ความพร้อมไม่มีในโลก

วันที่ 17 เมย. พ.ศ.2563

ความพร้อมไม่มีในโลก

 

                                 อย่าหายใจทิ้งเปล่านะลูกเอ๋ย

                                ออกเขาเคยหยุดนิ่งดิ่งกลางศูนย์

                                    ก็ให้ทำอย่างเคยจักจำรูญ

                                     บุญเพิ่มพูนทับทวีทุกวี่วัน

                                                                                                                                                                              ตะวันธรรม

 

                       เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ไปตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะ การทำใจให้บริสุทธิ์เพื่อเข้าถึงพระรัตนตรัย ในตัวไม่จำกัดกาลเวลาและสถานที่ ที่ตรงไหนที่เรานึกถึงพระรัตนตรัย สถานที่ตรงนั้นเป็นอริยะ เป็นที่สว่างที่บริสุทธิ์เป็นแหล่งกำเนิดแห่งบุญกุศลขึ้นมาในใจของเรา

 

         เพราะฉะนั้นเราหมั่นฝึกฝนไปเรื่อย ๆ ทั้งหลับตาลืมตา ทุกอิริยาบถ ทุกสถานที่ แม้ในห้องนํ้าที่เราจะต้องไปขับถ่ายอาหารเก่าอาบนํ้าอาบท่า ล้างหน้า แปรงฟัน ก็เป็นสิ่งที่สมควรทำอย่างยิ่ง

 

                      ฝึกทุกวัน แล้วก็หมั่นสังเกตว่า เราวางใจอย่างไร นึกอย่างไรระคองใจอย่างไร วันนี้ใจจึงอยู่ที่ศูนย์กลางกายอย่างนิ่ง ๆ นุ่มๆ เบาสบายได้ต่อเนื่อง หรือวันใดเราทำย่างไรจึงได้ผลตรงกันข้าม สิ่งนี้ไม่มีใครทำแทนกันได้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวของเราเอง

 

                    เราต้องสังเกต ต้องแก้ไขและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องโดยไม่จำกัดกาลเวลาและสถานที่

 

                   อย่าไปคอยความพร้อมแล้วจึงค่อยทำ เพราะความพร้อมในโลกมนุษย์นี้หาได้ยากอย่างยิ่ง ความพร้อมอยู่ที่เราลงมือทำอย่างต่อเนื่องเท่านั้นเอง ทำทุกสิ่งควบคู่กันไป ปัญหามีเราก็แก้ งานในชีวิต ประจำวัน เราก็ทำไปบุญก็ต้องสร้าง สมาธิก็ต้องนั่ง ทำทุกสิ่งไปพร้อม ๆ กันอย่าไปคอยให้ทุกสิ่งพร้อม เพราะความตายไม่มีนิมิตหมาย และความพร้อมจริง ๆ หาได้ยากยิ่ง

 

                  แม้แต่บรมโพธิสัตว์เจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งพระองค์มีความพร้อมมากกว่าเราในทุกด้าน ท่านยังต้องสละทุกสิ่ง ปลีกวิเวกหาที่รื่นรมย์ในการแสวงหาสิ่งที่ดีกว่าที่ท่านมีอยู่ ก็แปลว่า ความพร้อมอยู่ที่ใจท่านพร้อมลงมือทำทันที นับประสาอะไรกับเราซึ่งหยาบ ๆ นี้เราไมมีความพร้อมเท่ากับท่าน ดังนั้นเราก็ต้องทำควบคู่กันไป

          เพราะฉะนั้นตอนนี้เราก็ประคองใจไป นิ่ง ๆ นุ่ม ๆ เบา ๆสบาย ๆ นึกถึงดวงใส ๆ หรือองค์พระใส ๆ ในกลางท้องของเราให้

 

                บางครั้งใจแวบไปคิดเรื่องอื่นบ้างก็ช่างมัน เพราะเรากำลังเป็นนักเรียนใหม่ ยังฝึกฝนอยู่ กับเราไม่ค่อยจะให้โอกาสตัวเองนั่งนาน ๆต่อเนื่อง

 

              นิ่งนาน ๆ เรานั่งบ้าง ไม่นั่งบ้าง มันก็นิ่งบ้าง ไม่นิ่งบ้าง เพราะฉะนั้นเราก็ค่อยประคองใจ ถ้ามันแวบไปเราก็ดึงกลับมาก็แค่นั้นเอง และก็ประคองต่อไป หยุดใจไว้เรื่อย ๆ

 

