ครูทั้ง 6 ลัทธิร่วมสมัยยุคพุทธกาล

วันที่ 20 เมย. พ.ศ.2560

 ครูทั้ง 6 ลัทธิร่วมสมัยยุคพุทธกาล

ครูทั้ง 6 ลัทธิร่วมสมัยยุคพุทธกาล, DOU, ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา, พระพุทธศาสนา, ความรู้พระพุทธศาสนา, อินเดีย

       ในสมัยพุทธกาลมีสมณพราหมณ์เจ้าลัทธิต่างๆ จำนวนมาก แต่ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของมหาชนมีอยู่ 6 ท่าน คือ ปูรณกัสสปะ มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล ปกุธกัจจายนะสัญชัยเวลัฏฐบุตร และนิครนถนาฏบุตร เจ้าลัทธิเหล่านี้ แม้แต่พระราชามหากษัตริย์ เช่น พระเจ้าอชาตศัตรู พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็ยังหาโอกาสไปสนทนาสอบถามปัญหาทางปรัชญาด้วยครูแต่ละท่านมีบริษัทบริวารคนละหลายร้อย และทั้ง 6 ท่านนี้ต่างก็กล่าวว่าตนเป็นพระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ แต่ถึงกระนั้นเมื่อถูกถามปัญหายากๆ และไม่สามารถแก้ปัญหาได้ครูทั้ง 6 ท่านก็ยังแสดงความโกรธ ความขัดเคือง และความไม่พอใจให้ปรากฏอยู่สำหรับประวัติและคำสอนของครูทั้ง 6 มีดังต่อไปนี้


1. ปูรณกัสสปะ
     พระพุทธโฆษาจารย์กล่าวว่า ปูรณกัสสปะเกิดในวรรณะพราหมณ์ วัยเด็กได้เป็นคนรับใช้ในตระกูลหนึ่งซึ่งมีคนรับใช้อยู่ 99 คน รวมปูรณกัสสปะอีกคนหนึ่งเป็น 100 คน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาได้ชื่อว่า ปูรโณ เพราะทำให้ทา ในเรือนครบ 100 คน วันหนึ่งเขาหนีออกจากเรือน ระหว่างทางพวกโจรชิงเอาผ้าของเขาไป เขาเดินเข้าไปในบ้านตำบลหนึ่งทั้งๆ ที่เปลือยกาย พวกมนุษย์เห็นเขาแล้วคิดว่าสมณะนี้เป็นพระอรหันต์ ผู้มักน้อย ผู้ที่จะเสมอเหมือนกับสมณะนี้ไม่มี จึงนำของหวานและของคาวเข้าไปสักการะ ปูรณกัสสปะคิดว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเราไม่นุ่งผ้า ตั้งแต่นั้นมาแม้ได้ผ้ามาก็ไม่นุ่ง เขาถือเอาการไม่นุ่งผ้านั่นแหละเป็นบรรพชา ต่อมามีกุลบุตรมาเป็นศิษย์จำนวนมาก

    ลัทธิของปูรณกัสสปะจัดอยู่ในประเภท "อกิริยวาทะ" หมายถึง ลัทธิที่ถือว่าทำแล้วไม่เป็นอันทำ ดังที่ครูปูรณกั ปะกล่าวกับพระเจ้าอชาตศัตรูในสามัญญผลสูตรว่า บุคคลทำบาปเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นทำบาป เบียดเบียนเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ทำชู้กับภริยาเขา พูดเท็จ ผู้ทำไม่ชื่อว่าทำบาป การทำเช่นนั้นเป็นเหตุย่อมไม่มีบาปมาถึงเขาแม้การทำบุญก็เหมือนกัน การให้ทาน การฝึกอินทรีย์ การสำรวมศีล การกล่าวคำสัตย์ การทำเช่นนั้นเป็นเหตุย่อมไม่มีบุญมาถึงเขา คำ สอนในลัทธินี้จึงต่างกับหลักกฎแห่งกรรมในพระพุทธศาสนา


2. มักขลิโคสาล
    มักขลิโคสาลเป็นบุตรพราหมณ์ชื่อ มักขลิ มารดาชื่อ ภัททา อาศัยอยู่หมู่บ้านสาลวันใกล้เมืองสาวัตถี พระพุทธโฆษาจารย์กล่าวว่า คำว่า โคสาละ แปลว่าผู้เกิดในโรงโค วัยเด็กเป็นคนรับใช้ในตระกูลหนึ่ง วันหนึ่งเขาถือหม้อน้ำมันเดินไปบนพื้นดินที่มีโคลน นายบอกว่า อย่าลื่นนะพ่อ เขาลื่นล้มลงด้วยความเผอเรอแล้ววิ่งหนีไปเพราะกลัวนาย แต่นายวิ่งไปจับชายผ้าไว้ทันเขาจึง ลัดผ้าทิ้งแล้วหนีไป ขณะเดินเข้าไปในบ้านตำบลหนึ่งทั้งๆ ที่เปลือยกาย พวกมนุษย์เห็นเขาแล้วก็มีจิตศรัทธาเช่นเดียวกับกรณีของท่านปูรณกัสสปะ ภายหลังมักขลิโคสาลจึงตั้งลัทธิขึ้นและมีลูกศิษย์จำนวนมากเช่นกัน

     ลัทธินี้ไม่ยอมรับอาหารที่เขาเจาะจงถวาย ไม่รับอาหารขณะมีสุนัขอยู่ข้างๆ หรือแมลงวันตอมอยู่ เพราะถือว่าเป็นการแย่งความสุขของผู้อื่น ไม่รับประทานปลา เนื้อ ไม่ดื่มสุราและของมึนเมา ไม่สะสมข้าวปลาอาหารยามข้าวยากหมากแพง

      ลัทธิของมักขลิโคสาลจัดอยู่ในประเภท "นัตถิกวาทะ" คือ ลัทธิที่ถือว่าไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยดังที่ครูมักขลิโคสาลกล่าวกับพระเจ้าอชาตศัตรูในสามัญญผลสูตรว่า ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยเพื่อความเศร้าหมองของสัตว์ทั้งหลายสัตว์ทั้งหลายหาเหตุมิได้หาปัจจัยมิได้ย่อมเศร้าหมอง ย่อมไม่มีเหตุย่อมไม่มีปัจจัยเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลายสัตว์ทั้งหลายหาเหตุมิได้หาปัจจัยมิได้ย่อมบริสุทธิ์ ไม่มีการกระทำของตนเองไม่มีการกระทำของผู้อื่นสัตว์ทั้งปวง ปาณะทั้งปวง ภูตทั้งปวงชีวะทั้งปวง ล้วนไม่มีอำนาจ ไม่มีกำลัง ไม่มีความเพียร แปรไปตามเคราะห์ดีเคราะห์ร้าย เร่ร่อนท่องเที่ยวไป แล้วจักทำที่สุดทุกข์ได้ ความสมหวังว่าเราจักอบรมกรรมที่ยังไม่อำนวยผลให้
อำนวยผล หรือเราสัมผัสถูกต้องกรรมที่อำนวยผลแล้วจักทำให้สุดสิ้นด้วยศีล ด้วยพรตด้วยตบะหรือด้วยพรหมจรรย์นี้ไม่มีในที่นั้นสุขทุกข์ทำให้สิ้นสุดได้เหมือนตวงของให้หมดด้วยทะนานย่อมไม่มีในสงสารด้วยอาการอย่างนี้เลย ไม่มีความเสื่อมความเจริญ ไม่มีการเลื่อนขึ้นเลื่อนลงพาลและบัณฑิต เร่ร่อน ท่องเที่ยวไป จักทำที่สุดทุกข์ได้เหมือนกลุ่มด้ายที่บุคคลขว้างไปย่อมคลี่ขยายไปเอง แนวคำสอนนี้ พระพุทธองค์ตรัสว่าไร้ประโยชน์ที่สุดในบรรดาลัทธิทั้งหลายลัทธินี้สืบต่อกันมาไม่นานก็ขาดหายไป


