ปัดลูกระเบิด
ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 พระเดชพระคุณหลวงปู่ได้เพียรพยายามให้หมู่คณะในโรงงานทําวิชชาช่วยกันแก้ไขไม่ให้มนุษย์รบราฆ่าฟันและเบียดเบียนกันเอง แล้วช่วยทําให้ประเทศชาติพ้นภัย ด้วยวิชชาธรรมกาย มีอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งจะเรียกว่าตําหนิก็ไม่เชิง หลวงปู่ได้ถามคณะศิษย์ผู้ทําวิชชาหลายๆ คนในโรงงานเกี่ยวกับผลของสงครามโลกว่าเป็นอย่างไร ซึ่งทุกคนก็ตอบตามญาณทัสนะของตนถามเรียงบุคคลจนกระทั่งมาถึงคนสุดท้ายคือคุณยาย ท่านถามว่า “ลูกจันทร์ เยอรมันแพ้หรือชนะวะ” คุณยายก็นิ่งไปสักพักหนึ่งแล้วตอบว่า “เยอรมันแพ้เจ้าค่ะ” ท่านถามอย่างนี้ทุกคืนเป็นปีคุณยายก็ยืนยัน ว่าแพ้หลวงปู่เลยสั่งว่าให้ช่วยกันทําวิชชาเพื่อแก้ไข เพราะประเทศไทยในขณะนั้นต้องจํายอมอยู่ฝ่ายเดียวกับญี่ปุ่นและเยอรมัน ทุกคนก็ทําวิชชากันตามที่ท่านสั่ง
ช่วงระหว่างสงครามโลกผู้ทําวิชชาต้องตรวจดูตลอดว่าแม่ทัพของแต่ละฝ่ายคิดอย่างไร ประเทศนั้นคิดอย่างไร ประเทศนี้คิดอย่างไร เขาจะเตรียมการมาอย่างไร จะมาทิ้งระเบิดเวลาไหน ถ้าตอบผิดก็ตาย เช่น ตอบว่า 6 โมงเช้าจะมาทิ้งระเบิด แต่ความเป็นจริงคือเขามาทิ้งตอนตี4 ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ตอบคําถาม นอนหลับเพื่อมาคอยเข้าเวรทําวิชชาตอน 6 โมงเช้าถ้าตอบผิดอย่างนี้ก็ต้องตายสถานเดียว ดังนั้นจึงตอบผิดไม่ได้คุณยายก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ตอบคําถามเหล่านี้เพราะท่านเป็นหัวหน้าเวรขาดรู้ซึ่งจะต้องรับผิดชอบ เกี่ยวกับเรื่องเหตุผลที่จะตอบกับพระเดชพระคุณหลวงปู่ ตอบคําถามตามหลักวิชชาทั้งหยาบและละเอียด เรื่องหยาบเช่นคําถามที่เกี่ยวกับสงครามโลก ในเมืองมนุษย์ เรื่องละเอียดเช่นคําถามเกี่ยวกับสงครามภายในระหว่างธาตุธรรม แล้วท่านก็แก้ไขกันไป “ลูกจันทร์ระเบิดมาเวลาไหนวะ” เมื่อคุณยายตอบว่าเป็นเวลาใดแล้ว พอถึงเวลานั้นจะมีการดับไฟ ทันทีเพื่อไม่ให้นักบินเห็นเป้าหมาย ทุกอย่างต้องเตรียมพร้อมอย่างดีเพราะคําตอบของคุณยายไม่เคยผิดพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เรื่องการปัดลูกระเบิดของคณะผู้ทําวิชชาวัดปากน้ํา เป็นเรื่องที่ฮือฮามากในสมัยนั้น เริ่มจากที่ พระเดชพระคุณหลวงปู่สั่งให้ผู้ทําวิชชาทําใจหยุดนิ่งซ้ําลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นพระธรรมกายและเข้าถึงพระธรรมกายไปพร้อมๆ กัน จากนั้นท่านจึงถ่ายทอดวิชชาการปัดลูกระเบิดให้โดยผู้ศึกษาไม่ต้องทําอะไรเลย นอกจากทําใจหยุดนิ่งเพียงอย่างเดียวและซ้อนรวมพระธรรมกายของแต่ละท่านให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเดชพระคุณหลวงปู่ เมื่อท่านทําอย่างไรก็ทําอย่างนั้น เช่นอําพรางเมืองเอาไว้ทําให้นักบินเข้าใจผิดคิดว่าเป็นป่า พอถึงป่าหรือทะเล ก็ทําให้เห็นเป็นเมือง เป็นเหตุให้นักบินทิ้งระเบิดผิดเป้าหมาย ไม่ได้หมายความว่าใช้มือปัดลูกระเบิดที่กําลังตกลงมาอย่างที่หลายคนเข้าใจ
