ยิ่งกว่า..หมอเทวดา
เรื่องอานุภาพและความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ใครๆ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า Beyond Expectation คือ เหนือความคาดหมายด้วยกันทั้งนั้น ขนาดในสมัยที่ท่านกำลังค้นคว้าวิชชาธรรมกายอยู่ ซึ่งช่วงนั้นยังไม่ได้ ประชุมธรรมกาย (ซึ่งก็หมายถึง ทีมงานทำวิชชาของท่านยังมีไม่ครบ เพราะยังมาไม่มาก จึงยังไม่ได้รวมผู้ที่เข้าถึงพระธรรมกายให้มาทําวิชชาพร้อมกัน) แต่ท่านก็มีวิชาหนึ่ง..ที่ทําให้วงการแพทย์ต้องตกตะลึงหรืองงไปตาม ๆ กัน เพราะมีสามีภรรยาคู่หนึ่ง นั่งเรือจ้างโดยให้เขาแจวมาส่งที่ท่านํ้าวัดปากนํ้า พอมาถึง..ผู้เป็นสามีก็กระหดกระหอบรีบเข้ามากราบหลวงปู่ที่ศาลาสอนธรรมะทันทีด้วยความเดือดเนื้อร้อนใจว่า “หลวงพ่อครับ..ภรรยาผมแท้งลูกตอนนี้ลูกตายอยู่ในท้อง นอนรออยู่ที่เรือ..ทรมานมากเลยครับ.!!!”
พอหลวงปู่ฟังเสร็จ ท่านก็นิ่งๆ แล้วพูดว่า “เออ..เอาลูกออก..เอาแม่ไว้ก็แล้วกัน” จากนั้นหลวงปู่ก็เอาด้ายสายสิญจน์มาม้วนเป็นกลม ๆ เล็ก ๆ แลวสั่งผู้เป็นสามีว่า “เออ..เอาไปใหเมียของเอ็งก็กิน”พรอมกับยื่นด้ายสายสิญจน์ที่ม้วนแล้วให้ที่มือ
จากนั้นชายหนุ่มผู้เป็นสามีก็เลยถามหลวงปู่เพื่อให้แน่ใจว่า “ให้กลืนด้ายสายสิญจน์นี่เลยหรือครับ..??” หลวงปู่ท่านก็ตอบว่า “ใช่...” ผู้เป็นสามีก็ไม่รอช้า รีบเดินไปที่เรือจ้าง แล้วเอาสายสิญจน์ที่หลวงปู่ให้มา ใส่ปากภรรยาที่นอนอยู่ในเรือ และให้ดื่มนํ้ากลืนลงไป น่าอัศจรรย์ !! สักพักเดียวเท่านั้น..!!! ด้ายสายสิญจน์ก็ไปคล้องเด็กที่ตายอยู่ในท้องออกมาทันที จนทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างตกตะลึงแบบสุด ๆ เพราะเด็กสามารถออกมาได้โดยไม่ต้องฉีดยาไม่ต้องผ่าตัดอะไรสักอย่าง จนสุดท้ายแม่เด็กก็ปลอดภัย รอดชีวิตจากการตายทั้งกลมอย่างอัศจรรย์
ต่อมา..ภายหลังจากที่หลวงปู่ท่านประชุมธรรมกายแล้ว ท่านก็ทำวิชชาปราบมาร พร้อมกับช่วยแก้ทุกข์ภัยมนุษย์ไปด้วย และหนึ่งในการแก้ทุกข์ภัยมนุษย์ ก็คือ การทำวิชชาธรรมกายแก้โรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งท่านมีชื่อเสียงโด่งดังทางด้านนี้มาก จนมีคนมากมายร่ำลือกันว่า..ท่านเป็นยิ่งกว่าหมอเทวดา !!! เพราะโรคที่ใคร ๆ รักษาไม่หาย แถมเป็นโรคที่ร้ายรงมากในสมัยนั้น แต่หลวงปู่ท่านกลับสามารถใช้วิชชาธรรมกายรักษาหายได้หมด เพราะการทำวิชชาแก้โรคภัยไข้เจ็บของหลวงปู่ ท่านจะเข้าที่สาวไปถึงต้นเหตุของการเกิดโรค สาวไปถึงผู้ส่งโรคภัยไข้เจ็บมาบังคับมนุษย์ ซึ่งถ้าเขาบังคับได้ถึงจุดที่ทำให้เกิดโรค..มนุษย์ก็จะป่วยเป็นโรคนั้น โรคนี้.. และเมื่อท่านสาวไปถึงเหตุ ท่านก็จะไปดับที่เหตุ และพอเหตุดับ ผลก็จะดับไปด้วย แล้วมนุษย์ก็จะหายจากโรคนั้น
