คุณยายทำวิชชา
สถานที่ศึกษาวิชชาธรรมกายชั้นสูงนั้นเรียกว่า "โรงงานทำวิชชา" เป็นกุฏิหลังใหญ่มีเพิงออกไป ๒ ข้าง ตรงกลางกุฏิมีผนังกั้นแบ่งเป็น ๒ ห้อง แยกพระกับแม่ชีไว้คนละส่วนเพื่อที่จะได้มองไม่เห็นซึ่งกันและกัน ดังนั้นพระกับแม่ชีจึงไม่มีวันได้รู้จักกันเลยส่วนหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านจะนั่งอยู่กับพระ ซึ่งในเวลานั้นมีประมาณ ๓๐ รูปสำหรับแม่ชีและอุบาสิกาที่ถือศีล แต่ยังไม่ได้บวชก็มีประมาณ ๓๐ คนเช่นกัน ที่ผนังกั้นนี้ถูกเจาะเป็นช่องเล็กๆ ไว้สำหรับหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านสั่งงาน ซึ่งสามารถมองเห็นได้แต่หน้าท่านแต่ไม่เห็นตัว
การทำวิชชาสมัยนั้น ในยามปกติจะทำกันผลัดละ ๔ ชั่วโมงต่อเนื่องกันไปไม่มีหยุดเลยส่วนในยามสงครามโลกคุณยายทำวิชชา จะแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มละ ๒ ผลัด ผลัดละ ๖ ชั่วโมง กลางวัน ๖ ชั่วโมง กลางคืน ๖ ชั่วโมง ผลัดแรกหรือกะที่ ๑ จะเริ่มเข้าที่นั่งสมาธิตั้งแต่ ๖ โมงเย็นถึงเที่ยงคืนส่วนกะที่ ๒ เริ่มตั้งแต่เที่ยงคืนถึง ๖ โมงเช้าส่วนในตอนกลางวัน กะที่ ๑ จะอยู่ถึงครึ่งวันเช้า แล้วกะที่ ๒ จะมาต่อถึง ๖ โมงเย็น เป็นอย่างนี้ตลอดทั้งวันทั้งคืน ๒๔ ชั่วโมง
หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านคัดเลือกให้คุณยายเป็นหัวหน้าเวรดึก เพราะเห็นว่าคุณยายมีความตั้งใจจริงในการศึกษาวิชชาธรรมกาย มีญาณทัสสนะแม่นยำ มีความรับผิดชอบสูงและอีกประการหนึ่งก็คือ คุณยายเป็นคนแข็งแรง
มีข้อน่าสังเกตบางประการที่ทำให้ท่านได้รับการคัดเลือกให้เป็นหัวหน้าสิ่งนั้นก็คือการเอาจริงเอาจังและทำมากกว่าคนอื่น แม้ว่าคุณยายจะนั่งสมาธิเหมือนกับคนอื่น แต่ เวลานั่งท่านไม่ขยับเลย นั่งแบบทิ้งชีวิต จนขาดการรับรู้ทางกายไปรับรู้เอาวิชชาข้างใน เมื่อครบ ๖ ชั่วโมงจะออกเวร คนที่นั่งมาด้วยกันลุกออกไปแล้ว แต่คุณยายท่านยังไม่ลุกท่าน อยู่รอฟังว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำจะสั่งวิชชาชุดที่เข้ามาผลัดว่าอย่างไร อย่างน้อยอีกครึ่งชั่วโมง บางครั้งก็ถึงชั่วโมง เมื่อรับรู้คำสั่งแล้ว คุณยายก็ทำควบคู่กับเขาไปด้วย หลังจากนั้น ท่านจึงออกจากห้องไป
เมื่อออกจากห้องไปแล้ว คุณยายก็ยังคงตรึกธรรมะ ไปเรื่อยๆ พร้อมกับการทำภารกิจส่วนตัว ภายนอกเคลื่อนไหว แต่ภายในหยุดนิ่งตลอดเวลา พอถึงเวลาเข้าเวร คนอื่นจะเข้า เมื่อถึงเวลา แต่สำหรับคุณยายแล้ว อย่างน้อยต้องเข้าไปก่อนสัก ๑๕ นาที เพื่อที่จะได้ฟังในตอนท้ายชั่วโมงของชุดนั้นว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านอบรมอย่างไรบ้าง มีข้อผิดพลาดและ ข้อแก้ไขอย่างไร เมื่อรับรู้เรียบร้อยแล้ว ผู้ที่ทำวิชชาอยู่ใน ชุดเดียวกันจึงจะเข้ามา