ในการปัดลูกระเบิดทั้งหมด มีอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งเป็นครั้งสําคัญมากที่สุด พระเดชพระคุณหลวงปู่ทราบด้วยญาณทัสนะของท่านว่าพญามารมีวัตถุประสงค์ที่จะดลบันดาลให้มนุษย์กลุ่มหนึ่งได้สร้างระเบิดที่มี กําลังทําลายล้างสูงขึ้น แล้วนํามาทิ้งที่ประเทศไทยโดยเฉพาะบริเวณที่เป็นแหล่งของผู้รู้ที่สามารถทํา วิชชาธรรมกายได้เพราะวิชชาธรรมกายมีอานุภาพในการสู้รบกับพญามารซึ่งเป็นฝ่ายบาปอกุศลโดยตรงเมื่อหลวงปู่ทราบก่อนดังนี้แล้ว ท่านอยากจะทดสอบดูว่าในบรรดาศิษยานุศิษย์ผู้ทําวิชชาของท่านมีใคร เห็นและทราบตรงกันบ้าง พอดีกับที่คุณยายกําลังเข้า เวรอยู่ในช่วงนั้นพอดีท่านจึงถามขึ้นว่า “ลูกจันทร์มึงเห็นไหมวะ เค้าจะเอาระเบิดลูกนี้มา ดูซิวะ ถ้ามาถึงเมืองไทยแล้วจะเป็นอย่างไร” คุณยายท่านก็ปล่อยใจเข้าศูนย์กลางกายไปจนเห็นตามอย่างหลวงปู่ แล้วก็ตอบตามภาพที่เห็นในสมาธิว่า “จะเตียนเรียบเป็นหน้ากลอง แหลกเป็นจุณทั้งต้นไม้ใบหญ้าตุ๊กตุ่นตุ๊กตา ไม่มีอะไรที่มีชีวิตเหลืออยู่เจ้าค่ะ” นี้เป็นการรู้เห็นเป้าหมายของระเบิดล่วงหน้าก่อนที่ชาวโลกจะรู้กัน เป็นความตั้งใจดั้งเดิมของพญามารหรือ ธาตุธรรมฝ่ายบาปอกุศล ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงปู่ไม่ได้ทราบมาจากการอ่านข่าวใดๆ แต่ท่านทราบด้วยญาณทัสนะ
เมื่อมีผู้เป็นพยานการรู้เห็นของท่านดังนี้แล้วพระเดชพระคุณหลวงปู่จึงบอกกับหมู่คณะผู้ทําวิชชาทั้งหมดว่า พวกเรายอมตายที่นี่ ตายพร้อมๆ กันท่านบอกว่าเจ็ดวันนี้ถ้าเราไม่ชนะก็ยอมตายกันทั้งหมด แล้วท่านก็สั่งให้ลั่นกุญแจประตูด้านนอกของโรงงานทําวิชชาเอาไว้ทุกคนต้องประจําการอยู่ตลอดเวลา วันละ 24 ชั่วโมง แบ่งเป็นรอบ รอบละ 6 ชั่วโมงสลับกันตลอดทั้งวันทั้งคืนไม่มีหยุด ท่านสู้กันอย่างนี้โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้เลย
หลวงปู่สั่งให้ทุกคนทําวิชชาเพื่อแก้ไขภัยพิบัติครั้งใหญ่หลวง ด้วยการทําให้ประเทศไทยรอดพ้นจากการเป็นเป้าหมายในการทิ้งระเบิดทําลายล้างสูงลูกนี้โดยท่านตั้งใจว่าจะทําให้ระเบิดไปตกกลางทะเลแทน เมื่อครบ 7 วันแล้ว ปรากฏว่าระเบิดดังกล่าวไม่ได้ถูกนํามาทิ้งที่ประเทศไทย โดยกระแสบาป ได้บันดาลให้ฝ่ายสัมพันธมิตรตัดสินใจนําระเบิดไปทิ้งยังประเทศหนึ่งซึ่งมีวิบากกรรมจากการก่อสงครามมามาก
การปัดลูกระเบิดนี้ผู้มีอานุภาพท่านไม่ได้ใช้มือปัด แต่ปัดด้วยวิธีการหยุดกับนิ่งอย่างเดียวเท่านั้นการทําใจหยุดนิ่งเฉยจะเปิดโอกาสให้ผู้มีอานุภาพมากกว่าลงซ้อน ซึ่งคุณยายก็เป็นบุคคลผู้หนึ่งที่ทําหน้าที่ปัดระเบิดมากมายหลายครั้ง แม้ว่าในขณะทําวิชชาจะมีการทิ้งระเบิดในละแวกนั้นอยู่เรื่อยๆ แต่ท่านก็ไม่หวั่นไหว คิดเพียงแต่ว่าจะต้องช่วยแก้ไขทุกข์มนุษย์ไม่ให้รบราฆ่าฟันกัน ซึ่งก็น่าอัศจรรย์ใจว่าไม่มีระเบิดลูกใดตกลงมาสู่วัดปากน้ําเลย
สุดท้ายสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงโดยเยอรมันเป็นฝ่ายแพ้ แม้จะรู้ว่าต้องแพ้อยู่แล้วแต่หลวงปู่วัดปากน้ําก็ต่อว่าคุณยายว่าทําใจอ่อน ทําให้ประเทศไทยอาจต้องเสียหายโดยตกเป็นฝ่ายใช้หนี้ สงครามอย่างมหาศาล คุณยายเล่าให้หลวงพ่อฟังว่าท่านถูกพระเดชพระคุณหลวงปู่ดุอยู่ครั้งเดียวเพราะญาณแม่นเกินไป ทําให้ท่านถึงกับน้ําตาไหล จึงเดินออกจากโรงงานทําวิชชาไปที่โบสถ์แล้วแหงนมองดูกระเบื้องหลังคาเพื่อปรับใจให้เป็นปกติสักครู่เมื่อ ท่านสบายใจดีแล้ว พระเดชพระคุณหลวงปู่ก็ใช้ให้คนมาตามคุณยายกลับไปนั่งทําภาวนาต่อ และด้วยบุญบันดาล ถึงเยอรมันจะแพ้สงคราม ท่านก็กลั่นแก้ให้ประเทศไทยไม่ต้องตกเป็นฝ่ายใช้หนี้สงครามไป พร้อมกับเยอรมันและญี่ปุ่น เพราะทางฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งเป็นผู้ชนะนั้นเห็นแก่ชาวไทยกลุ่มหนึ่ง คือ ขบวนการเสรีไทยที่คอยสนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตร