สยบกองทัพงู ณ วัดปากน้ำ

วันที่ 27 มิย. พ.ศ.2561

สยบกองทัพงู ณ วัดปากน้ำ
 

dhammakaya , Dhammakaya Temple , Meditation , ธรรมกาย , วัดพระธรรมกาย , พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) , พระผู้ปราบมาร , หลวงพ่อวัดปากน้ำ , วัดปากน้ำภาษีเจริญ , หลวงปู่สด , หลวงพ่อสด , ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย , วิชชาธรรมกาย , ธรรมกาย , ตามรอยพระมงคลเทพมุนี , วิสุทธิวาจา , ประวัติหลวงพ่อสด , ประวัติพระมงคลเทพมุนี , รวมพระธรรมเทศนา หลวงพ่อวัดปากน้ำ , สมาธิ , วิปัสสนา , สัมมาอะระหัง , หลวงพ่อวัดปากน้ำ , อานุภาพหลวงปู่..ยุคต้นวิชชา , อานุภาพพระผู้ปราบมาร , สยบกองทัพงู ณ วัดปากน้ำ

        ในสมัยก่อนที่วัดปากน้ำมีงูชุกชุมมาก ซึ่งถ้าอยู่แล้วต่างคนต่างอยู่ก็ไม่มีปัญหาอะไร  แต่นี่.!! เจ้างู  มันเล่นมากัดพระ กัดเณร กัดแม่ชีกันเยอะ  ถึงขนาดกลายเป็นแรงบันดาลใจทำให้แม่ชีหลายคน  ต้องหัดจับงูให้เป็น อย่างเช่น แม่ชีปุก ท่านจะมีบ่วงเอาไว้คล้องคองูโดยเฉพาะ ซึ่งพอคล้องได้ก็จะเอาไปปล่อย  หรืออย่างแม่ชีนาค  ท่านก็โดนงูกัดเป็นอาชีพ  จนเจ้าหน้าที่ที่สถานเสาวภา  จำหน้าท่านได้  เพราะต้องนั่งเรือไปฉีดเซรุ่มแก้พิษงูอยู่เป็นประจำ

        เรื่องก็มีอยู่ว่า แม่ชีนาค..ท่านเป็นแม่ชีที่ได้ธรรมกายมีญาณทัศนะแม่นยำมากเพราะท่านรักการปฏิบัติธรรม  และมีอัธยาศัยชอบไปปักกลดอยู่ในป่าช้า  ที่เขาเก็บศพที่ยังไม่ได้เผาเอาไว้  เป็นป่าช้าที่อยู่ในวัดปากน้ำ  (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของตึกคณะเนกขัมม์)  ซึ่งประชาที่ว่านี้มีหญ้าขึ้นรกเต็มไปหมด  ดังนั้นจึงเป็นที่ซ่องสุม  ของบรรดางูต่างๆอย่างมากมาย แต่เนื่องจากป่าช้าไปสถานที่ที่เงียบสงบ เย็นสบาย  จึงทำให้แม่ชีนาคชอบไปมาก  และพอไปทีไร  ก่อนจะเข้าที่นั่งสมาธิ  ท่านจะสวดเจริญพระพุทธมนต์  อิติปิโส 108 จบก่อน

        และที่น่าทึ่งก็คือท่านจะสวดไปเรื่อยๆ  โดยไม่ต้องมีลูกประคำมานั่งนับเลย  ซึ่งโดยปกติเวลาคนทั่วไปสวด  ครบ 1 จบเขาก็จะเลื่อนลูกประคำ เพื่อนนับไปลูกหนึ่ง ซึ่งพอเลื่อนไปจนครบทั้งเส้น  ก็เท่ากับสวดครบ 108 จบพอดี  (เพราะสร้อยประคำเส้นหนึ่งมีลูกประคำอยู่ 108 ลูก)  แต่เนื่องจากแม่ชีนาคมีวิชชาธรรมกายที่หลวงปู่สอน  ท่านจึงไม่ต้องนับลูกประคำให้เสียเวลา  คือ  ท่านจะเข้ากลางสวดไปเรื่อยๆ  พอครบ 108 จบ  พระธรรมกายในตัวท่านจะบอกว่าครบพอดี  โดยไม่ขาดไม่เกิน  และนี่ก็คือความอัศจรรย์ของวิชาธรรมกาย !!! 