หรือกรณีที่ผู้ป่วยกรรมหนักมากจริง ๆ คือ รักษาอย่างไรก็ไม่หาย โรคก็จะทุเลาลงอย่างเหลือเชื่อ หรือแม้แต่บางคนที่หมดอายุขัยลงแล้ว หลวงปู่ก็จะเอาบุญไปต่ออายุให้ (ในกรณีที่ร่างกายยังพอใช้การได้) ซึ่งการรักษาโรคของหลวงปู่นั้น ท่านจะให้เขียนชื่อและอาการของโรคลงในกระดาษรายงาน จากนั้นก็รวบรวมส่งเข้าโรงงานทำวิชชา โดยที่หลวงปู่ท่านจะกลั่นแก้คุมบุญ โดยสั่งให้พระและแม่ชีทำวิชชาช่วยกันแก้โรคให้ ซึ่งการแก้โรคของหลวงปู่นั้นท่านจะให้คนป่วยนั่งสมาธิให้ท่อง “สัมมา อะระหัง” ปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังไปพร้อม ๆ กันด้วย เพราะถ้าคนป่วยยอมนั่งสมาธิ ก็จะทำให้การแก้โรคของท่านสำเร็จง่ายและเร็วขึ้น เปรียบเสมือนกับการเป็นแผลบาดเจ็บที่ขา หากคนไข้นั่งแกว่งขาไปมาอยู่ตลอดเวลาหมอก็จะทำแผลได้ลำบาก ตรงกันข้าม..หากคนไข้ทำขาให้อยู่นิ่ง ๆ หมอก็จะทำแผลได้สะดวกเร็วขึ้น ซึ่งการทำอย่างนี้ ก็จะทำให้ท้ายที่สุด..โรคที่เป็นอยู่ก็จะหายเป็นอัศจรรย์ แถมคนป่วยหลายคนยังเข้าถึงธรรมะอีกด้วย...
ในช่วงที่หลวงปู่ท่านทำวิชชาแก้โรคนั้น ท่านก็ได้ทดลองนำคนป่วยหนัก 2 คน คือ คนหนึ่งเป็นวัณโรค อีกคนหนึ่งเป็นโรคเรื้อน..ซึ่งในสมัยนั้น ทั้ง 2 โรคนี้ เป็นโรคร้ายแรงที่สังคมรังเกียจมาก แถมไม่มีทางรักษาหาย แต่สุดท้ายหลวงปู่ก็ใช้วิชชาธรรมกายรักษาจนหายขาดเป็นอัศจรรย์
และนับตั้งแต่นั้น..กิตติศัพท์เรื่องการรักษาโรคของหลวงปู่ก็เลื่องลือขจรขจายขยายไปในวงกว้างอย่างรวดเร็ว จนทำให้มีคนสนใจเข้ามาปฏิบัติธรรมที่วัดปากน้ำเป็นจำนวนมาก อย่างเช่นกรณี คุณชัช วนิกเกียรติ เป็นโรคเรื้อนที่ไปรักษามากี่หมอ ๆ ก็ไม่หาย จนคิดจะเปลี่ยนใจไปนับถือศาสนาอื่น เพราะมีคนบอกว่าถ้าเปลี่ยนไปนับถือศาสนานั้นแล้วจะหาย แต่ก็โชคดี ที่ช่วงนั้นคุณชัชเดินทางไปหาหลวงปู่ก่อน ซึ่งพอหลวงปู่เห็นก็บอกว่า “ไม่ต้องไปทำอะไรหรอก แค่โรคเรื้อน.. “สัมมา อะระหัง” เดี๋ยวก็หาย...” และสุดท้ายก็หายจริง ๆ เพราะหลวงปู่ท่านทำวิชชาแก้โรคให้ พร้อมกับการที่คุณชัชได้หันมานั่งสมาธิปฏิบัติธรรมไปพร้อมกันด้วย..
