เห็นพระธรรมกายด้วยตาเนื้อ ณ น่านฟ้า วัดปากนํ้า

วันที่ 27 มิย. พ.ศ.2561

เห็นพระธรรมกายด้วยตาเนื้อ
ณ น่านฟ้า วัดปากนํ้า

 

dhammakaya , Dhammakaya Temple , Meditation , ธรรมกาย , วัดพระธรรมกาย , พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) , พระผู้ปราบมาร , หลวงพ่อวัดปากน้ำ , วัดปากน้ำภาษีเจริญ , หลวงปู่สด , หลวงพ่อสด , ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย , วิชชาธรรมกาย , ธรรมกาย , ตามรอยพระมงคลเทพมุนี , วิสุทธิวาจา , ประวัติหลวงพ่อสด , ประวัติพระมงคลเทพมุนี , รวมพระธรรมเทศนา หลวงพ่อวัดปากน้ำ , สมาธิ , วิปัสสนา , สัมมาอะระหัง , หลวงพ่อวัดปากน้ำ , อานุภาพหลวงปู่..ยุคต้นวิชชา , อานุภาพพระผู้ปราบมาร , เห็นพระธรรมกายด้วยตาเนื้อ ณ น่านฟ้า วัดปากนํ้า

        เรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ เป็นที่โจษขานกันเป็นอย่างมากซึ่งจะถือว่าเป็น Talk Of The Town ในช่วงนั้นก็ได้ เพราะว่าสมัยที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่หนังสือพิมพ์ก็ได้ตีพิมพ์รูปของท่าน และเรื่องราวความอัศจรรย์ในวันวิสาขบูชา จนกลายเป็นความฮือฮาที่แพร่สะพัดไปทั่วประเทศโดยเล่าถึงการปรากฏของพระพุทธเจ้าบนท้องฟ้าในวันเวียนเทียนสมโภช ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีการตีพิมพ์เรื่องราวของท่านลงหนังสือพิมพ์หลวงปู่ท่านก็มีกิตติศัพท์เลื่องลือกึกก้องว่าท่านเป็นพระที่เก่งในทางวิปัสสนามาก ถึงในระดับที่ว่าสามารถอาราธนาพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพานมาให้เห็นด้วยตาเนื้อได้แบบจะ ๆ เรื่องราวนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเป็นประจำในพิธีเวียนเทียนในวันวิสาขบูชาและวันมาฆบูชา ซึ่งในช่วงพิธีเวียนเทียนตั้งแต่เวลา 6 โมงเย็น หลวงปู่จะให้พวกที่ทำวิชาทั้งหมดมาพร้อมกันในโรงงานทำวิชชาแม้ว่าช่วงเวลานั้นจะไม่ใช่เวรของตนก็ตาม จากนั้นก็ใช้วิชชาธรรมกายช่วยกันอาราธนาพระธรรมกายให้มาปรากฏเหนือน่านฟ้าวัดปากน้ำ  อีกทั้งยังกลั่นแก้ธาตุธรรมของผู้มาเวียนเทียนให้สะอาดบริสุทธิ์ และเปิด เห็น จำ คิด รู้ เพื่อให้เห็นพระธรรมกาย ซึ่งผู้ที่จะเห็นปรากฏการณ์นี้ได้นั้น จะต้องอยู่ในอาการสงบ สำรวม กาย วาจา ใจ ต้องทำจิตให้เป็นสมาธิในขณะเวียนเทียนด้วย  ซึ่งในแต่ละปีก็จะมีสาธุชนจำนวนมากได้เห็นปาฏิหาริย์ ณ น่านฟ้าวัดปากน้ำแบบจะๆ ซึ่งบางคนก็เห็นพระปฏิมากรลอยอยู่เหนือน่านฟ้าปางสมาธิบ้าง ปางประทานพรบ้าง บางคนก็เห็นองค์พระจำนวนมหาศาลลอยอยู่เต็มท้องฟ้าซึ่งพอเห็นแล้วก็ปีติขนลุกชูชันจนบางคนถึงกับปล่อยโฮร้องไห้ออกมาด้วยความดีอกดีใจ หรือบางคนแม้เลิกเวียนเทียนแล้วขณะนั่งเรือจ้างออกจากวัดไปถึงท่าน้ำตลาดพลูแต่พอเหลียวหลังกลับไปดูเหนือพระอุโบสถก็ยังสามารถเห็นพระพุทธเจ้าแก้วใสลอยอยู่เหมือนเดิม  ซึ่งเรื่องนี้มีพยานที่มีตัวตนจริงที่ได้พบเห็นเป็นจำนวนมากมายอีกทั้งยังมีหลักฐานอยู่ในหนังสือของหลวงภูมินาถสนิท (สืบ ตังครัตน์) ซึ่งเป็นมหาดเล็กคนโปรดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ว่า ... "ครั้งหนึ่งก่อนวันวิสาขบูชา พ.ศ 2489 ข้าพเจ้าได้รับคำบอกเล่าจากหลวงพ่อวัดปากน้ำว่าพิธีเวียนเทียนในวันวิสาขบูชาปีนี้หลวงพ่อได้อาราธนา อัญเชิญเสด็จพระพุทธองค์ ให้เสด็จมาปาฏิหาริย์มาทรงเป็นประธานในพิธีด้วยทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต รวม 300 คน เดินเวียนไปจวนจะครบ 3 รอบมีอุบาสกผู้ตั้งเอะอะขึ้นว่าเขาได้เห็นพระพุทธนิมิตรปาฏิหาริย์ปรากฏอยู่บนท้องฟ้าและชี้ให้ทุกคนดูในขณะนั้น แต่ที่น่าทึ่งมากไปกว่านั้นมีบุคคลที่ไม่เชื่อและไม่ศรัทธาเดินทางมาพิสูจน์เป็นจำนวนมากเช่น 