ด้วยเหตุนี้ความรู้ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านมี คุณยายจึงไม่ปล่อยให้ตกหล่น เริ่มต้นอย่างไร ลงท้ายอย่างไรส่งต่อกันอย่างไร คุณยายรู้หมดและทำได้หมด แม้ว่าท่านจะไม่รู้ หนังสือ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ในขณะที่คนอื่นๆ อ่านหนังสือ ออกกันทุกคน แต่ท่านได้นำคำตอบจากความรู้แจ้งเห็นแจ้ง อย่างแท้จริงภายในของท่าน ซึ่งเกิดจากการทำความเพียร มาตอบหลวงพ่อวัดปากน้ำ จนกระทั่งหลวงพ่อท่านพอใจแล้ว คัดเลือกให้เป็นหัวหน้าเวร
เมื่อคุณยายทำวิชชาได้ประมาณ ๒ ปีสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็เกิดขึ้น ในยามนั้นคุณยายท่านเป็นหัวหน้าเวรกะ ๒ หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านใช้ให้บรรดาลูกศิษย์ของท่านที่ทำวิชชา ได้คล่อง ช่วยประเทศชาติและช่วยมวลมนุษยชาติทั้งหลาย โดยไม่จำกัดว่าจะเป็นฝ่ายใด ให้เลิกรบราฆ่าฟันกัน และให้ประเทศไทยปลอดจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจากสงครามท่านได้ สั่งให้บรรดาศิษย์ที่บรรลุวิชชาธรรมกายช่วยกันแก้ไขสถานการณ์ ด้วยการใช้อานุภาพของพระธรรมกาย ดลบันดาลให้ ข้าศึกมองเห็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญเป็นป่าบ้าง เป็นทะเลบ้าง ใช้วิธีการพรางป่าให้เป็นเมือง พรางเมืองให้เป็นป่า เพื่อไม่ให้ ข้าศึกสนใจ จะได้ทิ้งระเบิดลงไม่ถูกเป้าหมายทำให้รอดพ้น จากภยันตรายมาได้
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีระเบิดลงในกรุงเทพมาก เพราะญี่ปุ่นยกกองทัพขึ้นบก จะเอาเมืองไทยเป็นฐานทัพ เพื่อที่จะมุ่งแผ่ขยายอำนาจเข้าไปในพม่าและอินเดียต่อไป
หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านถึงกับลั่นวาจาว่า จะยอมตายอยู่ที่วัดปากน้ำ ไม่ยอมหนีไปไหน จะใช้วิชชาธรรมกายที่เข้าถึงช่วย ประเทศชาติให้รอดพ้นจากภัยอันใหญ่หลวงครั้งนี้ให้ได้ คุณยาย เองก็เช่นกันท่านไม่ไปไหนเลย อยู่เวรทำหน้าที่อย่างไม่ขาด ตกบกพร่องชาวบ้านแถวนั้นทราบกิตติศัพท์ของหลวงพ่อวัด ปากน้ำ จึงมาขอพึ่งอาศัยบารมีหลบลูกระเบิดอยู่ที่วัดกับท่าน
ดังนั้นในระหว่างที่สงครามโลกกำลังดำเนินอยู่ หลวงพ่อวัดปากน้ำจะคอยตรวจสอบเวลาที่เครื่องบินมาทิ้งระเบิดท่านจะถามพวกทำวิชชาว่า เครื่องบินจะมาทิ้งระเบิดเวลาไหนถ้าคุณยายตอบทุกคนจะเตรียมปิดไฟกันแล้ว เพราะทุกคนรู้ ว่าญาณทัสสนะของคุณยายแม่นยำมาก หลังจากนั้นหลวงพ่อ วัดปากน้ำจะควบคุมการปัดระเบิดเองทั้งหมด
เมื่อคราวที่พันธมิตรจะเอาระเบิดปรมาณูมาลงที่กรุงเทพ เพื่อทำลายฐานทัพของญี่ปุ่น หลวงพ่อวัดปากน้ำท่าน ถามคุณยายว่า
"ถ้าระเบิดปรมาณูมาลงที่กรุงเทพ ผลจะเป็นยังไงวะ"
คุณยายก็นั่งเข้าที่ไปดูแล้วตอบว่า
"โอ้โห ถ้าลูกนี้มาลงเมืองไทยล่ะก็ กรุงเทพ จะราบ เป็นหน้ากลองทีเดียว ตึกรามบ้านช่องจะแหลกละเอียด ผู้คน ก็จะล้มตายกันมากมาย"
เมื่อเป็นเช่นนั้น หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านจึงสั่งให้ปัดลูกระเบิด๒ เมื่อได้รับคำสั่ง คุณยายหยุดในหยุดเรื่อยไป ไม่ว่าลูกระเบิดจะลงมามากเพียงใดท่านก็ประกอบวิชชาธรรมกาย แก้ไขสิ่งที่เขาทำมาเข้าไปเรื่อยๆ และทำได้สำเร็จด้วยอานุภาพ ของวิชชาธรรมกาย เมืองไทยจึงรอดพ้นจากระเบิดปรมาณู ครั้งนั้นมาได้
การอยู่เวรทำภาวนาตั้งแต่กลางคืนจนถึงเช้าเป็นแรมปี เช่นนี้ หากจิตใจและร่างกายไม่แข็งแรง ไม่แกร่งเป็นเหล็กเป็น เพชรจริงๆ แล้วจะอยู่ได้ยาก เพราะเป็นช่วงระยะเวลายาวนาน แต่สำหรับคุณยายแล้วสงครามไม่มีความหมายสำหรับท่านเลย ท่านบอกว่า ศึกษาค้นคว้าวิชชากันไปเรื่อยๆ ถามกันตอบกัน สนุกสนานมีความสุขมากท่านมุ่งศึกษาไปสู่วิชชาที่ละเอียดลึกซึ้งขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าในช่วงเวลานั้นความเป็นอยู่จะลำบาก มาก เสื้อผ้าที่สวมใส่นั้นเก่าและผุจนขาดไม่มีเปลี่ยน อาหาร ที่เคยมีอย่างพอเพียงก็ขาดแคลน และที่ร้ายยิ่งไปกว่านั้นคือ เกิดน้ำท่วมใหญ่ทั้งประเทศซ้ำเติมขึ้นมาอีก แต่คุณยายท่านก็ทำความเพียรเรื่อยไป และสามารถผ่านเหตุการณ์เลวร้ายนั้น มาได้อย่างดี
แม้ว่าคุณยายจะเป็นคนผอมแต่ท่านแข็งแรง ยามใด ที่ท่านทำวิชชา ใจของท่านจะหลุดจากกายหยาบไปเลย แล้วเข้าไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรม กับผู้รู้แจ้งภายใน เป็น ประดุจภาชนะรองรับผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายในอายตนนิพพาน ที่ถ่ายทอดอานุภาพทั้งหมดลงมาที่กายของท่านอย่างต่อเนื่องไม่ ขาดสายทำให้ท่านเป็นผู้มีฤทธิ์มีเดชมีอานุภาพมาก
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติลงแล้ว คุณยายก็ยังคงทำวิชชาต่อไปเรื่อยๆท่านศึกษาค้นคว้าเข้าไปจนรู้เรื่องราวของโลกและจักรวาล เรื่องของธาตุธรรมทั้งที่เป็นกุศล อกุศล และอัพยากฤต ว่ามีการรบรากันมาตั้งแต่ต้นอย่างไร และมี ความเกี่ยวพันมาถึงตัวเราอย่างไร ความรู้ภายในที่เกิดจาก ใจบริสุทธิ์หยุดนิ่งนั้น เป็นสิ่งที่หาใครเสมอเหมือนได้ยากยิ่ง ท่านจึงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างด้วยอานุภาพของวิชชาธรรมกาย
คุณยายมีความสุขอย่างยิ่งกับการทำวิชชาอยู่กับ หลวงพ่อวัดปากน้ำ เพราะวิชชาธรรมกายเป็นความรู้ที่คู่กับ ความสุขท่านไม่นึกถึงเรื่องอื่นใด นอกจากนึกว่าทำอย่างไร จึงจะไปถึงที่สุดแห่งธรรม และด้วยความมุ่งมั่นนี้ ภายหลัง ต่อมาเมื่อท่านยังแข็งแรงอยู่ ยามอารมณ์สบายๆท่านมักจะพูดกับลูกศิษย์ใกล้ชิดว่า
"ยายยังไม่ไปนิพพาน ยายจะไปปราบไอ้ดำ(มาร) ให้ถึงที่สุด"ท่านพูดอย่างนี้เสมอแล้วก็มุ่งศึกษาวิชชาธรรมกาย เรื่อยมา
การศึกษาวิชชาธรรมกาย คือการศึกษาด้วยการทำ ใจหยุดทำใจนิ่ง หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านอธิบายว่า ต้นเหตุ แห่งความทุกข์ทรมานของสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลายนั้น คือ "พญามาร" ซึ่งแลว่า "ผู้ขวาง" คือขวางการทำความดี ของทุกคน ไม่ให้ทำได้อย่างสะดวกสบาย
ในพระไตรปิฎกมีกล่าวถึงพญามารไว้หลายตอน แม้ ในศาสนาอื่นก็มีกล่าวถึงพญามาร แต่บางครั้งก็เรียกกันว่า ซาตาน ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่ายก็คือ มีการต่อสู้กันอยู่ระหว่าง ๒ สิ่งคือธรรมกับอธรรม บุญกับบาปความดีกับความชั่ว ความว่างกับความมืด ความรู้กับความไม่รู้ ความบริสุทธิ์ กับสิ่งที่เป็นมลทิน ต่อสู้กันอยู่ตลอดเวลา โดยมีอากาศโลก ขันธโลก และสัตวโลก เป็นสมรภูมิ
สัตวโลกได้แก่ เห็น จำ คิด รู้ หรือจิตใจของสรรพสัตว์ ทั้งหลาย ขันธโลกได้แก่ ขันธ์ต่างๆ ของมนุษย์และสัตว์ทั้งปวง รวมทั้งเทวดาทั้งหลาย อากาศโลกได้แก่สิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ อากาศภายในเชื่อมโยงกับบรรยากาศข้างนอกเรื่อยออกไปจน ครอบคลุมสรรพสิ่งทั้งหลาย
หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านอธิบายเพิ่มเติมว่า ถ้าไม่ได้ไป ดับต้นเหตุของผู้ที่ผลิตความทุกข์ทรมานขึ้นมาทุกข์ทั้งหลาย ไม่มีวันหมดไปจากสัตว์โลกโดยเด็ดขาด ความเบียดเบียนจะไม่มีวันหมดสิ้นไป
การรบกันในเมืองมนุษย์นั้น เป็นการรบที่ไม่ถูกต้อง เป็นการรบกันเอง ยังไม่ถูกตัวจริง ถ้าถูกตัวจริงต้องรบกับ ต้นเหตุของกิเลสซึ่งก็คือพญามารนั่นเอง พญามารจะบังคับให้มนุษย์คิดไม่ดี พูดไม่ดี และทำไม่ดี แล้วก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด รับผลของบาปกรรมอยู่ร่ำไป บังคับขันธ์ห้าของมนุษย์ให้มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ตรึงเอาไปติดในสิ่งไม่ดีบ้าง แล้วก็บังคับ อากาศโลก เช่นฝนไม่ให้ตกต้องตามฤดูกาล บังคับเศรษฐกิจ ให้ตกต่ำ ให้เกิดข้าวยากหมากแพง แห้งแล้ง ให้เกิดรบราฆ่า ฟันกัน เบียดเบียนซึ่งกันและกัน เมื่อปราบมารหมดสิ้นไปเมื่อใด ความโลภ ความโกรธ ความหลงที่บังคับสรรพสัตว์และสรรพสัตว์ทั้งปวงก็จะหมดสิ้นไป เหลือแต่ความดีงามที่บังเกิดขึ้น
แต่ถ้าไปยังไม่ถึงที่สุดแล้ว ก็ยังต้องเป็นบ่าวเป็นทาส ของพญามารอยู่ร่ำไป เพราะฉะนั้นต้องไปถึงที่สุดแห่งธรรม จึงจะชนะได้ ตลอดชีวิตของท่านจึงทำความเพียรอย่างนี้ทั้้งวัน ทั้งคืนไม่ถอนถอย