        อยู่มาวันหนึ่งขณะที่แม่ชีนั่งนั่งสมาธิอยู่ท่านก็เห็นในญาณว่า วันนี้ท่านจะโดนงูเห่ากัดแขน งูที่ว่านี้ จะยกพวกเข้าจู่โจมรุมกัดท่านที่แขนพร้อมกันทีเดียวถึง 3 ตัว  แถมท่านยังเห็นว่างู  มันจะกัดท่านที่แขนในตำแหน่งไหนอีกด้วย  ซึ่งเมื่อแม่ชีนาคเห็นดังนั้น  ก็รีบบอกโยมแผ้วว่า  น้าๆ ฉันเห็นในญาณนะ  ว่าวันนี้ฉันจะโดนงูเห่ากัดที่เดียวถึง 3 ตัว  เมื่อโยมแผ้วได้ฟังดังนั้น ก็พากันไปเรียนให้หลวงปู่ทราบ ซึ่งแม่ชีนาคก็รายงานหลวงปู่ว่า หลวงพ่อเจ้าคะ ลูกเห็นในญาณว่า วันนี้ตอนไปเจริญพระพุทธมนต์ในป่าช้า จะโดนงูเห่ากัด 3 ตัว

      พอหลวงปู่ได้ฟังดังนั้น ท่านก็พูดว่ามันจะทำได้เฉพาะเวลาทุ่มหนึ่ง ถ้าเลยทุ่มไปแล้วนี่ มันจะทำไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นนี่ก่อนเวลาทุ่มหนึ่ง เอ็งอย่าออกไปไหนเด็ดขาด (ที่หลวงปู่ท่านห้ามออกไป เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่วิบากกรรมส่งผล ซึ่งผ้าช่วงนี้ เราอยู่ในที่ของเราและก็อยู่ในธรรม วิบากกรรมมันก็จะผ่านไป)

       แต่หลวงปู่ท่านก็เผื่อเหนียวไว้  จึงสั่งให้โยมแผ้วไปเตรียมเรือ และให้เอาน้ำมันใส่เรือ ซึ่งโยมแผ้วก็ได้เตรียมเรือไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เพราะสมัยนั้นต้องเดินทางกันทางน้ำ คือ ถ้าโดนงูกัด ก็จะได้รีบพาไปสถานเสาวภาได้ทันเวลา

       แต่อนิจจา..เรื่องที่ไม่อยากให้เกิด ก็เกิดขึ้นจนได้ ทั้งทั้งที่ก่อนแม่ชีนาคจะออกไปปักกลดเจริญพุทธมนต์ในป่าช้า ท่านก็พยายามดูนาฬิกาแล้วดูนาฬิกาอีก แต่ด้วยวิบากกรรมอย่างไรก็ไม่ทราบ ตาท่านลาย ทำให้มองเห็นเข็มนาฬิกาเลยเวลา 1 ทุ่มไปแล้ว ท่านถึงได้ตัดสินใจออกไป แต่จริงๆแล้วขนาดนั้นยังไม่ถึง 1 ทุ่มเลย และทันใดนั้นเองสักครู่เดียว หลังจากที่แม่ชีนาคปักกลดเสร็จ อยู่ๆ แม่ชีหน้าก็ตะโกนเสียงหลงขึ้นมาเลยว่า "น้าแผ้ว นี่ฉันโดนกัดแล้ว 3 ตัว"

       จากนั้นจึงไม่รอช้ารีบพากันไปกราบหลวงปู่ ซึ่งสิ่งแรกที่หลวงปู่ทำก็คือรีบมองดูนาฬิกา แล้วก็พูดขึ้นทันทีว่า "นี่มันยังไม่ถึง 1 ทุ่มนี่"  และท่านก็หันไปบอกแม่ชีนาคว่า "กูบอกมึงแล้วนะว่าให้เลยทุ่มก่อนนี่ยังไม่ถึงทุ่มเลย" จากนั้นหลวงปู่ก็สั่งโยงแผ้วให้ติดเรื่องพาแม่ชีนาคใส่เรือไปส่งสถานเสาวภา

