ตามหมู่คณะ
นับแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๗ เป็นต้นมา คุณยายกับหลวงพ่อธัมมชโยได้นั่งเข้าที่ช่วยกันตามหมู่คณะที่จะมาร่วมสร้างบารมีกับท่าน ซึ่งไม่ว่าจะไปเกิด ณ แห่งหนตำบลใด ให้มาร่วมปฏิบัติธรรมสร้างบารมีด้วยกันให้มากที่สุด เพื่อให้งานเผยแผ่วิชชาธรรมกายไปทั่วโลกบรรลุผลสำเร็จ ครั้นถึงปี พ.ศ.๒๕๐๙ หลวงพ่อจึงได้พาคุณเผด็จ ผ่องสวัสดิ์ มากราบคุณยาย
คุณเผด็จ หรือหลวงพ่อทัตตชีโว (ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกท่านสั้นๆ ว่า หลวงพ่อทัตตะปัจจุบันดำรงสมณศักดิ์ที่พระภาวนาวิริยคุณ รองเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย) หลวงพ่อธัมมชโยได้บรรยายบุคลิกลักษณะของหลวงพ่อทัตตะ สมัยนั้นเอาไว้ว่า
"ชอบใส่เสื้อลายสก๊อต กางเกงยีนส์ บุคลิกชาเย็นเสียงดังมีอำนาจชนิดที่วัววิ่งอยู่ได้ยินเสียงแล้วก็ต้องหยุดทันที หุ่นสง่างามอย่างแซมซั่น หลวงพ่อตั้งฉายาให้ว่า thorough Bred never gets fat แปลว่าม้าศึกย่อมคึกคัก (เพราะไม่อ้วน)"
หลวงพ่อทัตตะ เป็นนิสิตรุ่นพี่ของหลวงพ่อธัมมชโย ขณะนั้นเพิ่งกลับจากการไปศึกษาต่อที่ประเทศออสเตรเลียทั้ง สองท่านได้พบกันครั้งแรกเมื่อวันลอยกระทงของมหาวิยาลัยเกษตรศาสตร์ ตรงกับวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๐๙ งานนี้ ๔ ปีจึงจะจัดให้มีสักครั้งหนึ่ง เมื่อพบกันแล้ว หลวงพ่อทัตตะ รู้สึกถูกชะตากับหลวงพ่อธัมมชโยเป็นอย่างมาก
หลวงพ่อทัตตะเป็นรุ่นพี่ท่านจึงเรียกหลวงพ่อธัมมชโยว่า "ไอ้น้อง" วันนั้นท่านชวน "ไอ้น้อง" ไปดื่มเหล้า แต่หลวงพ่อธัมมชโยปฏิเสธด้วยคำพูดสั้นๆ ว่า
"ผมไม่ดื่มเหล้า ผมถือศีล"
คำว่า "ถือศีล"ส่งผลกระทบต่อจิตใจของหลวงพ่อทัตตะอย่างรุนแรง และเป็นสาเหตุแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่าง ใหญ่หลวงต่อวิถีชีวิตของท่านในเวลาต่อมา
หลวงพ่อทัตตะเคยศึกษาวิชาไสยศาสตร์มามาก เช่น วิชาหนังเหนียว รูดโซ่ ลุยไฟ เล่นแร่แปรธาตุ เป็นต้น ถึงกระนั้นก็ยังมีความสนใจเรื่องนรก สวรรค์ท่านจึงอยากจะไปพบคุณยาย ซึ่งในกรณีหลังนี้ นอกจากหลวงพ่อธัมมชโยยังไม่ ยอมพาไปทันทีแล้ว ท่านยังต้องแนะนำการปฏิบัติตัวให้หลวงพ่อทัตตะอยู่เป็นเวลานานถึง ๓ เดือน เพื่อให้วางตัวได้อย่างถูกต้องเวลาอยู่ต่อหน้าคุณยาย
