ปฏิจจสมุปปาทธัมมะ
(อิทัปปัจจยตา)
(หันทะ มะยัง ปะฏิจจะสะมุปปาทะธัมเมสุ อิทัปปัจจะยะตาทิธัมมะปาฐัง ภะณามะ เส)
กะตะโม จะ ภิกขะเว ปะฏิจจะสะมุปปาโท
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ก็ปฏิจจสมุปบาท, เป็นอย่างไรเล่า
(๑) ชาติปัจจะยา ภิกขะเว ชะรามะระณัง
(๑) ชาติปัจจะยา ภิกขะเว ชะรามะระณัง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะย่อมมี
อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง, อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย, จะบังเกิดขึ้นก็ตาม, จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม
ฐิตา วะ สา ธาตุ
ธรรมธาตุนั้น, ย่อมตั้งอยู่แล้ว, นั่นเทียว
ธัมมัฏฐิตะตา
คือความตั้งอยู่แห่งธรรมดา
ธัมมะนิยามะตา
คือความเป็นกฏตายตัวแห่งธรรมดา
อิทัปปัจจะยะตา
คือความที่เมื่อมีสิ้งนี้ๆ เป็นปัจจัย, สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ
ตถาคตย่อมรู้พร้อมเฉพาะ, ย่อมถึงพร้อมเฉพาะซึ่งธรรมธาตุนั้น
อะภิสัมพุชฌิตวา อะภิสะเมตวา
ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว, ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว
อาจิกขะติ เทเสติ
ย่อมบอก, ย่อมแสดง
ปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ
ย่อมบัญญัติ, ย่อมตั้งขึ้นไว้
วิวะระติ วิภะชะติ
ย่อมเปิดเผย, ย่อมจำแนกแจกแจง
อุตตานีกะโรติ
ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ
ปัสสะถาติ จาหะ, ชาติปัจจะยา ภิกขะเว ชะรามะระณัง
และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ท่านทั้งหลายจงมาดู, เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะย่อมมี
อิติโข ภิกขะเว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุดังนี้ แล
ยาตัตระ ตะถะตา
ธรรมธาตุใด, ในกรณีนั้น, อันเป็นตถตา, คือความเป็นอย่างนั้น
อะวิตะถะตา
เป็นอวิตถตา, คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น
อะนัญญะถะตา
เป็นอนัญญถตา, คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น
อิทัปปัจจะยะตา
เป็นอิทัปปัจจยตา, คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย, สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ปะฏิจจะสะมุปปาโท
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ธรรมนี้, เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท, (คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น)
(๒) ภะวะปัจจะยา ภิกขะเว ชาติ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะภพเป็นปัจจัย, ชาติย่อมมี
อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง, อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย, จะบังเกิดขึ้นก็ตาม, จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม
ฐิตา วะ สา ธาตุ
ธรรมธาตุนั้น, ย่อมตั้งอยู่แล้ว, นั่นเทียว
ธัมมัฏฐิตะตา
คือความตั้งอยู่แห่งธรรมดา
ธัมมะนิยามะตา
คือความเป็นกฏตายตัวแห่งธรรมดา
อิทัปปัจจะยะตา
คือความที่เมื่อมีสิ้งนี้ๆ เป็นปัจจัย, สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ
ตถาคตย่อมรู้พร้อมเฉพาะ, ย่อมถึงพร้อมเฉพาะซึ่งธรรมธาตุนั้น
อะภิสัมพุชฌิตวา อะภิสะเมตวา
ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว, ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว
อาจิกขะติ เทเสติ
ย่อมบอก, ย่อมแสดง
ปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ
ย่อมบัญญัติ, ย่อมตั้งขึ้นไว้
วิวะระติ วิภะชะติ
ย่อมเปิดเผย, ย่อมจำแนกแจกแจง
อุตตานีกะโรติ
ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ
ปัสสะถาติ จาหะ, ภะวะปัจจะยา ภิกขะเว ชาติ
และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ท่านทั้งหลายจงมาดู, เพราะภพเป็นปัจจัย, ชาติย่อมมี
อิติโข ภิกขะเว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุดังนี้ แล
ยาตัตระ ตะถะตา
ธรรมธาตุใด, ในกรณีนั้น, อันเป็นตถตา, คือความเป็นอย่างนั้น
อะวิตะถะตา
เป็นอวิตถตา, คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น
อะนัญญะถะตา
เป็นอนัญญถตา, คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น