      และก็มีอีกครั้งหนึ่งที่ หลวงปู่ท่านได้เจอกับตัวเอง  ในขณะที่ท่านกำลังขุดแก้วบรมจักร ซึ่งแก้วดวงนี้ หลวงปู่บอกว่า หากขุดขึ้นมาได้  จะสามารถเลี้ยงคนได้ทั้งโลก  โดยไม่ต้องทำมาหากิน  และชาวโลกจะได้เอาเวลามาปฏิบัติธรรมอย่างเดียว ซึ่งในช่วงที่ขุดแก้วนั้น หลวงปู่ท่านนั่งอยู่ที่ปลายแคร่แบบหมิ่น ๆ  หนังคุมพวกที่ได้ธรรมกายทำวิชชา  เพื่อเรียกให้แก้วขึ้นมา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีหลวงตาอยู่ท่านหนึ่ง ซึ่งเวลาทำวิชชาท่านก็จะตะบันหมากไปด้วย เคี้ยวไปด้วย หลวงปู่ก็มักจะดุท่านบ่อยๆว่า "เดี๋ยววิชชาก็ไม่ทันเขาหรอก" พอหลวงปู่ดุทีหนึ่ง ท่านก็จะหยุดตะบันทีหนึ่ง

         แต่อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ท่านนั่งตะบันหมาก  ก็ได้ยินเสียงดังตุ๊บ  คือ มีงูเห่าตัวใหญ่ขนาดเท่าน่อง  หล่นลงมาจากต้นข่อย  จากนั้นเสียงตะบันหมากก็หยุดทันที  หลวงปู่ท่านก็เลยสงสัยว่าทำไมวันนี้เสี่ยงตะบันหมากหยุดไปนาน  ท่านจึงหันไปดูซึ่งก็ปรากฏว่าหลวงตาหยุดตะวันหมากและกำลังจ้องไปที่ตางูเห่าตัวนั้น  งูเห่าตัวนั้นก็จ้องกลับมาที่ตาของหลวงตา ซึ่งหลวงตาเล่าว่า "เราก็ตรึกอยู่ในธรรมกายแล้วก็จ้องงูมันจะทำอะไรเราไม่ได้แต่เราก็ทำอะไรงูไม่ได้เหมือนกัน"

        แต่กับหลวงปู่ซึ่งมีวิชชาที่เชี่ยวชาญกว่ามาก ทันทีที่หลวงปู่ไปมองงู งูมันก็หันเปลี่ยนทิศมองมาที่หลวงปู่แทน และทันทีที่สายตาของหลวงปู่สบกับตางู  โยมแผ้วก็ได้เห็นแสงสว่าง พรุ่งปร๊าดออกจากตาของหลวงปู่  เหมือนแสงจากลำไฟฉายพุ่งไปที่ตางูทันที  จากนั้นงูมันก็ตกใจสุดขีดสะดุ้งตัวข้ามรั้วสังกะสีหนีไปทันที

     หลังจากนั้นหลวงปู่ท่านก็สั่งพวกที่ทำวิชชาว่า  ให้เข้าที่ไปตามหัวหน้างู  บอกให้หัวหน้างูไปเจรจากระจายข่าวบอกลูกน้องงูทั้งหลายว่า  ให้อพยพไปจากวัดปากน้ำเสีย คือ  ให้ย้ายที่อยู่ไปเลย  เพื่อขอเวนคืนที่ดินตรงนี้ให้พระ  แม่ชี  เขาปฏิบัติธรรมกัน  นับจากวันนั้นกูก็ไม่มาอีกเลยเป็นอัศจรรย์

 

 


จากหนังสือ อานุภาพหลวงปู่..ยุคต้นวิชชา

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.001247501373291 Mins