สมัยนั้นหลวงพ่อเรียกหลวงพ่อทัตตะว่า "พี่เด็จ" ในการแนะนำท่านต้องคอยกำกับเรื่องกิริยาวาจา เช่น
"พี่เด็จ คำพูดอย่างนี้คุณยายไม่ชอบ"
"นั่งอย่างนี้คุณยายไม่ชอบ" หรือ
"ลูกนัยน์ตาอย่างนี้ท่านไม่ชอบ"
"บุคลิกชาเย็น ชนิดที่ใครเรียกแล้วหันขวับมาทำตา เขียวพร้อมจะเอาเรื่องอย่างนี้ มีหวังโดนไล่ตั้งแต่วันแรก" หรือ ไม่ก็บอกว่าแบบไหนคุณยายชอบ
แม้หลวงพ่อคิดว่าได้แนะนำหลวงพ่อทัตตะจนเป็นที่พอใจแล้ว แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อนก็เกิดขึ้นจนได้ เพราะในวันแรกหลังจากที่กราบคุณยายแล้ว หลวงพ่อทัตตะก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า "ยาย ผมอยากจะลองเอาปรอทใส่มือยาย" หลวงพ่อท่านได้ยินดังนั้นก็สะกิดและแนะนำว่า "อย่างนี้ไม่ควร" ต้องอธิบายกันอยู่นาน ในที่สุดคุณยายจึงบอกให้ไปลองกับหลวงพ่อธัมมชโยก่อน
ไม่เพียงแต่ลืมสิ่งที่หลวงพ่อธัมมชโยแนะนำไว้ก่อนที่ จะมาพบคุณยายเท่านั้นท่านยังถามคุณยายต่อไปอีกอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
"ยาย คุณไชยบูลย์เขาว่า ยายพาไปดูนรก สวรรค์ได้จริงไหม" คุณยายตอบอย่างมั่นใจว่า "จริง ยายเคยไปช่วยพ่อขึ้นจากนรกมาแล้ว"
ถึงตอนนี้หลวงพ่อทัตตะมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นเพราะ ได้พบคนจริงที่พยายามค้นหามาเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตามท่านก็ยังไม่ยอมยุติคำถาม "แล้วอย่างผมจะไปดูได้ไหม"
คราวนี้คุณยายตอบอย่างยืดยาวพร้อมทั้งให้กำลังใจว่า "คุณน่ะมีบุญมากอยู่แล้วถึงได้มาถึงที่นี่ อย่างนี้ฝึกไม่นานหรอก"
เวลานั้นหัวใจของหลวงพ่อทัตตะเปี่ยมไปด้วยความปีติ เพราะคำพูดของคุณยายบ่งบอกโดยปริยายว่ารับท่านเป็นศิษย์แล้ว วันนั้นทั้งวันหลวงพ่อทัตตะจึงนั่งสมาธิรวดเดียว ๓ ชั่วโมงเป็นวันแรก เพื่อแสดงให้คุณยายเห็นว่าท่านก็เอาจริงเหมือนกัน อย่างไรก็ดี ในระหว่างเวลานี้ กิริยาวาจาตลอดจนบุคลิกภาพ ของท่านก็ยังเป็นที่ขวางหูขวางตาลูกศิษย์รุ่นพี่หลายคน พี่บางคนถึงกับบอกคุณยายว่า
"อีตาคนนี้รุ่มๆ ร่ามๆ สกปรก พูดก็เสียงดังเอะอะ ยายอย่าไปรับเป็นลูกศิษย์เลย ไล่ไปเถอะ"
แต่คุณยายก็ยังคงรับหลวงพ่อทัตตะไว้เป็นศิษย์คนหนึ่ง ซึ่งภายหลังต่อมา เมื่อรู้ความจริงเรื่องนี้ท่านถึงกับรำพึงด้วย ความซาบซึ้งในความเมตตาของคุณยายที่มีต่อท่านเสมอมาว่า
"โถ... คุณยายคงต้องใช้ความอดทนกับเรามากเหลือเกิน"