อานิสงส์ต้อนรับพระพุทธเจ้า
มนุษย์ทุกคนที่มีชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ ต่างแสวงหาความสุขด้วยวิธีการต่างๆ นานา แต่ความสุขที่พากันแสวงหานั้นล้วนไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เพราะการแสวงหาความสุขจากการดื่ม กิน เที่ยวหรือได้ของที่ถูกใจ เป็นเพียงแค่ความเพลิดเพลินกลบทุกข์ไว้ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการแก้ทุกข์ ความสุขที่แท้จริงต้องเป็นความสุขที่พึ่งพิงได้ตลอดเวลา เป็นสุขล้วนๆ ไม่มีทุกข์เจือปนเลย ต่อเมื่อได้เข้าถึงธรรมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จึงจะเข้าถึงความสุขอย่างนี้ได้ ซึ่งทุกคนสามารถเริ่มต้นได้โดยการนำใจมาหยุดนิ่งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ในกลางกายเพื่อจะได้พบกับความสุขที่แท้จริง
มีวาระแห่งพระบาลีที่ปรากฏอยู่ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ความว่า
“อุทพินฺทุนิปาเตน อุทกุมฺโภปิ ปูรติ
ปูรติ ธีโร ปุญฺญสฺส โถกํ โถกํปิ อาจินํ
แม้หม้อน้ำยังเต็มด้วยหยาดน้ำที่ตกลงมาทีละหยาดๆ ได้ฉันใด
ธีรชน แม้สั่งสมบุญทีละน้อยๆ ย่อมเต็มด้วยบุญได้ ฉันนั้น”
หยดน้ำเล็กๆ หากหยดลงมาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ถ้าเราเปิดฝาภาชนะไว้รองรับย่อมเต็มเปี่ยมได้ฉันใด การสร้างบุญในแต่ละภพแต่ละชาติของเรานั้น หากปรารถนาที่จะสร้างบุญเพียงชาติเดียวแล้วให้เต็มเปี่ยมทันที เป็นไปได้ยากยิ่ง ต้องมีการสั่งสมบุญให้ต่อเนื่องสม่ำเสมอ สร้างกันทุกภพทุกชาติ บารมีจึงจะเต็มเปี่ยมได้ฉันนั้น ยิ่งกว่านั้น หากเราปรารถนาที่จะให้บุญที่ทำนั้นทับทวีมากยิ่งขึ้น ก็ต้องรู้จักสร้างบุญให้ถูกเนื้อนาบุญ ถูกทักขิไณยบุคคล จะบังเกิดอานิสงส์ยิ่งใหญ่ไพศาล เกินควรเกินคาด
ดังนั้น เกิดมาเป็นมนุษย์มาสร้างบารมี ต้องรู้จักเลือกเนื้อนาบุญ และต้องรู้จักประคับประคองตนให้ดี ให้มีสติดำรงอยู่ในความไม่ประมาท จึงจะสามารถประคับประคองตนให้รอดพ้นจากภัย คือ อบายภูมิได้ หากบุคคลใดเกิดมาแล้ว มีโอกาสได้พบพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และได้สร้างบุญไว้ในพระพุทธศาสนา ย่อมเป็นความโชคดีที่สุดของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ดังเช่นชีวิตการสร้างบุญของ พระเสนาสนทายกเถระ ท่านเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในสมัยพุทธกาล ที่ได้สั่งสมบุญกับเนื้อนาบุญอันเลิศคือพระพุทธเจ้า
* ย้อนหลังไป ๙๔ กัป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า สิทธัตถะ ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ทรงประกาศพระสัทธรรมไปทั่วชมพูทวีป ในภพชาตินั้น พระเถระได้บังเกิดในเรือนมีตระกูลๆ หนึ่ง เมื่อท่านเจริญวัยขึ้น พระบรมศาสดาได้เสด็จมาถึงเมืองที่ท่านอาศัยอยู่ ท่านได้เห็นมหาชนพากันถือดอกไม้ธูปเทียนเดินไปยังที่ประทับของพระพุทธองค์เพื่อฟังธรรม จึงคิดด้วยวิสัยของบัณฑิตว่า “พระศาสดาพระองค์นี้ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่ เพราะมีมหาชนพากันหลั่งไหลไปฟังธรรมไม่ขาดสาย” ท่านได้แต่คิด แต่ยังไม่ได้ตามมหาชนไปเฝ้าพระศาสดาแต่อย่างใด
กระทั่งวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกผ่านบ้านของท่าน ท่านได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระรัศมีสว่างไสว เพียงแค่เห็นเท่านั้น ความเลื่อมใสที่มีอยู่เป็นทุนเดิมเพียงน้อยนิด พลันเปลี่ยนเป็นความเลื่อมใสที่เปี่ยมล้น ได้น้อมลงกราบแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าและปูเครื่องลาดหญ้าถวาย จากนั้นท่านกั้นฝาโดยรอบ ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งและน้อมบูชาด้วยดอกไม้นานาพันธุ์
ท่านเกิดมหาปีติกระทั่งถึงวันสุดท้ายของชีวิต และด้วยบุญนั้น ท่านได้ท่องเที่ยวในเทวโลกและมนุษยโลก เสวยสมบัติทั้งสอง ในกัปที่ ๙๔ แต่กัปนี้ จนมาถึงในพุทธกาลนี้ ท่านได้บังเกิดในตระกูลๆ หนึ่ง ครั้นเจริญวัยขึ้นได้ฟังธรรมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก็เกิดความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยอย่างแรงกล้า จึงได้ออกบวชและสามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ในที่สุด
ต่อมาท่านระลึกถึงบุพกรรม ก็เกิดปีติโสมนัสถึงกับเปล่งอุทานประกาศการสร้างบารมีในอดีตของตนว่า "ผลแห่งบุญที่เราได้ถวายเครื่องลาดใบไม้ แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า สิทธัตถะ ทั้งได้เอาเครื่องอุปการะและดอกโกสุม โปรยลงโดยรอบ ด้วยอานิสงส์นั้น เราได้เสวยผลควรค่ามากอยู่ในห้องอันรื่นรมย์ในปราสาท ดอกไม้มีค่ามากได้ตกลงบนที่นอน เรานอนบนที่นอนอันวิจิตรลาดด้วยดอกไม้ และฝนดอกไม้ตกลงบนที่นอนของเราในกาลนั้น ในกัปที่ ๙๔ แต่กัปนี้ เราไม่รู้จักทุคติเลย และยังได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิถึง ๗ ครั้ง พระนามว่า ฐิตาสันถารกะ ในภพชาติสุดท้าย เราสมบูรณ์ด้วยคุณวิเศษทั้งหลาย นี้เป็นผลแห่งการถวายเครื่องลาดแด่พระบรมศาสดา"
ประวัติของพระอรหันตเถรเจ้าเสนาสนทายกเถระท่านนี้ที่ได้เข้าถึงความเต็มเปี่ยมของชีวิต ก็ด้วยบุญที่ได้สร้างไว้กับพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงเป็นเนื้อนาบุญอันเลิศ แม้ผู้อื่นจะมองว่า ท่านอาจจะทำบุญช้าไป ทำได้ไม่เต็มที่ แต่เราจะเห็นว่า เมื่อท่านสร้างบุญแล้วหมั่นตามระลึกถึงบุญนั้นตลอดเวลา มีแต่มหาปีติตั้งแต่วันที่ทำจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต พวกเราก็เช่นเดียวกัน คือ ได้ทำบุญไว้หลายอย่าง เมื่อทำแล้วก็ให้หมั่นตามระลึกนึกถึงบุญให้ได้ตลอดเวลา หากทำได้เช่นนี้ สายบุญก็จะหลั่งไหลมาหล่อเลี้ยงต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด
อีกเรื่องหนึ่งที่หลวงพ่อจะนำมาเล่าในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่พวกเรารู้จักกันดี นั่นคือ เรื่องที่เกี่ยวกับไวยาวัจกร ซึ่งเป็นบุคคลที่สำคัญต่อวัดวาอารามมาก เป็นผู้คอยอำนวยความสะดวกให้กับพระภิกษุสามเณรในอารามนั้นๆ เพื่อให้ท่านบำเพ็ญสมณกิจได้อย่างสะดวกสบาย คำว่า "ไวยาวัจกร" นี้ ถ้าแปลให้ตรงความหมายก็อาจแปลได้ว่า ผู้ที่รู้จักขวนขวายเอาบุญนั่นเอง
* เรื่องนี้เกิดขึ้นในยุคที่พระพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก เมื่อครั้งมีการประชุมสงฆ์ครั้งยิ่งใหญ่เป็นมหาสันนิบาต มีโยมท่านหนึ่งรู้ข่าวบุญที่จะมีการรวมตัวกันของพระสงฆ์ เกิดศรัทธาอย่างแรงกล้า อยากจะเอาบุญใหญ่สักครั้งหนึ่งในชีวิต แต่ตนไม่มีปัจจัยไทยธรรมมากเช่นคนอื่นๆ ที่มีโอกาสได้ถวายมหาทานบารมี ท่านคิดว่า แม้ในมือของเราไม่มีไทยธรรมถวาย แต่เราก็ขอเป็นอุปัฏฐากคอยรับใช้พระท่าน หรือหากท่านต้องการจะให้ช่วยอะไร เราก็จะอำนวยความสะดวกสบายถวายท่าน เป็นไวยาวัจกรผู้รับใช้ในกิจทุกอย่างของสงฆ์ เมื่อคิดเช่นนี้ ในวันมหาสันนิบาต ท่านรีบออกเดินทางจากบ้าน มาคอยอุปัฏฐากพระในทุกๆ เรื่อง ครั้นได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านได้ถวายบังคมแทบพระบาทของพระศาสดาด้วยจิตที่เลื่อมใส อิ่มเอิบด้วยมหาปีติ ลืมความเหน็ดเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งทีเดียว
ด้วยผลบุญนั้น ทำให้ท่านได้ไปบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์ เวลาลงมาเกิดในโลกมนุษย์ บุญแห่งการทำหน้าที่อุปัฏฐาก ได้ส่งผลให้ท่านบังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่า สุจินติยะ และในภพชาติสุดท้าย คือในสมัยพุทธกาล ท่านได้ออกบวชบำเพ็ญเพียรไม่นานก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ นี้เป็นผลแห่งการขวนขวายในการบุญการกุศล ถึงแม้ไม่มีโอกาสถวายมหาทานบารมีเช่นคนอื่นๆ ก็ตาม
เราจะเห็นว่า การสร้างบารมีนั้น สามารถทำได้ในทุกๆ สภาวะ ไม่เกี่ยวกับฐานะความร่ำรวย แต่อยู่ที่ใจ และไม่ว่าเราจะอยู่ตรงไหน หากโอกาสแห่งการสร้างบุญมาถึงแล้ว ควรรีบเก็บเกี่ยวเอาบุญไป ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งเป็นอย่างน้อย เพราะถ้าเราปล่อยให้โอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตผ่านไป โอกาสแสนดีนั้นไม่สามารถที่จะย้อนกลับคืนมาได้ ดังนั้นควรเร่งรีบตักตวงเอาบุญกันให้เต็มที่ เราถนัดในการสร้างบุญแบบไหน ก็ให้ทำอย่างที่เราสะดวก อย่าปล่อยให้โอกาสแห่งบุญผ่านไปโดยไม่ได้ทำอะไร หากทำได้เช่นนี้ เราย่อมสมปรารถนาในทุกสิ่งได้โดยไม่ยาก และย่อมเป็นชีวิตที่เต็มเปี่ยมด้วยความสุขอย่างแท้จริง
พระธรรมเทศนาโดย : พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย)
* มก. เล่ม ๗๑ หน้า ๓๔๖
* มก. เล่ม ๗๑ หน้า ๓๔๘