุญเอาไว้อย่างดีแล้ว เพราะธรรมดาบุญเปรียบดังแก้วมณีที่ให้ความปรารถนาทุกอย่าง เป็นเสมือนต้นกัลปพฤกษ์ในอุตตรกุรุทวีปที่ทำความปรารถนาของมนุษย์ให้สำเร็จ เมื่อเนื้อนาบุญคือพระทักขิไณยบุคคลมีอยู่ วัตถุที่จะให้ก็บริสุทธิ์ เจตนาในการถวายทานของทายกทายิกาก็มีพร้อม พอให้ทานตัดขาดออกจากใจแล้ว คนทั้งหลายปรารถนาสิ่งใด บุญกรรมนั้นก็ให้สำเร็จผลได้ทุกอย่าง
ดูก่อนแม่มหาจำเริญ ความเป็นผู้มีตระกูลสูงมีได้ก็ด้วยการถวายอาสนะเป็นทาน เธอเคยได้ยินบ้างไหม พระบรมศาสดาทรงสอนเอาไว้ว่า “ผู้ใดให้ข้าวชื่อว่าให้พละ ผู้ให้เสื้อผ้าอาภรณ์ชื่อว่าให้วรรณะ ผู้ให้ยานพาหนะชื่อว่าให้ความสุข ผู้ให้ประทีปโคมไฟชื่อว่าให้จักษุ ผู้ให้ที่อยู่อาศัยชื่อว่าให้ทุกสิ่งทุกอย่าง” เธอปรารถนาสิ่งใดก็จงสั่งสมบุญเพื่อสมบัติเหล่านั้นเถิด”
นางฟังคำนั้นแล้วก็ตั้งจิตในสวรรค์สมบัติด้วยความคิดว่า สมบัติของพระราชาในเมืองมนุษย์ยังอลังการถึงเพียงนี้ สวรรค์สมบัติคงจะต้องยิ่งใหญ่กว่าหลายเท่านัก เมื่อนางคิดอย่างนี้แล้วก็เกิดอุตสาหะรักในการสั่งสมบุญกุศลให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
พอดีว่าในวันนั้น บิดามารดาของนางได้ส่งผ้าใหม่ ตั่งใหม่ ดอกปทุม ๑ กำ แล้วก็เนยใส น้ำผึ้ง น้ำตาลกรวด ข้าวสารพร้อมทั้งนมสดชั้นดีมาให้นาง เมื่อนางเห็นสิ่งเหล่านั้นแล้วก็ดีใจว่า เรากำลังอยากถวายทานอยู่พอดี และไทยธรรมประณีตนี้เราก็ได้แล้ว นางจึงจัดแจงไทยธรรมอันประณีตสุดฝีมือ ปรุงข้าวมธุปายาสมีน้ำน้อย ตกแต่งของเคี้ยวของกินอย่างอื่นเป็นจำนวนมาก ทำให้เป็นบริวารของข้าวมธุปายาส แล้วประพรมของหอมที่โรงทาน จัดอาสนะไว้เหนือดอกปทุมทั้งหลาย ซึ่งงดงามด้วยกลีบ ช่อ และเกสรของดอกปทุมที่แย้มบานแล้ว จากนั้นก็ใช้ผ้าขาวใหม่ๆ มาปูลาด แล้ววางดอกปทุม ๔ ดอก และพุ่มดอกไม้หอมไว้บนตั่งที่นั่ง ด้านบนของอาสนะก็ทำเป็นเพดานห้อยพวงดอกไม้และพวงระย้า รอบบริเวณอาสนะก็ลาดพื้นด้วยกลีบปทุมที่มีเกสร หน้าบ้านก็ตั้งพานดอกไม้สดหอมเป็นพิเศษไว้ต้อนรับ ขณะที่ทำไปนั้น ในใจก็มีแต่เรื่องบุญกุศล ใจไม่มีขุ่นมัวเลย
และเมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางจึงอาบน้ำแต่งตัว จากนั้นก็นั่งคอยให้เวลาที่เนื้อนาบุญจะมาโปรด เมื่อถึงกำหนดจึงสั่งหญิงรับใช้คนหนึ่งว่า “แม่เอ๊ย เจ้าจงไปนิมนต์เนื้อนาบุญมาให้ฉันด้วยเถิด" หญิงรับใช้ก็ตั้งกัลยาณจิตว่า ขอให้ได้พบพระทักขิไณยบุคคลอันเลิศด้วยเถอะ ว่าแล้วนางก็เดินไปพบพระสารีบุตรซึ่งกำลังเที่ยวบิณฑบาตอยู่พอดี นางจึงกราบนิมนต์ท่านให้ไปฉันที่บ้านของเจ้านาย กุลสตรีนั้นเมื่อเห็นพระเถระมา ก็ออกไปต้อนรับด้วยความนอบน้อม นิมนต์ท่านนั่งบนอาสนะ เลี้ยงดูด้วยข้าวมธุปายาสมีน้ำน้อย ขณะที่กำลังเลี้ยงดูอยู่นั้นก็ทำความปรารถนาว่า ด้วยอานุภาพบุญของดิฉันนี้ ขอจงมีสมบัติอันเป็นทิพย์ที่งดงามด้วยบัลลังก์เรือนยอดเหนือกุญชรอันเป็นทิพย์ด้วยเถิด”
