เขาเห็น..ตอนปัดระเบิด
สงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นตกเป็นเป้าหมายสำคัญในภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ ฝ่ายสัมพันธมิตรที่มีมหาอํานาจอย่างสหรัฐฯ เป็นแกนนำ มุ่งนำกำลังเข้ากวาดล้าง และในที่สุด..ญี่ปุ่นก็ต้องประกาศยอมแพ้สงคราม เมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2488 เพราะอํานาจการทําลายล้างของระเบิดปรมาณู
หวอ..ห..ว..อ.. สัญญาณเตือนภัยดังสนั่น! ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ทําให้ผู้คนต่างตกใจ พากันวิ่งหนีหลบเข้าไปในหลุมหลบภัย เพื่อให้รอดจากสะเก็ดระเบิดที่กําลังทิ้งลงมาแบบปูพรม
เครื่องบินรบ B-29 เป้าหมายในการทำลายล้าง คือโรงไฟฟ้าวัดเลียบ (วัดราชบูรณะ) สะพานข้ามกรุงธน และสถานที่สําคัญต่าง ๆ ซึ่งตรงตามหลักยุทธศาสตร์การรบที่สหรัฐฯกําลังจะตัดเส้นทางการคมนาคมของพวกญี่ปุ่น ตลอดจนทําลายแหล่งพลังงานที่สําคัญที่สุดคือโรงไฟฟ้า
ฟิ้ว .... ฟิ้ ..... ว ........ ตูม!!! ระเบิด..พลังแห่งการทำลายล้างลูกแล้ว..ลูกเล่าถูกทิ้งดิ่งลงมา แต่แปลก..ที่พลาด!!! โดนเป้าหมายน้อยมาก หรือมีผลกระทบต่อเป้าหมายไม่กี่เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นจะดิ่งลงกลางทุ่ง แม่นํ้าเจาพระยา หรือสถานที่อื่นๆ ที่ไม่ใช่จุดยทธศาสตร์พร้อมกับฝุ่นควันที่คลุ้งขึ้นตามแรงระเบิด
การประกาศภาวะฉุกเฉินในเมืองไทยยังคงยืดเยื้อไปตามกระแสสงครามโลก สัญญาณหวอยังคงดังขึ้นในแต่ละวัน.. ทั้งกลางวันและกลางคืน เสียงระเบิดดังจนกลายเป็นความชาชิน ทําให้ระยะหลังๆ ผู้คนไม่ค่อยใส่ใจกับการหลบภัยเท่าไรนัก
หวอ .... ห ..ว.. อ. คราวนี้มันดังขึ้นอีกซํ้าๆ กัน บางคนก็วิ่งไปหลบเหมือนเดิม แต่บางคนกลับออกมาดูเครื่องบินรบที่กําลังขับเคลื่อนมา และเป็นธรรมดาที่วัยซนอยากรู้อยากเห็นของเด็กทําให้อยากจะเห็นเครื่องบินทิ้งระเบิดโดยไม่กลัวอันตรายแต่อย่างใด
เด็กชายยงยุทธ ดิลกเจริญ ปีนขึ้นไปบนดาดฟ้าห้องแถวที่เรียงรายติด ๆ กันในเวลาเดียวกับที่ผู้ใหญ่และเด็กคนอื่น ๆ ก็ปีนดูบนดาดฟ้าบนบ้านของตน
“เฮ้ย!.. เฮ้ย!.. นั่นอะไร !? ..มองซิคนใส่ชุดขาว ๆ ลอยอยู่บนฟ้า อย่างกับแม่ชี..” ผู้คนเงยหน้ามองตามเสียงที่ดังขึ้นจากกลุ่มผู้ใหญ่
แน่นอน..! เด็กชายยงยุทธก็เงยหน้ามองตามด้วย ช่างประหลาดเหลือเกิน..!? ภาพที่เขาเห็นบนท้องฟ้าเป็นแม่ชีจริง ๆ มีลักษณะโปร่งแสงลอยอยู่นิ่ง ๆ ใกล้กับเครื่องบินรบ B-29 ที่กําลังขับเคลื่อนมา 2 - 3 ลํา พร้อม ๆ กัน คนดูต่างชี้ไม่ชี้มือ ส่งเสียงอื้ออึงกับสิ่งประหลาดที่ปรากฏให้เห็น
“ทิ้งเท่าไรก็ไม่โดน..ไม่มีวันโดนหรอก..ฮ่า..ฮ่า..” นี่คือเสียงพูดพร้อมเสียงหัวเราะร่าดังๆ ของยายผิน ที่มักพูดอยู่ เป็นประจำในช่วงเกิดสงคราม
ยายผินเป็นแม่ครัวทํากับข้าวอาศัยอยู่ในบ้านของเด็กชายยงยุทธ แกชอบไปทำบุญที่วัดปากน้ำอยู่ประจํา แต่น่าเสียดายประโยคที่แกพูด กลับไม่มีใครในบ้านใส่ใจ หรือเข้าใจความหมายอะไร มากนัก แต่เสียงนี้ได้เข้าไปอยู่ในความทรงจําของเด็กชายยงยุทธ โดยเฉพาะประโยคที่ว่า“หลวงพ่อวัดปากน้ำกับพวกนั่งสมาธิ เขาปัดลูกระเบดกัน ต่อให้ทิ้งมายังไงก็ ไม่มีวันโดนหรอก.. ไม่มีวันโดน..”