3. อชิตเกสกัมพล
    อชิตเกสกัมพลเป็นผู้มีชื่อเสียงก่อนพุทธกาลเล็กน้อย คำว่า เกสกัมพล แปลว่า ผู้มีผ้านุ่งผ้าห่มที่ทำด้วยผม เป็นผ้าที่หยาบและน่าเกลียด มีแนวความคิดหนักไปในวัตถุนิยมยิ่งกว่าลัทธิใด มีแนวคิดรุนแรงคัดค้านคำสอนทุกลัทธิรวมทั้งพระพุทธศาสนาด้วย

    ลัทธิของอชิตเกสกัมพลจัดอยู่ในประเภท "อุจเฉทวาทะ" คือ ลัทธิที่ถือว่าตายแล้วขาดสูญดังที่ครูอชิตเกสกัมพลกล่าวกับพระเจ้าอชาตศัตรูในสามัญญผลสูตรว่า ทานไม่มีผล การบูชาไม่มีผล การเซ่น รวงไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกอื่นไม่มี มารดา บิดาไม่มีคุณสัตว์ผู้เกิดแบบโอปปาติกะไม่มีสมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติชอบซึ่งกระทำโลกนี้และโลกอื่นให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งไม่มีในโลก คนเรานี้เป็นแต่ประชุมมหาภูตทั้ง 4 เมื่อตาย ธาตุดินก็จะไปตามธาตุดิน ธาตุน้ำก็จะไปตามธาตุน้ำ ธาตุไฟก็จะไปตามธาตุไฟ ธาตุลมก็จะไปตามธาตุลม อินทรีย์ทั้งหลายย่อมเลื่อนลอยไปในอากาศ คนทั้งหลาย
จะหามเขาไปยังป่าช้า กลายเป็นกระดูกมีสีดุจสีนกพิราบสิ่งที่ได้จากการเซ่น รวงคือขี้เถ้าเท่านั้นทานนี้คนเขลาบัญญัติไว้ คำของคนบางพวกพูดว่ามีผล ล้วนเป็นคำเปล่า คำเท็จ คำเพ้อ เพราะเมื่อกายสลาย ทั้งพาลทั้งบัณฑิตย่อมขาดสูญพินาศสิ้น ตายแล้วเป็นอันดับสนิทไม่มีการเกิดอีก


4. ปกุธกัจจายนะ
    เล่ากันว่าปกุธกัจจายนะเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในวัยเด็กมีความสนใจทางศาสนาเป็นอย่างยิ่ง เมื่อโตขึ้นจึงออกบวชแสวงหาโมกขธรรม เมื่อคิดว่าตนบรรลุธรรมแล้ว ก็ตั้งตัวเป็นอาจารย์สั่งสอนประชาชน

   ปกุธกัจจายนะเป็นผู้ห้ามน้ำเย็น แม้จะถ่ายอุจจาระก็ไม่ใช้น้ำเย็นล้างเขาใช้เฉพาะน้ำร้อนหรือน้ำข้าวเท่านั้น การเดินผ่านแม่น้ำหรือเดินลุยแอ่งน้ำบนถนนถือว่าศีลขาด เมื่อศีลขาดเขาจะก่อทรายทำเป็นสถูปแล้วอธิษฐานศีล จากนั้นจึงค่อยเดินต่อไป