เมื่อพระเถระฉันเสร็จแล้ว นางจึงล้างบาตร บรรจุเนยใส น้ำผึ้ง และน้ำตาลกรวดจนเต็มบาตรถวายอีก ได้ทำผ้าที่ปูลาดบนตั่งเป็นผ้ารองบาตร แล้ววางไว้ในมือพระเถระ พร้อมกับถวายอาสนะสำหรับทำภาวนา พระเถระได้อนุโมทนาอวยพรให้นางสมหวังในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ทุกประการ ตั้งแต่นั้นมานางก็ทำบุญอยู่เป็นประจำไม่เคยขาดเลย เมื่อนางสิ้นชีวิตลงก็ไปบังเกิดในวิมานทองสูงร้อยโยชน์ ณ ภพดาวดึงส์ ความปรารถนาทุกอย่างที่นางตั้งเอาไว้ก็กลายเป็นความจริง นางยังมีเทพอัปสรพันหนึ่งเป็นบริวาร มีช้างทิพย์สูง ๕ โยชน์ ประดับด้วยมาลัยดอกปทุม ประดับด้วยอาภรณ์ทอง รุ่งเรืองด้วยรัศมี ผ้าคลุมช้างก็ประดับด้วยรัตนชาติล้วนๆ ซึ่งบังเกิดด้วยอำนาจความปรารถนาของนาง บัลลังก์ทองประมาณโยชน์หนึ่งได้บังเกิดบนช้าง เมื่อนางจะไปสถานที่แห่งใด นางก็จะขึ้นนั่งบนบัลลังก์อันวิจิตรนั้นไป
ครั้นพระมหาโมคคัลลานเถระมาพบเข้า ก็ได้เข้าไปไต่ถามนางว่า “ดูก่อนเทพธิดา ผู้มีดวงตากลมดังกลีบปทุม มีผิวพรรณดังดอกปทุม กุญชรพาหนะของท่าน สำเร็จด้วยรัตนะต่างๆ มีกำลังพรั่งพร้อมด้วยความเร็ว ท่องไปในอากาศด้วยความว่องไว ท่านมีพัสตราภรณ์สะอาดประดับองค์อยู่เหนือคชาธาร รุ่งโรจน์กว่าอัปสรหมู่ใหญ่ด้วยวรรณะ นี้เป็นผลของทาน ศีล หรือผลของการทำอัญชลีใด ขอให้เธอได้บอกกรรมนั้นแก่อาตมาด้วยเถิด” เทพธิดาถูกถามเช่นนั้นก็ร่าเริงยินดี ได้กราบเรียนท่านไปตามความเป็นจริงทุกอย่างด้วยความปลาบปลื้มปีติใจ
นี่ก็เป็นอานิสงส์ที่เกิดจากการสั่งสมบุญเอาไว้อย่างดีแล้ว มนุษย์ส่วนใหญ่เมื่อตั้งใจทำงานควบคู่กับการทำบุญ ก็จะได้บรรลุเป้าหมายของชีวิตทั้งสองอย่างเหมือนกัน ทุกๆ ท่านเองก็จะได้สวรรค์สมบัติเช่นนั้นเหมือนกัน หลวงพ่อถือว่าเป็นเรื่องปกติที่เรานักสร้างบารมีทุกคนต้องได้ เพียงแต่ยังมีเป้าหมายสำคัญยิ่งกว่านั้น ที่ต้องทำให้ได้ เป็นเป้าหมายเหนือฟ้า นั่นก็คือให้ได้นิพพานสมบัติ ซึ่งเป็นเอกันตบรมสุข เป็นสุขล้วนๆ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติก็เทียบไม่ได้แม้เพียงเศษเสี้ยวธุลี เป็นการเดินตามทางของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เป้าหมายนี้เป็นความปรารถนาอันสูงสุด
เราเกิดกี่ภพกี่ชาติ สร้างบารมีกันชนิดทุ่มเทเอาชีวิตเป็นเดิมพันก็เพื่อหวังให้ได้นิพพานสมบัตินี้ การจะให้ได้นิพพานสมบัติในปัจจุบัน ก็ทำได้ด้วยการหยุดกับนิ่งอย่างเดียว แล้วเราจะเข้าไปพบกับนิพพานภายใน คือได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน คือพระธรรมกายที่ชัดใสสว่างอยู่ในกลางกายของเรา ดังนั้น ให้ชักชวนกันสั่งสมบุญบารมีกันให้เต็มที่ และก็หมั่นฝึกฝนใจให้หยุดให้นิ่ง ให้ได้เข้าถึงนิพพานสมบัติภายใน คือพระธรรมกายกันทุกคน
พระธรรมเทศนาโดย : พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย)
* มก. เล่ม ๔๘ หน้า ๕๑