อิทัปปัจจะยะตา
เป็นอิทัปปัจจยตา, คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย, สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ปะฏิจจะสะมุปปาโท
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ธรรมนี้, เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท, (คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ, อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น)
(๓) อุปาทานะปัจจะยา ภิกขะเว ภะโว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย, ภพย่อมมี
อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง, อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย, จะบังเกิดขึ้นก็ตาม, จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม
ฐิตา วะ สา ธาตุ
ธรรมธาตุนั้น, ย่อมตั้งอยู่แล้ว, นั่นเทียว
ธัมมัฏฐิตะตา
คือความตั้งอยู่แห่งธรรมดา
ธัมมะนิยามะตา
คือความเป็นกฏตายตัวแห่งธรรมดา
อิทัปปัจจะยะตา
คือความที่เมื่อมีสิ้งนี้ๆ เป็นปัจจัย, สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ
ตถาคตย่อมรู้พร้อมเฉพาะ, ย่อมถึงพร้อมเฉพาะซึ่งธรรมธาตุนั้น
อะภิสัมพุชฌิตวา อะภิสะเมตวา
ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว, ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว
อาจิกขะติ เทเสติ
ย่อมบอก, ย่อมแสดง
ปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ
ย่อมบัญญัติ, ย่อมตั้งขึ้นไว้
วิวะระติ วิภะชะติ
ย่อมเปิดเผย, ย่อมจำแนกแจกแจง
อุตตานีกะโรติ
ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ
ปัสสะถาติ จาหะ, อุปาทานะปัจจะยา ภิกขะเว ภะโว
และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ท่านทั้งหลายจงมาดู, เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย, ภพย่อมมี
อิติโข ภิกขะเว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุดังนี้ แล
ยาตัตระ ตะถะตา
ธรรมธาตุใด, ในกรณีนั้น, อันเป็นตถตา, คือความเป็นอย่างนั้น
อะวิตะถะตา
เป็นอวิตถตา, คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น
อะนัญญะถะตา
เป็นอนัญญถตา, คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น
อิทัปปัจจะยะตา
เป็นอิทัปปัจจยตา, คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย, สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ปะฏิจจะสะมุปปาโท
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ธรรมนี้, เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท, (คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ, อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น)
(๔) ตัณหาปัจจะยา ภิกขะเว อุปาทานัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะตัณหาเป็นปัจจัย, อุปาทานย่อมมี
อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง, อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย, จะบังเกิดขึ้นก็ตาม, จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม
ฐิตา วะ สา ธาตุ
ธรรมธาตุนั้น, ย่อมตั้งอยู่แล้ว, นั่นเทียว
ธัมมัฏฐิตะตา
คือความตั้งอยู่แห่งธรรมดา
ธัมมะนิยามะตา
คือความเป็นกฏตายตัวแห่งธรรมดา
อิทัปปัจจะยะตา
คือความที่เมื่อมีสิ้งนี้ๆ เป็นปัจจัย, สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ
ตถาคตย่อมรู้พร้อมเฉพาะ, ย่อมถึงพร้อมเฉพาะซึ่งธรรมธาตุนั้น
อะภิสัมพุชฌิตวา อะภิสะเมตวา
ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว, ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว
อาจิกขะติ เทเสติ
ย่อมบอก, ย่อมแสดง
ปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ
ย่อมบัญญัติ, ย่อมตั้งขึ้นไว้
วิวะระติ วิภะชะติ
ย่อมเปิดเผย, ย่อมจำแนกแจกแจง
อุตตานีกะโรติ
ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ
ปัสสะถาติ จาหะ, ตัณหาปัจจะยา ภิกขะเว อุปาทานัง
และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ท่านทั้งหลายจงมาดู, เพราะตัณหาเป็นปัจจัย, อุปาทานย่อมมี
อิติโข ภิกขะเว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุดังนี้ แล