     ลัทธิของปกุธกัจจายนะจัดอยู่ในประเภท "นัตถิกวาทะ" หมายถึง ลัทธิที่ถือว่าไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยเช่นเดียวกับลัทธิของมักขลิโคสาล ดังที่ปกุธกัจจายนะกล่าวกับพระเจ้าอชาตศัตรูในสามัญญผลสูตรว่าสภาวะ 7 กอง คือ กองดิน กองน้ำ กองไฟ กองลมสุข ทุกข์ และชีวะ สภาวะเหล่านี้ ไม่มีใครทำ ไม่มีแบบอย่างอันใครทำ ไม่มีใครเนรมิต เป็นสภาพยั่งยืน ตั้งมั่นดุจยอดภูเขาตั้งมั่นดุจเสาระเนียด ไม่หวั่นไหว ไม่แปรปรวน ไม่เบียดเบียนกันและกัน ไม่อาจให้เกิดสุขหรือทุกข์ หรือทั้งสุขและทุกข์แก่กันและกัน ผู้ฆ่าเองก็ดี ผู้ใช้ให้ฆ่าก็ดี ผู้ได้ยินก็ดี ผู้กล่าวให้ได้ยินก็ดีผู้เข้าใจความก็ดี ผู้ทำให้เข้าใจความก็ดีไม่มีในสภาวะ 7 กองนั้น บุคคลจะเอาศา ตราอย่างคม
ตัดศีรษะกัน ไม่ชื่อว่าใครๆ ปลงชีวิตใครๆ เป็นแต่ศาสตราสอดเข้าไปตามช่องแห่ง สภาวะ 7 กองเหล่านี้เท่านั้น คำสอนของปกุธกัจจายนะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสัสตทิฏฐิ คือ เห็นว่าโลกเที่ยงซึ่งเป็นคำสอนที่ตรงข้ามกับ "อุจเฉทวาทะ" คือ ลัทธิที่ถือว่าตายแล้วขาดสูญของอชิตเก กัมพล และตรงข้ามกับคำสอนในพระพุทธศาสนาด้วย


5. สัญชัยเวลัฏฐบุตร
     สัญชัยเวลัฏฐบุตรเป็นคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งในสมัยพุทธกาล พระมหาโมคคัลลานะและพระสารีบุตรเมื่อครั้งยังเป็นอุปติสะและโกลิตมานพก็เคยศึกษาอยู่กับท่านซึ่งเป็นเจ้าลัทธิของพวกปริพาชก ตั้งสำนักเผยแพร่อยู่ที่เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ชาวมคธเป็นจำนวนมากต่างนับถือในเจ้าลัทธินี้ แต่เมื่ออุปติสะและโกลิตมานพพร้อมบริวารจำนวนมากออกจากสำนักไปขอบวชกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสัญชัยเวลัฏฐบุตรจึงกระอักเลือดจนถึงแก่มรณกรรม

     ลัทธิของสัญชัยเวลัฏฐบุตรจัดอยู่ในประเภท "อมราวิกเขปวาทะ" คือ เป็นลัทธิที่หลบเลี่ยงไม่แน่นอน ดังที่สัญชัยเวลัฏฐบุตรกล่าวกับพระเจ้าอชาตศัตรูในสามัญญผลสูตรว่าถ้ามหาบพิตรตรัสถามอาตมภาพว่า โลกอื่นมีอยู่หรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามี ก็จะพึงทูลตอบว่ามี ความเห็นของอาตมภาพว่าอย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่ ถ้ามหาบพิตรตรัสถามอาตมภาพว่า ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วมีอยู่หรือถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามี ก็จะพึงทูลตอบว่ามี ความเห็นของอาตมภาพว่าอย่างนี้ก็มิใช่อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่ ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่าสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายเกิดอีกหรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่า เกิดอีก ก็จะพึงทูลตอบว่าเกิดอีก ความเห็นของอาตมภาพว่าอย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่...

     พระเจ้าอชาตศัตรูทรงดำริว่า บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านี้สัญชัยเวลัฏฐบุตรนี้โง่กว่าเขาทั้งหมด งมงายกว่าเขาทั้งหมด เพราะแนวคำสอนกลับกลอก เอาแน่นอนไม่ได้ไม่สามารถบัญญัติอะไรตายตัวได้ เพราะกลัวผิดบ้าง ไม่รู้บ้าง พูดซัดส่ายเหมือนปลาไหลในกรตังคสูตร กล่าวประณามว่า เป็นลัทธิคนตาบอด ไม่สามารถนำตนและผู้อื่นให้เข้าถึงความจริงได้ มีปัญญาทราม โง่เขลาไม่กล้าตัดสินใจใดๆ ได้อย่างเด็ดขาด เนื่องจากไม่รู้จริงอย่างถ่องแท้