..เรื่องราวการทำวิชชาแก้โรคภัยไข้เจ็บของหลวงปู่มีอย่างมากมาย ซึ่งบางโรค..ดูๆ แล้ว ก็ไม่น่าจะรักษากันง่ายๆ เช่น โรคบ้า แต่หลวงปู่ท่านก็รักษาหาย อย่างเช่นเคสของ ป้าเทียบ สุขเจริญ ที่เป็นหลานแท้ๆ ของหลวงปู่ คือ ป้าเทียบ.. จะมีอาการบ้าเฉพาะหน้าหนาว บ้าแบบชนิดคลุ้มคลั่งจนต้องเอาโซ่ล่ามไว้เลยทีเดียว หนำซ้ำไปรักษากี่หมอๆ ก็ไม่หาย จนผลสุดท้ายต้องมาขอพึ่งบารมีหลวงปู่ซึ่งหลวงปู่ท่านก็บอกว่า “เอ็งน่ะ..ไม่ต้องไปรักษาที่ไหนหรอก เดี๋ยวหมดกรรม มันก็หายเองแหละ...”
จากนั้นหลวงปู่ท่านก็ให้กินยาลมของวัดปากน้ำ ชื่อว่า ยาลมบาดทะจิต และก็ให้นั่งสมาธิ “สัมมา อะระหัง” ในช่วงที่ไม่ออกอาการบ้า และสุดท้าย..ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ คือ ต่อมาอีกประมาณ 4-5 ปี อยู่ ๆ อาการบ้าก็หายเป็นปลิดทิ้งไปเฉย ๆ เป็นอัศจรรย์...
หรืออีกครั้งที่ ลุงสังวาล เทียนทองคำ ซึ่งเป็นน้องชายของสามเณรมงคล ที่เชี่ยวชาญในวิชชาธรรมกายมากในสมัยนั้น ได้เล่าให้ฟังว่า.. “มีคนป่วยเดินทางมารักษากับหลวงปู่มาก และทางวัดก็ได้จัดเตรียมที่พักไว้ให้ด้วย ซึ่งการรักษาโรคของหลวงปู่ ก็ไม่ต้องใช้ยาอะไรให้ยุ่งยาก แต่ก็รักษาหาย แม้แต่มะเร็งหรือวัณโรค ท่านก็รักษาหายหมด หรืออย่างบางคนที่เป็นบ้า..คลุ้มคลั่งมาเลย ถึงขั้นที่ญาติที่พามาต้องเอาโซ่ล่ามไว้ก่อนเพราะกลัวจะหนีไปที่อื่น แต่พอมาเจอหลวงปู่เท่านั้น..อาการที่บ้า ๆ ที่กำลังเป็นอยู่.. ก็สงบลงอย่างประหลาด และสุดท้ายหลวงปู่ท่านก็ทำวิชชาแก้โรคให้หายได้อย่างอัศจรรย์...”