ในวันต่อมา..เรื่องแม่ชีปัดลูกระเบิดที่มีพยานหลายคนเห็นไม่ใช่เป็นเรื่องโคมลอย หรือตาฝาดไปเสียแล้ว เพราะหนังสือพิมพ์ก็ได้เอาข่าวนี้มาลงเป็นหลักฐานยืนยันเหตุการณ์เมื่อครั้งสงครามโลก ครั้งที่ 2
กาลเวลาผ่านไปจนกระทั่งเด็กชายยงยุทธโตขึ้น เรียนจบคณะวิทยาศาสตร์และครุศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจากนั้นเรียนต่อด้านการตลาดและเข้าทํางานในตําแหน่งหน้าที่การงานที่ดีทางด้าน Import-Export
วันหนึ่งน้องชายเขาก็ ได้นําหนังสือเล่มสำคัญมาให้จากขอความ ในหนังสือเล่มนี้เหมือนกับจะกระตุ้นหรือรื้อฟื้นสัญญาอะไรเก่า ๆ ที่เขาเองก็ไม่อาจรู้เขารู้สึกเพียงแต่ว่าเขาอยากไปศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม (ต่อมา คือ วัดพระธรรมกาย) เขาต้องไปที่นั่นให้ได้และหนังสือเดินไปสู่ความสุขเล่มนี้ ทําให้เขาได้ไปที่นั่นจริงๆ ..
ชีวิตคุณยงยุทธ ดิลกเจริญ เริ่มผูกพันกับศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม เพราะที่นี่ทําให้เขารู้คุณค่าของการทําทาน รักษาศีลเจริญภาวนา เขามีศรัทธามากและเป็นหนึ่งในประธานสร้างโบสถ์ของวัดพระธรรมกายด้วย เขาไปที่วัดพระธรรมกายบ่อยมากจนคุ้นเคยและใกล้ชิดกับครูบาอาจารย์ คือ หลวงพ่อธัมมชโย และคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ศิษย์เอกหลวงปู่วัดปากนํ้า ภาษีเจริญ
ด้วยความเป็นลูกศิษย์ที่สนิทนี่เองเวลามีปัญหาอะไรก็จะคอยปรึกษาไต่ถามคุณยายอาจารย์ ฯ ตลอด แต่อย่างหนึ่งที่ ไม่เคยลืมเลือนไปจากความทรงจําเลย และยิ่งรู้ว่าคุณยายเป็นศิษย์เอกของหลวงปู่วัดปากนํ้าด้วยแล้ว สิ่งนี้จึงถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีก ซึ่งก็คือ เรื่องราวครั้งสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กับคําพูดของยายผินที่ได้พูดไว้
พอคุณยงยุทธได้ไปกราบคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ก็รีบเรียนถามท่านเลยว่า “คุณยายครับ..ทําไมเครื่องบินที่ทิ้งระเบิดลงมาถึงไม่โดนที่สําคัญ กลับลงทุ่งลงนํ้าล่ะครับ”
ซึ่งคุณยายท่านก็ตอบว่า “อ้าวคุณ.. เวลาที่เครื่องบินมันทิ้งระเบิด ยายเข้าที่อยู่กับหลวงพ่อวัดปากน้ำ หลวงพ่อท่านสั่งให้ยายจัดการ ยายก็เนรมิตเมืองให้เป็นป่า..เป็นแม่นํ้า เนรมิตแม่นํ้า ให้เป็นบ้านเมืองเท่านี้ทิ้งเท่าไหร่ก็ไม่ถูก” ซึ่งถ้าเราอยาก จะเข้าใจอะไรให้มากขึ้น ต้องนั่งสมาธิและศึกษาวิชชาธรรมกายตาม อย่างหลวงปู่วัดปากนํ้า เพราะการทําวิชชาธรรมกายเป็นเรื่องเหนือวิสัยที่จะเข้าใจด้วยจินตมยปัญญา (ปัญญาจากการคิด) หรือสุตตมยปัญญา ( ปัญญาจากการฟัง) แต่จะเข้าใจได้ด้วยภาวนามยปัญญา (ปัญญาจากการเจริญภาวนา)
ซึ่งการทําวิชชาในสมัยหลวงปู่วัดปากนํ้าเขาทํากันเป็นทีมต้องนั่งสมาธิจนมีความละเอียดมาก แล้วอาศัยพระธรรมกายปาฏิหาริย์ให้เห็นเมืองเป็นป่าเห็นแม่นํ้าเป็นเมืองอะไรอย่างนี้ทหารที่ทิ้งระเบิดก็จะเข้าใจผิดทิ้งไม่โดนสักทีซึ่งสมัยที่หลวงพ่อวัดปากนํ้าทําวิชชาก็มีคุณยายอาจารย์ฯ เปนหัวหน้าทีมกะดึกในชุดนั้น สําหรับภาพส่วนหยาบที่คนทั้งหลายเห็นนั้น ก็เห็นต่าง ๆ กันไป เช่น เห็นเป็นภาพแม่ชีลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าปัดลูกระเบิดบ้าง ลอยอยู่เฉย ๆ บ้างซึ่งเรองละเอียดของวิชชาธรรมกาย เป็นดังข้างต้นที่อธิบายมานี้...
จากหนังสือ อานุภาพหลวงปู่..ยุคต้นวิชชา