       คุณสุธรรม จันทร์กลัดอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ ซึ่งได้กล่าวยืนยันว่าปกติท่านเป็นคนไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ถึงขนาดทักท้วงว่าพระพุทธเจ้าท่านเสด็จปรินิพพานไปนานถึง 2500 กว่าปีแล้ว ทำไมยังสามารถเสด็จมาให้เห็นได้อีกและด้วยเหตุนี้จึงทำให้ท่านเดินทางไปพิสูจน์ โดยพาภรรยา คือ คุณพยอมไปเวียนเทียนด้วยกันและสุดท้ายก็ได้เห็นปาฏิหาริย์เหนือน่านฟ้าจริงๆด้วยตาตัวเองและทันทีที่เห็นท่านก็รีบคุกเข่ากราบลงกับพื้นพระอุโบสถวัดปากน้ำทันที 3 ครั้ง จากนั้นก็รีบตรงเข้าไปในพระอุโบสถแล้วไปก้มลงกราบที่หน้าตักของหลวงปู่ทั้งที่ขนยังลุกซู่ไม่หายแล้วก็ตั้งจิตอธิษฐานฝากเนื้อฝากตัวขอให้ได้เกิดมาเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ทุกชาติ หรือแม้แต่ คุณโชติ วนิกเกียรติ เดิมเป็นคนที่ไม่เลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่วัดปากน้ำเลยถึงขนาดพูดกับพี่สาวของตัวเอง คือ คุณชัช วนิกเกียรติ  ที่มาวัดปากน้ำเป็นประจำว่าวัดใกล้ๆ บ้านก็มีทำไมต้องไปทำบุญที่วัดปากน้ำด้วยเป็นเพราะติดใจพระรูปใดรูปหนึ่งหรือถูกหลวงปู่หลอกหรือเปล่า  แต่พอคุณโชติได้เดินทางมาพิสูจน์และได้มาเห็นปาฏิหาริย์เหนือน่านฟ้าในวันเวียนเทียนด้วยตาตัวเองแบบจะๆก็เลยเข้าใจและรีบเข้าไปขออนุญาตกราบที่เท้าหลวงปู่ท่านเพื่อขออโหสิกรรมที่เข้าใจผิดและหลังจากนั้นคุณโชติก็เปลี่ยนใจหันมาเข้าวัดปฏิบัติธรรมและกลายเป็นอุปัฏฐากวัดปากน้ำ โดยมาทำบุญถวายน้ำอ้อยแด่หลวงปู่อยู่เป็นประจำ 

      จากปรากฏการณ์เหนือน่านฟ้านี้เองเป็นการประกาศอานุภาพของพระรัตนตรัยและยกใจมหาชนผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาหรือที่เลื่อมใสแล้วให้เกิดความเลื่อมใสยิ่งๆ ขึ้นไป ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านได้ดำเนินรอยตามการประกาศธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ที่พระองค์ทรงใช้วิธีการสอนอยู่ 3 อย่างที่เรียกว่า ปาฏิหาริย์ 3 เพื่อลดทิฐิมานะผู้เห็นผิดให้กับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้อง ซึ่งปาฏิหาริย์ 3 อย่างได้แก่ อิทธิปาฏิหาริย์  (การแสดงฤทธิ์ที่พ้นวิสัยของสามัญมนุษย์ได้อย่างน่าอัศจรรย์)  อาเทสนาปาฏิหาริย์ (การดักใจทายใจคนได้อย่างน่าอัศจรรย์) และอนุสาสนีปาฏิหาริย์ (คำสั่งสอนจูงใจคนให้นิยมเชื่อถือตามได้อย่างน่าอัศจรรย์ )

  ดังในครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ตอนที่เสด็จไปโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และเสด็จกลับลงมาในวันมหาปวารณาซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงใช้พุทธานุภาพเปิดโลกทั้ง 3 ทำให้มนุษย์และเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลายสามารถมองเห็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นฟ้าที่มาส่งพระองค์ ซึ่งเป็นเหมือนกองทัพชาวสวรรค์ที่เลื่อนลอยลงมาจากนภากาศ มีความยิ่งใหญ่ประดุจพระเจ้าจักรพรรดิเสด็จออกยาตราทัพ  โดยเหล่าเทวดาได้ลงมาทางบันไดทอง มหาพรหมลงมาทางบันไดเงิน ส่วนพระสัมมาพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาบันไดแก้วมณี 

         ขณะนั้นพระองค์ทรงเปล่งรัศมีสว่างไสวเรืองรองไปทั่วโลกธาตุ ทำให้เหล่าสรรพสัตว์ที่อยู่บนโลกทั้ง 3 คือสวรรค์ มนุษย์ นรก สามารถเห็นกันและกันในเวลาเดียวกัน ทั้งเทวดา มนุษย์ สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน อสูรกายต่างเห็นกันและกันด้วยตาเนื้อเป็นอัศจรรย์ด้วยพุทธานุภาพ  ซึ่งเมื่อสรรพสัตว์เห็นความอัศจรรย์เช่นนี้แล้ว ก็ต่างเกิดมาหาปีติ พากันตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลถ่ายภาพเบื้องหน้า เพราะเห็นพุทธานุภาพนั้น อีกทั้บางคัมภีร์ยังกล่าวไว้ว่าแม้แต่มด ซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานยังมีความรู้สึกนึกคิดปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าด้วย

 

 


จากหนังสือ อานุภาพหลวงปู่..ยุคต้นวิชชา

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0011205156644185 Mins