การฟังธรรมตามกาลเป็นมงคลอย่างยิ่ง และเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกชีวิต เพราะจะทำให้เรารู้ในสิ่งที่ยังไม่รู้ รู้แล้วก็จะได้แจ่มแจ้งในธรรมนั้นยิ่งๆ ขึ้นไป และช่วยคลายความสงสัยที่ติดค้างอยู่ในใจลงได้ การฟังธรรมจะทำให้จิตใจผ่องใส ด้วยจิตที่เลื่อมใสในพระธรรมอันประเสริฐ ย่อมทำให้ผู้ฟังไปบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์ หรือแม้ฟังยังไม่เข้าใจลึกซึ้ง แต่ความรู้ที่ได้ยินได้ฟังมานั้น จะเป็นอุปนิสัยติดตัวไปในภพชาติเบื้องหน้า และเป็นเหตุให้บรรลุธรรมาภิสมัยได้ในที่สุด
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า
“ ยถาปิ รหโท คมฺภีโร วิปฺปสนฺโน อนาวิโล
เอวํ ธมฺมานิ สุตฺวาน วิปฺปสีทนฺติ ปณฺฑิตา
บัณฑิตทั้งหลาย ฟังธรรมแล้ว ย่อมมีจิตผ่องใส เหมือนห้วงนํ้าลึก ที่ใสสะอาด ไม่มีความขุ่น ”
ปรารภเหตุวัดพระธรรมกายได้จัดให้มีการฟังสวดพระอภิธรรมเนื่องในงานบำเพ็ญกุศลคุณยายมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง มหาปูชนียาจารย์ผู้ให้กำเนิดวัดพระธรรมกาย ซึ่งท่านได้ละสังขารด้วยโรคชรารวมสิริอายุได้ ๙๒ ปี ทุกๆ คืนจะมีเหล่าศิษยานุศิษย์ ต่างตั้งใจเดินทางมาร่วมบำเพ็ญกุศลกับคุณยายกันอย่างเนืองแน่น มาฟังพระสวดพระอภิธรรมและฟังธรรมจากพระเถรานุเถระ ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเทศน์และเล่าถึงคุณธรรมของคุณยายเป็นประจำ
หลวงพ่อจึงขอนำเรื่องการฟังสวดพระอภิธรรมมาเล่าให้ทุกท่านได้ศึกษากันเอาไว้ว่า พระอภิธรรมคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร ใครเป็นผู้แสดงอภิธรรมเป็นคนแรก หากฟังด้วยจิตที่เลื่อมใสแล้ว สามารถนำเราไปสู่สุคติสวรรค์ได้อย่างไร หัวใจของพระอภิธรรมนั้นเป็นเรื่องของจิต เจตสิก รูป นิพพาน ว่ามีลักษณะอย่างไร การทำงานของจิต เจตสิกเป็นอย่างไร รูปและนิพพานมีลักษณะเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนมาก
อภิธรรม คือธรรมะขั้นสูงที่พิเศษกว่าพระสูตร สำหรับพระอภิธรรมที่เราได้ฟังกันทุกคืนนั้น ส่วนใหญ่พระท่านจะสวดบทพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ได้แก่ คัมภีร์ธรรมสังคณี คัมภีร์วิภังค์ คัมภีร์กถาวัตถุ คัมภีร์ปุคคลบัญญัติ คัมภีร์ธาตุกถา คัมภีร์ยมก คัมภีร์ปัฏฐาน
มีผู้รู้ได้อุปมาเอาไว้ว่า พระอภิธรรมปิฎกมีความสำคัญเปรียบเสมือนรากแก้ว พระวินัยปิฎกประหนึ่งลำต้น พระสุตตันตปิฎกเหมือนกิ่งก้านสาขา หรืออีกนัยหนึ่ง ถ้าจะเปรียบกับร่างกาย พระอภิธรรมปิฎกเหมือนกับหัวใจ พระวินัยปิฎกเหมือนกับชีวิต พระสุตตันตปิฎกเหมือนอวัยวะร่างกาย ในปิฎกทั้ง ๓ นี้ พระอภิธรรมจึงมีความสำคัญที่สุด เป็นความรู้ระดับสูงที่ท่านเรียกว่า ปรมัตถธรรม คือเป็นธรรมะที่มีเนื้อหาสาระที่ลึกซึ้ง
คำสอนทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งออกเป็นพระสุตตันตปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐ ส่วนพระอภิธรรมปิฎก มีมากถึง ๔๒,๐๐๐ เพราะฉะนั้น อภิธรรมปิฎกจึงมีความสำคัญมาก ที่พวกเราเหล่าพุทธศาสนิกชนควรหาโอกาสศึกษาและรับฟังจากผู้ที่ได้ศึกษามาอย่างดีแล้ว
ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใหม่ๆ พระองค์ก็ทรงย้อนกลับมาพิจารณาพระอภิธรรม ทบไปทวนมาถึงความรู้อันสุขุมลุ่มลึกนี้นานถึง ๑ สัปดาห์ เพื่อจะให้ทรงแตกฉานและรู้แจ้งยิ่งๆ ขึ้นไป แล้วทรงนำไปแนะนำสั่งสอนเหล่าเวไนยสัตว์ให้รู้แจ้งเห็นจริงตามพระองค์ไปด้วย สมัยนั้นพระพุทธองค์ทรงนั่งขัดสมาธิ(Meditation)เสวยวิมุตติสุขตลอด ๑ สัปดาห์ ต่อจากนั้นพระพุทธองค์เสด็จจงกรม ณ รัตนจงกรมซึ่งอยู่ระหว่างรัตนบัลลังก์กับที่เสด็จประทับยืน ใช้เวลา ๑ สัปดาห์ พอสัปดาห์ที่ ๓ เหล่าเทวดาเนรมิตเรือนแก้วขึ้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จนั่งขัดสมาธิที่เรือนแก้วนั้น ทรงพิจารณาอภิธรรมปิฎกคือสมันตปัฏฐาน ซึ่งมีนัยที่ไม่สิ้นสุด ทรงใช้เวลานานถึง ๑ สัปดาห์ทีเดียว
เนื่องจากว่าบุคคลอื่นไม่มีปรีชาสามารถพอที่จะกล่าวจำแนกอภิธรรมปิฎกได้ เพราะเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เมื่อทรงจำแนกได้อย่างละเอียดละออ แล้วค่อยๆ นำมาถ่ายทอดให้เหล่าพระสาวกได้รับฟังกัน เช่นพระองค์ทรงพิจารณาสมันตปัฏฐานอนันตนัย ๒๔ อย่าง ว่ามีชื่อเรียกว่าอะไรบ้าง พระองค์ทรงกำหนดรู้หมด ทบไปทวนมา ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปปบาททั้งอนุโลมและปฏิโลมจนชำนาญ ทรงทราบว่า ธรรมนี้ชื่อสติปัฏฐาน ๔ อริยมรรคมีองค์ ๘ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจ ๔ เหตุ ๙ อาหาร ๔ ผัสสะ ๗ เวทนา ๗ สัญญา ๗ เจตนา ๗ จิต ๗ ธรรมทั้งหมดเหล่านี้ แบ่งเป็นกามาวจรธรรม รูปาวจรปริยาปันนธรรม อรูปาวจรอปริยาปันนธรรม โลกิยธรรม โลกุตตรธรรม พระองค์ทรงมีพระปรีชาญาณเป็นเยี่ยม จึงจำแนกได้อย่างละเอียดละอออย่างนี้
การพิจารณาพระอภิธรรมปิฎกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เข้าใจได้ว่า พระอภิธรรมมีนัยลึกซึ้งสุขุมลุ่มลึกยิ่งนัก เพราะหากกล่าวถึงพระวินัยเป็นเรื่องของศีล หรือคำสั่งให้ปฏิบัติตาม บางยุคบางสมัยพระพุทธองค์ก็บัญญัติพระวินัยไว้เพียงเล็กน้อย เพราะเหล่าสาวกตั้งใจปฏิบัติตามคำสอน จึงไม่มีข้อห้ามมากมายนัก ส่วนพระสูตรเป็นเรื่องของสมาธิหรือคำสอน ที่พระองค์ทรงนำมาถ่ายทอดให้เหล่าสาวกได้นำไปปฏิบัติให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ซึ่งต้องอาศัยการทำสมาธิจึงจะหลุดพ้นจากทุกข์ได้ ส่วนพระอภิธรรมนั้น แม้จะบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลก็ยังต้องศึกษาธรรมะขั้นสูงต่อไปอีก
* พระพุทธองค์ทรงเริ่มแสดงพระอภิธรรม หลังจากทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ปราบพวกเดียรถีย์ที่โคนต้นคัณฑามพฤกษ์มะม่วงหอมเสร็จแล้ว ก็ทรงเสด็จเหาะขึ้นไปเพื่อจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท้าวสักกเทวราชทอดพระเนตรเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงเสด็จลุกขึ้นจากบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ รีบเสด็จไปต้อนรับพร้อมด้วยหมู่เทพยดา พวกเทวดาต่างพากันคิดว่า ท้าวสักกะแวดล้อมไปด้วยหมู่เทพ ประทับนั่งบนบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ยาว ๖๐ โยชน์ แต่เมื่อพระพุทธเจ้าประทับนั่งแล้ว คนอื่นก็ไม่สามารถจะวางแม้แต่ฝ่ามือลง ณ พระแท่นนี้ได้ ฝ่ายพระบรมศาสดาทรงทราบวาระจิตของเหล่าทวยเทพ จึงใช้พุทธานุภาพประทับนั่ง จนเต็มบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์จึงดูเหมือนเล็กนิดเดียว
เมื่อเทพบุตรพุทธมารดาซึ่งเสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นดุสิต ทราบว่าพระบรมศาสดาเสด็จมาแสดงธรรม จึงเสด็จจากดุสิตบุรีพร้อมด้วยเทพบริวารมากมายเพื่อมาฟังธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเริ่มแสดงพระอภิธรรมปิฎก ตั้งแต่ กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพฺยากตา ธมฺมา เป็นต้นไป เพื่อโปรดทวยเทพในหมื่นจักรวาล ทำให้เทพบุตรเทพธิดาบรรลุธรรมกันนับไม่ถ้วน
ส่วนพุทธบริษัทประมาณ ๑๒ โยชน์ ซึ่งตัดสินใจตั้งหลักแหล่งอยู่ใกล้ๆ บริเวณต้นมะม่วงตลอด ๓ เดือน เพื่อรอรับพระพุทธองค์ และด้วยจิตที่เลื่อมใสในรัตนะอันเลิศ ท่านจุลลอนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้บริจาคทานให้กับพุทธบริษัทประมาณ ๑๒ โยชน์ ตลอด ๓ เดือน ในฤดูกาลนั้น ฝนฟ้าไม่ตก อากาศแจ่มใสตลอดเวลา ทุกคนต่างก็ฟังอภิธรรมที่พระมหาโมคคัลลานะได้รับฟังมาจากพระพุทธองค์อีกทีหนึ่ง พรรษานั้นจึงเป็นพรรษาแห่งการฟังพระอภิธรรมล้วนๆ โดยเฉพาะลูกศิษย์ของพระสารีบุตร ๕๐๐ รูป ได้ชื่อว่าเป็นผู้ทรงจำในพระอภิธรรมมากที่สุด ในที่สุดก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เพราะท่านเคยสั่งสมเรื่องการฟังอภิธรรมมามาก
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปว่า สมัยที่พวกท่านเคยบังเกิดเป็นค้างคาวหนู ๕๐๐ ตัว ในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ ค้างคาวหนูอาศัยอยู่ที่เงื้อมเขาแห่งหนึ่ง ในถํ้านั้นมีพระเถระ ๒ รูปเดินจงกรม แล้วท่องบ่นพระอภิธรรมไปด้วย ค้างคาวหนูได้ฟังบ่อยๆ ก็ถือเอาเสียงนั้นเป็นนิมิตทำให้จดจำได้ แต่ไม่รู้ว่า ธรรมเหล่านั้น ชื่อว่าขันธ์ ธรรมเหล่านี้ ชื่อว่าธาตุ เพราะสักแต่ว่าถือเอาเป็นนิมิตในเสียงเท่านั้น แต่ด้วยจิตที่เลื่อมใสในเสียง การฟังพระสวดพระอภิธรรมในครั้งนั้น ละโลกไปแล้วทำให้ไปบังเกิดในเทวโลก มีวิมานสว่างไสว เสวยทิพยสมบัติสิ้นพุทธันดรหนึ่ง พอจุติจากเทวโลกแล้วก็มาเกิดในกรุงสาวัตถี เมื่อเติบโตขึ้นจึงชักชวนกันบรรพชาในสำนักของพระสารีบุตรเถระ ในเวลาจบพระธรรมเทศนา ธรรมาภิสมัยได้มีแก่เทวดา ๘ หมื่นโกฏิ และเทพบุตรพุทธมารดาก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
จะเห็นได้ว่า การฟังธรรมซึ่งเป็นความรู้อันบริสุทธิ์ ที่เกิดจากใจที่หยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์แล้ว คือเกิดจากการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อใครได้ยินได้ฟังแล้ว แม้ว่าสติปัญญาจะไตร่ตรองตามไม่ทัน ยังแปลไม่ออก แต่ก็จะสามารถขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสได้ และจะเป็นอานิสงส์ใหญ่ที่ส่งผลให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานอีกด้วย ดังนั้นเมื่อไปรับฟังพระสวดพระอภิธรรมที่ไหนก็ตาม ให้ตั้งใจเงี่ยโสตสดับตรับฟังให้ดี อย่าพูดคุยกัน ต้องทำใจให้สงบ ทำใจให้นิ่งๆ รับฟังด้วยจิตที่เป็นกุศล จะได้เป็นบุญใหญ่ติดตัวเราไปข้ามภพข้ามชาติ
พระธรรมเทศนาโดย : พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย)
* มก. เล่ม ๔๒ หน้า ๓๐๗