ยาตัตระ ตะถะตา
ธรรมธาตุใด, ในกรณีนั้น, อันเป็นตถตา, คือความเป็นอย่างนั้น
อะวิตะถะตา
เป็นอวิตถตา, คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น
อะนัญญะถะตา
เป็นอนัญญถตา, คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น
อิทัปปัจจะยะตา
เป็นอิทัปปัจจยตา, คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย, สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ปะฏิจจะสะมุปปาโท
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ธรรมนี้, เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท, (คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ, อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น)
(๕) เวทะนาปัจจะยา ภิกขะเว ตัณหา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเวทนาเป็นปัจจัย, ตัณหาย่อมมี
อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง, อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย, จะบังเกิดขึ้นก็ตาม, จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม
ฐิตา วะ สา ธาตุ
ธรรมธาตุนั้น, ย่อมตั้งอยู่แล้ว, นั่นเทียว
ธัมมัฏฐิตะตา
คือความตั้งอยู่แห่งธรรมดา
ธัมมะนิยามะตา
คือความเป็นกฏตายตัวแห่งธรรมดา
อิทัปปัจจะยะตา
คือความที่เมื่อมีสิ้งนี้ๆ เป็นปัจจัย, สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ
ตถาคตย่อมรู้พร้อมเฉพาะ, ย่อมถึงพร้อมเฉพาะซึ่งธรรมธาตุนั้น
อะภิสัมพุชฌิตวา อะภิสะเมตวา
ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว, ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว
อาจิกขะติ เทเสติ
ย่อมบอก, ย่อมแสดง
ปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ
ย่อมบัญญัติ, ย่อมตั้งขึ้นไว้
วิวะระติ วิภะชะติ
ย่อมเปิดเผย, ย่อมจำแนกแจกแจง
อุตตานีกะโรติ
ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ
ปัสสะถาติ จาหะ, เวทะนาปัจจะยา ภิกขะเว ตัณหา
และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ท่านทั้งหลายจงมาดู, เพราะเวทนาเป็นปัจจัย, ตัณหาย่อมมี
อิติโข ภิกขะเว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุดังนี้ แล
ยาตัตระ ตะถะตา
ธรรมธาตุใด, ในกรณีนั้น, อันเป็นตถตา, คือความเป็นอย่างนั้น
อะวิตะถะตา
เป็นอวิตถตา, คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น
อะนัญญะถะตา
เป็นอนัญญถตา, คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น
อิทัปปัจจะยะตา
เป็นอิทัปปัจจยตา, คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย, สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ปะฏิจจะสะมุปปาโท
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ธรรมนี้, เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท, (คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ, อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น)
(๖) ผัสสะปัจจะยา ภิกขะเว เวทะนา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะผัสสะเป็นปัจจัย, เวทนาย่อมมี
อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง, อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย, จะบังเกิดขึ้นก็ตาม, จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม
ฐิตา วะ สา ธาตุ
ธรรมธาตุนั้น, ย่อมตั้งอยู่แล้ว, นั่นเทียว
ธัมมัฏฐิตะตา
คือความตั้งอยู่แห่งธรรมดา
ธัมมะนิยามะตา
คือความเป็นกฏตายตัวแห่งธรรมดา
อิทัปปัจจะยะตา
คือความที่เมื่อมีสิ้งนี้ๆ เป็นปัจจัย, สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ
ตถาคตย่อมรู้พร้อมเฉพาะ, ย่อมถึงพร้อมเฉพาะซึ่งธรรมธาตุนั้น
อะภิสัมพุชฌิตวา อะภิสะเมตวา
ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว, ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว
อาจิกขะติ เทเสติ
ย่อมบอก, ย่อมแสดง
ปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ
ย่อมบัญญัติ, ย่อมตั้งขึ้นไว้
วิวะระติ วิภะชะติ
ย่อมเปิดเผย, ย่อมจำแนกแจกแจง
อุตตานีกะโรติ
ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ
ปัสสะถาติ จาหะ, ผัสสะปัจจะยา ภิกขะเว เวทะนา
และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ท่านทั้งหลายจงมาดู, เพราะผัสสะเป็นปัจจัย, เวทนาย่อมมี
อิติโข ภิกขะเว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุดังนี้ แล
ยาตัตระ ตะถะตา
ธรรมธาตุใด, ในกรณีนั้น, อันเป็นตถตา, คือความเป็นอย่างนั้น
อะวิตะถะตา
เป็นอวิตถตา, คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น
อะนัญญะถะตา
เป็นอนัญญถตา, คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น
อิทัปปัจจะยะตา
เป็นอิทัปปัจจยตา, คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย, สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ปะฏิจจะสะมุปปาโท
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ธรรมนี้, เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท, (คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ, อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น)
(๗) สะฬายะตะนะปัจจะยา ภิกขะเว ผัสโส
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย, ผัสสะย่อมมี
อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง, อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย, จะบังเกิดขึ้นก็ตาม, จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม
ฐิตา วะ สา ธาตุ
ธรรมธาตุนั้น, ย่อมตั้งอยู่แล้ว, นั่นเทียว
ธัมมัฏฐิตะตา
คือความตั้งอยู่แห่งธรรมดา
ธัมมะนิยามะตา
คือความเป็นกฏตายตัวแห่งธรรมดา
อิทัปปัจจะยะตา
คือความที่เมื่อมีสิ้งนี้ๆ เป็นปัจจัย, สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ
ตถาคตย่อมรู้พร้อมเฉพาะ, ย่อมถึงพร้อมเฉพาะซึ่งธรรมธาตุนั้น
อะภิสัมพุชฌิตวา อะภิสะเมตวา
ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว, ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว
อาจิกขะติ เทเสติ
ย่อมบอก, ย่อมแสดง
ปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ
ย่อมบัญญัติ, ย่อมตั้งขึ้นไว้
วิวะระติ วิภะชะติ
ย่อมเปิดเผย, ย่อมจำแนกแจกแจง
อุตตานีกะโรติ
ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ
ปัสสะถาติ จาหะ, สฬายะตะนะปัจจะยา ภิกขะเว ผัสโส
และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ท่านทั้งหลายจงมาดู, เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย, ผัสสะย่อมมี
อิติโข ภิกขะเว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุดังนี้ แล
ยาตัตระ ตะถะตา
ธรรมธาตุใด, ในกรณีนั้น, อันเป็นตถตา, คือความเป็นอย่างนั้น
อะวิตะถะตา
เป็นอวิตถตา, คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น
อะนัญญะถะตา
เป็นอนัญญถตา, คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น
อิทัปปัจจะยะตา
เป็นอิทัปปัจจยตา, คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย, สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ปะฏิจจะสะมุปปาโท
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ธรรมนี้, เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท, (คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ, อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น)
(๘) นามะรูปะปัจจะยา ภิกขะเว สะฬายะตะนัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะนามรูปเป็นปัจจัย, สฬายตนะย่อมมี
อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง, อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย, จะบังเกิดขึ้นก็ตาม, จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม
ฐิตา วะ สา ธาตุ
ธรรมธาตุนั้น, ย่อมตั้งอยู่แล้ว, นั่นเทียว
ธัมมัฏฐิตะตา
คือความตั้งอยู่แห่งธรรมดา
ธัมมะนิยามะตา
คือความเป็นกฏตายตัวแห่งธรรมดา
อิทัปปัจจะยะตา
คือความที่เมื่อมีสิ้งนี้ๆ เป็นปัจจัย, สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ
ตถาคตย่อมรู้พร้อมเฉพาะ, ย่อมถึงพร้อมเฉพาะซึ่งธรรมธาตุนั้น
อะภิสัมพุชฌิตวา อะภิสะเมตวา
ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว, ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว
อาจิกขะติ เทเสติ
ย่อมบอก, ย่อมแสดง
ปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ
ย่อมบัญญัติ, ย่อมตั้งขึ้นไว้
วิวะระติ วิภะชะติ
ย่อมเปิดเผย, ย่อมจำแนกแจกแจง
อุตตานีกะโรติ
ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ
ปัสสะถาติ จาหะ, นามะรูปะปัจจะยา ภิกขะเว สะฬายะตะนัง
และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ท่านทั้งหลายจงมาดู, เพราะนามรูปเป็นปัจจัย, สฬายตนะย่อมมี
อิติโข ภิกขะเว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุดังนี้ แล
ยาตัตระ ตะถะตา
ธรรมธาตุใด, ในกรณีนั้น, อันเป็นตถตา, คือความเป็นอย่างนั้น
อะวิตะถะตา
เป็นอวิตถตา, คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น
อะนัญญะถะตา
เป็นอนัญญถตา, คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น
อิทัปปัจจะยะตา
เป็นอิทัปปัจจยตา, คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย, สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ปะฏิจจะสะมุปปาโท
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ธรรมนี้, เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท, (คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ, อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น)
(๙) วิญญาณะปัจจะยา ภิกขะเว นามะรูปัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย, นามรูปย่อมมี
อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง, อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย, จะบังเกิดขึ้นก็ตาม, จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม
ฐิตา วะ สา ธาตุ
ธรรมธาตุนั้น, ย่อมตั้งอยู่แล้ว, นั่นเทียว
ธัมมัฏฐิตะตา
คือความตั้งอยู่แห่งธรรมดา
ธัมมะนิยามะตา
คือความเป็นกฏตายตัวแห่งธรรมดา
อิทัปปัจจะยะตา
คือความที่เมื่อมีสิ้งนี้ๆ เป็นปัจจัย, สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ
ตถาคตย่อมรู้พร้อมเฉพาะ, ย่อมถึงพร้อมเฉพาะซึ่งธรรมธาตุนั้น
อะภิสัมพุชฌิตวา อะภิสะเมตวา
ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว, ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว
อาจิกขะติ เทเสติ
ย่อมบอก, ย่อมแสดง
ปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ
ย่อมบัญญัติ, ย่อมตั้งขึ้นไว้
วิวะระติ วิภะชะติ
ย่อมเปิดเผย, ย่อมจำแนกแจกแจง
อุตตานีกะโรติ
ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ
ปัสสะถาติ จาหะ, วิญญาณะปัจจะยา ภิกขะเว นามะรูปัง
และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ท่านทั้งหลายจงมาดู, เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย, นามรูปย่อมมี
อิติโข ภิกขะเว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุดังนี้ แล
ยาตัตระ ตะถะตา
ธรรมธาตุใด, ในกรณีนั้น, อันเป็นตถตา, คือความเป็นอย่างนั้น
อะวิตะถะตา
เป็นอวิตถตา, คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น
อะนัญญะถะตา
เป็นอนัญญถตา, คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น
อิทัปปัจจะยะตา
เป็นอิทัปปัจจยตา, คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย, สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ปะฏิจจะสะมุปปาโท
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ธรรมนี้, เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท, (คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ, อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น)
(๑๐) สังขาระปัจจะยา ภิกขะเว วิญญาณัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะสังขารเป็นปัจจัย, วิญญาณย่อมมี
อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง, อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย, จะบังเกิดขึ้นก็ตาม, จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม
ฐิตา วะ สา ธาตุ
ธรรมธาตุนั้น, ย่อมตั้งอยู่แล้ว, นั่นเทียว
ธัมมัฏฐิตะตา
คือความตั้งอยู่แห่งธรรมดา
ธัมมะนิยามะตา
คือความเป็นกฏตายตัวแห่งธรรมดา
อิทัปปัจจะยะตา
คือความที่เมื่อมีสิ้งนี้ๆ เป็นปัจจัย, สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ
ตถาคตย่อมรู้พร้อมเฉพาะ, ย่อมถึงพร้อมเฉพาะซึ่งธรรมธาตุนั้น
อะภิสัมพุชฌิตวา อะภิสะเมตวา
ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว, ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว
อาจิกขะติ เทเสติ
ย่อมบอก, ย่อมแสดง
ปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ
ย่อมบัญญัติ, ย่อมตั้งขึ้นไว้
วิวะระติ วิภะชะติ
ย่อมเปิดเผย, ย่อมจำแนกแจกแจง
อุตตานีกะโรติ
ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ
ปัสสะถาติ จาหะ, สังขาระปัจจะยา ภิกขะเว วิญญาณัง
และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ท่านทั้งหลายจงมาดู, เพราะสังขารเป็นปัจจัย, วิญญาณย่อมมี
อิติโข ภิกขะเว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุดังนี้ แล
ยาตัตระ ตะถะตา
ธรรมธาตุใด, ในกรณีนั้น, อันเป็นตถตา, คือความเป็นอย่างนั้น
อะวิตะถะตา
เป็นอวิตถตา, คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น
อะนัญญะถะตา
เป็นอนัญญถตา, คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น
อิทัปปัจจะยะตา
เป็นอิทัปปัจจยตา, คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย, สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ปะฏิจจะสะมุปปาโท
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ธรรมนี้, เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท, (คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ, อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น)
(๑๑) อวิชชาปัจจะยา ภิกขะเว สังขารา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย, สังขารทั้งหลายย่อมมี
อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง, อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย, จะบังเกิดขึ้นก็ตาม, จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม
ฐิตา วะ สา ธาตุ
ธรรมธาตุนั้น, ย่อมตั้งอยู่แล้ว, นั่นเทียว
ธัมมัฏฐิตะตา
คือความตั้งอยู่แห่งธรรมดา
ธัมมะนิยามะตา
คือความเป็นกฏตายตัวแห่งธรรมดา
อิทัปปัจจะยะตา
คือความที่เมื่อมีสิ้งนี้ๆ เป็นปัจจัย, สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ
ตถาคตย่อมรู้พร้อมเฉพาะ, ย่อมถึงพร้อมเฉพาะ, ซึ่งธรรมธาตุนั้น
อะภิสัมพุชฌิตวา อะภิสะเมตวา
ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว, ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว
อาจิกขะติ เทเสติ
ย่อมบอก, ย่อมแสดง
ปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ
ย่อมบัญญัติ, ย่อมตั้งขึ้นไว้
วิวะระติ วิภะชะติ
ย่อมเปิดเผย, ย่อมจำแนกแจกแจง
อุตตานีกะโรติ
ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ
ปัสสะถาติ จาหะ, อะวิชชาปัจจะยา ภิกขะเว สังขารา
และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ท่านทั้งหลายจงมาดู, เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย, สังขารทั้งหลายย่อมมี
อิติโข ภิกขะเว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เพราะเหตุดังนี้ แล
ยาตัตระ ตะถะตา
ธรรมธาตุใด ในกรณีนั้น, อันเป็นตถตา, คือความเป็นอย่างนั้น
อะวิตะถะตา
เป็นอวิตถตา, คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น
อะนัญญะถะตา
เป็นอนัญญถตา, คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น
อิทัปปัจจะยะตา
เป็นอิทัปปัจจยตา, คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย, สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ปะฏิจจะสะมุปปาโท
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ธรรมนี้, เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท, (คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ, อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น)
อิติ
ดังนี้แล
* อ้างอิงจากหนังสือคู่มือทำวัตร-สวดมนต์แปล พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี
* ขออนุโมทนาบุญกับเสียงสวดมนต์จาก YOUTUBE ช่อง Buddhadharm