6. นิครนถนาฏบุตร
     นิครนถนาฏบุตร หรือศาสดามหาวีระ เกิดที่กุณฑคาม เมืองไวสาลี แคว้นวัชชีของพวกเจ้าลิจฉวี มหาวีระเป็นศิษย์ของท่านปาร์ศวา ซึ่งเป็นศาสดาองค์ที่ 23 ในศาสนาเชนผู้มีอายุห่างจากท่านมหาวีระถึง 250 ปี ท่านมหาวีระเป็นศาสดาองค์ที่ 24 ได้สั่งสอนอยู่ 30 ปี จึงมรณภาพ ภายหลังเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นสาวกของนิครนถนาฏบุตรจำนวนมากได้เปลี่ยนมาเป็นพุทธสาวก

      ลัทธิของนิครนถนาฏบุตรปัจจุบันเรียกว่า ศาสนาเชน ลัทธินี้จัดอยู่ในประเภท "อัตตกิลมถานุโยค" คือ เป็นลัทธิที่ถือว่าการทรมานตนเองเป็นการเผากิเลส เป็นทางนำไปสู่การบรรลุธรรมที่เรียกว่า โมกษะ ผู้ที่ฝึกฝนดีแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหวต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดทางกาย วาจา ใจ ศาสนาเชนสอนว่า แก้ว 3 ดวง คือ มีความเห็นชอบ มีความรู้ชอบ มีความประพฤติชอบ จะนำไปสู่โมกษะได้ พระเจ้าเป็นเรื่องเหลวไหล พระเจ้าไม่สามารถบันดาลทุกข์สุขให้ใครได้ ทุกข์สุขเป็นผลมาจากกรรม การอ้อนวอนเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ไม่มีสาระ

      นักบวชเชนต้องรักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัด คือ เว้นจากการฆ่าสิ่งที่มีชีวิตรวมทั้งพืชด้วยเว้นจากการพูดเท็จ เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ เว้นจากการประพฤติผิดในกามและไม่ยินดีในกามวัตถุส่วนศาสนิกชนเชนต้องรักษาศีล 12 อย่างเคร่งครัดคือ เว้นจากการทำลายสิ่งที่มีชีวิต เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้มีความพอใจในสิ่งที่ตนมี เว้นจากอารมณ์ที่ก่อให้เกิดความชั่ว เช่น การเที่ยวเตร่ รู้จักประมาณในการใช้สอยเครื่องอุปโภคบริโภค เว้นจากทางที่ก่อให้เกิดอาชญาให้ร้าย ไม่ออกพ้นเขตไม่ว่าทิศใดทิศหนึ่งยามบำเพ็ญพรต บำเพ็ญพรตทุกเทศกาล อยู่จำอุโบสถศีล ให้ทานแก่พระ และต้อนรับแขกผู้มาเยือน

     เชนนับเป็นศาสนาที่ถือหลักการไม่เบียดเบียนหรืออหิงสาอย่างเอกอุ เป็นศาสนาที่มีแนวคิดใกล้เคียงกันกับพระพุทธศาสนา แม้แต่การสร้างพระพุทธรูป ถ้าดูอย่างผิวเผินก็ไม่เห็นความแตกต่างกันมากนัก ยกเว้นจะเปลือยกายและมีดอกจันทน์ที่หน้าอกเท่านั้น ปัจจุบันมีเชนศาสนิกชนประมาณ 6 ล้านคนทั่วอินเดีย โดยมากจะมีฐานะดี เพราะเป็นพ่อค้าเสียส่วนใหญ่เนื่องจากทำการเกษตรไม่ได้จะเป็นการผิดศีล เพราะเชนถือว่าพืชก็มีชีวิต การเกี่ยวข้าวตัดหญ้าเป็นบาปทั้งสิ้น ต่อมาหลังพุทธปรินิพพาน 240 ปี ศาสนาเชนก็แตกออกเป็น 2 นิกาย คือ นิกายทิฆัมพร ซึ่งเป็นนิกายดั้งเดิมที่เคร่งครัดไม่นุ่งห่มผ้า และนิกายเสวตัมพร จะนุ่งขาวห่มขาวไว้ผมยาว แต่งตัวสะอาด และคบหากับผู้คนมากกว่านิกายเดิมที่เน้นการปลีกตัวอยู่ต่างหาก

 

*-----------------------------------------------------------------------*
หนังสือ GB 405 ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา
กลุ่มวิชาความรู้ทั่วไปทางพระพุทธศาสนา

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0010614673296611 Mins