คนป่วยที่มาหาหลวงปู่ในสมัยนั้น มีตั้งแต่ระดับรากหญ้าจนถึงระดับไฮโซ อย่างเช่น คุณหญิงลมุน บุรกรรมโกวิท ภรรยา พ.อ.หลวงบุรกรรมโกวิท อดีตอธิบดีกรมโยธาธิการ และคณะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม ท่านก็มาขอบารมีหลวงปู่ให้ทำวิชชาแก้โรคให้ ซึ่งพอคุณหญิงหายป่วย ก็เกิดจิตศรัทธาอย่างแรงกล้า เข้าวัดปฏิบัติธรรมและกลายเป็นอุปัฎฐากใหญ่ของวัดปากน้ำไปในที่สุด
หรืออย่างลูกศิษย์หลวงปู่อีกท่านหนึ่ง คือ พลตรีโสภณ กะราลัย ในช่วงที่ท่านมีลูกคนแรกอายุได้ประมาณ 8 เดือน อยู่ ๆ หลวงปู่ก็ให้คนไปบอกที่บ้านพักในกรมทหารว่า “ให้ระวัง..ลูกจะเจ็บหนัก”
ซึ่งพ่อคุณประทุม..ภรรยาของพลตรีโสภณฟังแล้วก็นึกสงสัยว่า.. “ลูกจะเจ็บป่วยได้อย่างไร ในเมื่อขณะนั้นลูกยังแข็งแรงดีไม่มีทีว่าจะเจ็บป่วย” แต่เมื่อทราบจากหลวงปู่เช่นนั้น ก็พยายามระมัดระวังดูแลลูกอย่างดีที่สุด แต่ต่อมาอีก 2-3 วัน จู่ ๆ.. ลูกเจ็บป่วยเป็นโรคบิดขั้นรุนแรง จนหมอไม่รับรองว่าจะรอดชีวิต
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พลตรีโสภณเกิดอาการร้อนรนรีบมาถวายใบแจ้งอาการป่วยของลูกแด่หลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ท่านก็บอกว่า “มันจะเอาไป เราต้องต่อสู้กันหน่อย จะแก้ไขให้” จากนั้นหลวงปู่ก็สั่งพระและแม่ชีทำวิชชาแก้โรคให้ และสุดท้าย..ลูกของพลตรีโสภณก็รอดชีวิต หายเป็นปกติอย่างเหลือเชื่อ
และอีกครั้งหนึ่ง ในช่วงที่คุณประทุมตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 ก็มีอาการแพ้ท้องอย่างรุนแรง กินข้าวไม่ได้เลยถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลนานเกือบเดือน แต่ก็ไม่ดีขึ้น จนหมอมาบอกว่า “เคสนี้..ต้องเอาเด็กออก ไม่งั้น..แม่จะตาย”
จากนั้นหมอก็ยื่นเอกสารมาให้พลตรีโสภณเซ็นยินยอมเพื่อให้รีบเอาเด็กออก เพราะหากช้ากว่านี้ แม่เด็กจะเสียชีวิต แต่พลตรีโสภณก็ไม่ยอมจึงร้อนรนรีบมากราบหลวงปู่ว่า “ผม..ไม่อยากฆ่าลูก แต่ถ้าไม่ฆ่าลูกก็เหมือนฆ่าแม่” ซึ่งหลวงปู่ก็ตอบกลับว่า “เออ..ไม่ต้องฆ่าใครหรอก.. จะเอาไว้ทั้ง 2 คนนั่นแหละ..!!!” จากนั้นหลวงปู่ก็ใช้วิชชาธรรมกายช่วยชีวิต ซึ่งปรากฏว่าอยู่ ๆ คุณประทุมก็มีอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างประหลาด จนหมอตัดสินใจไม่ทำแท้งและสุดท้าย..ก็รอดปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูก อย่างที่หลวงปู่บอกจริง ๆ...
นอกจากเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยแล้ว คนที่มีปัญหาเรื่องการคลอดลูกยาก ก็จะมากราบขอบารมีหลวงปู่ ซึ่งเขาก็จะเอากล้วยน้ำว้าไปถวายให้หลวงปู่ท่านซ้อนวิชชาธรรมกายให้ เมื่อหลวงปู่รับไปแล้วท่านก็เอาไปไว้ในมือท่าน จากนั้นท่านก็หลับตานิ่ง ๆ ครู่เดียว แล้วก็ส่งกล้วยน้ำว้าคืน เพื่อเอาไปให้ที่คนจะคลอดลูกกิน ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกมาก คือ พอคนใกล้คลอดกินกล้วยน้ำว่าที่หลวงปู่ซ้อนวิชชาธรรมกายไปเท่านั้นเอง ปรากฏว่า คลอดลูกง่ายมาก ๆ เพราะแค่รู้สึกปวดท้องนิด ๆ ก่อนคลอดเท่านั้น และก็คลอดปรื้ดออกมาเลย ซึ่งวิชชาธรรมกายของหลวงปู่สามารถทำได้เกินกว่าศาสตร์ของแพทย์จะหยั่งถึง...
จากหนังสือ อานุภาพหลวงปู่..ยุคต้นวิชชา