ภาษาของคุณยาย
วันหนึ่ง..ข้าพเจ้าได้มีโอกาสติดตามคุณยายไปชมวัดในเวลาเย็น ข้าพเจ้านั่งอยู่ด้า หลังของรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ลักษณะคล้ายรถที่ใช้ในสนามกอล์ฟ เปิ้ลเป็นคนขับรถ ข้าพเจ้ามีหน้าที่เป็นคนวิ่งไปเปิดแผงเหล็ก ที่หน้าอาคารประชาสัมพันธ์ แผงเหล็กนี้มีเอาไว้กั้นรถยนต์ไม่ให้วิ่งเข้าไปในเขตสังฆาวาสเพราะจะทำเสียงดังรบกวนพระที่กำลังปฏิบัติธรรมอยู่
พอรถไฟฟ้าของคุณยายแล่นผ่านหน้าอาคารประชาสัมพันธ์ กำลังจะเลี้ยวซ้ายไปทางโบสถ์ ข้าพเจ้าก็เห็นฝ่าซื่อ (นักบวชหญิงชาวจีน)สองคนเดินชมโบสถ์ และกำลังจะเดินผ่านมาทางนี้
ตอนนั้นข้าพเจ้าคิดว่า ฝ่าซื่อสองคนนี้จะรู้จักคุณยายของข้าพเจ้าหรือเปล่าหนอ พอกระแสของความคิดจบลง พลันเสียงคุณยายก็ดังขึ้น
"สวัสดีคุณ เชิญตามสบายนะไม่ต้องเกรงใจนะ"
ฝ่าซื่อสองคนนั้นทำหน้างงๆ ดูเหมือนว่ากำลังพยายามทำความเข้าใจกับภาษาที่คุณยายพูดออกไป
พอรถแล่นเข้าไปใกล้อีก มือของคุณยายก็ยังคงพนมอยู่อย่างนั้น แล้วก็พูดต่อว่า
"คุณทานข้าวแล้วยังทานข้าวยายนะ ไม่ต้องเกรงใจนะ"
คำพูดประโยคนี้คุณยายจะพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ข้าพเจ้าคิดอยู่ในใจว่าเขาไม่รู้เรื่องหรอกยายพอความคิดสิ้นสุดลง ภาพที่เห็นในขณะนั้นมันเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดของข้าพเจ้าไปทันทีช่าง เป็นภาพที่กลมกลืนกันจริงๆ เลย ฝ่าซื่อทั้งสองน้อมศีรษะของตนเองลงต่ำ แล้วยกมือขึ้นพนมเหมือนอย่างที่คุณยายทำทำอยู่นานทีเดียว
สักครู่ฝ่าซื่อท่านหนึ่งก็เอื้อมมือมาที่มือของคุณยาย แล้วก็ดึงเอามือของคุณยายไป วางบนศีรษะของเขา ฝ่าซื่ออีกคนหนึ่งก็ทำตาม
ตอนนั้นข้าพเจ้าแอบมองไปที่ใบหน้าของคุณยาย เห็นรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความเมตตายิ่งนัก เป็นภาพที่ข้าพเจ้าไม่มีวันลืมเลือนเลย
หลังจากฝ่าซื่อทั้งสองเดินจากไป คุณยายก็หันกลับมาพูดกับข้าพเจ้าว่า
"ไอ้หลานน้อย จำไว้นะ คนเขามาไกล ต่างบ้านต่างเมืองมา เราต้องหาข้าวหาน้ำให้เขากินนะ อย่าปล่อยให้เขาอดๆ อยากๆ นะ เขาไม่รู้จักใครสงสารเขา จำไว้นะ"
ต่างชาติ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม มาวัดครั้งแรก ไม่รู้จักคุณยาย ไม่รู้ว่าคุณยายเป็นใคร แต่คุณยายก็ได้ใช้ภาษาที่ติดตัวคุณยายมาตลอดชีวิต ถ่ายทอดมาเป็นกระแสใสๆ ให้ฝ่าซื่อทั้งสองได้รับรู้
ภาษาที่อยู่ในใจของคุณยาย คือภาษาแห่งความเมตตานี่เอง