 ใจที่ถูกส่วน

              นึกถึงดวงหรือองค์พระให้ต่อเนื่อง นึกว่า “มีอยู่” และก็อยู่ตรงนั้นอย่างเบา ๆ สบาย ๆ แล้วเดี๋ยวก็ถูกส่วนเอง ตรงนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราฝึกฝนบ่อยไหม

 

               ถ้าฝึกฝนทุกวันมันจะค่อย ๆ ปรับปรุงของมันเอง จนกระทั่งก้าวไปสู่ความถูกส่วน ซึ่งตอนนั้นเราก็จะรู้ได้ด้วยตัวของเราเองว่า ถูกส่วนเป็นอย่างนี้ เพราะว่าเมื่อถึงตรงนั้นใจมันอยากจะอยู่อย่างนั้นนาน ๆ และก็ไม่มีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องการเห็นหรือไม่เห็น

 

              อยากอยู่กับอารมณ์อย่างนี้ พึงพอใจอย่างนี้นาน ๆ โดยไม่หวังสิ่งใดเป็นเครื่องตอบแทน อะไรจะเกิดหรือไม่เกิดก็ไม่ได้กังวล จะมืดหรือสว่างก็ไม่กังวล จะมีภาพมาให้เห็นหรือไม่มีให้เห็นก็ไม่กังวลสรุปว่าไม่กังวลกับอะไรทั้งสิ้น นั่นแหละถูกส่วน และใจก็จะเริ่มรู้สึกนุ่ม ไม่กระด้าง ความนุ่มของใจที่สัมผัสได้ เหมือนเราสัมผัสผ้านุ่ม ๆวัตถุที่นุ่ม ๆ แล้วเราก็มีความรู้สึกว่านุ่ม ๆ

 

ใจที่นุ่มนวล

 


               ใจเมื่อนุ่มนวล เราก็จะรู้ด้วยตัวของเราเองว่าใจนุ่มนวลแล้วถ้านุ่มนวล ใจก็จะนิ่งนาน นานขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น

 

            แล้วจะไม่สนใจสิ่งที่เราเคยได้ยินได้ฟังจากเพื่อนกัลยาณมิตรที่มาเล่าประสบการณ์ภายในของตัวเองหรือของคนโน้นคนนี้เราจะไม่สนใจมากเกินไป สนใจแค่เป็นเพียงกำลังใจให้กับตัวเองว่าสักวันหนึ่งเราก็จะมีประสบการณ์ภายในเช่นเดียวกับเขา ที่จะนำมา เล่าเป็นธรรมทานแบ่งปันให้กับเพื่อนมนุษย์

 

           ถึงตอนนั้นใจก็จะเริ่มนิ่ง นุ่ม นาน แล้วก็มีความสุขเล็ก ๆ หรืออย่างน้อยก็ไม่สุขไม่ทุกข์ ที่เขาเรียกว่า อทุกขมสุข คือ ไม่สุขแต่มันก็ไม่เป็นความทุกข์มันจะเป็น กลาง ๆ เฉย ๆ แต่ยังไมมีความสุข   อย่างที่เรายอมรับว่ามีความสุข

 

                แต่ ณ จุดนั้น ถ้าเราประคองต่อไป จากอทุกขมสุขหรือไม่สุขไม่ทุกข์นั้น ใจก็จะประณีตขึ้น เหมือนถูกกรองถูกกลั่นให้ละเอียดเข้าไปเป็นชั้น ๆ ใจจะใสขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น ความสุขก็จะเริ่มมา ในเบื้องต้น
จะรู้สึกโล่ง โปร่ง เบา สบาย ไม่อึดอัด ไม่คับแคบ ไม่มีข้อจำกัดสำหรับกายมนุษย์ว่า จะต้องโตเพียงแค่นี้ มีขอบเขตเพียงแค่นี้แต่ดูเหมือนเส้นรอบวงขอบเขตของกายถูกตัดออกไป

 

            ถ้าเป็นบ้านก็เหมือนกับพังฝาออกไป แล้วก็จะค่อย ๆ ขยายขึ้นไป กว้างขึ้น รู้สึกตัวโตขึ้น พองขึ้น ขยายขึ้น เบ่งบานขึ้น ซึ่งความเบ่งบานของใจที่ขยาย มาพร้อมกับความสุขที่เราสัมผัสได้ และ
ยอมรับว่า เออ เรามีความสุข ซึ่งแตกต่างจากที่เราเคยเจอบ้างนิดหน่อยแล้ว เหมือนไปเหยียบชานเรือนแห่งความสุข คล้าย ๆ กับเราเข้าไปใกล้แหล่งนํ้าตก หรือชายทะเล เราได้ยินเสียงนํ้าตก เสียงคลื่นกระทบฝั่ง แล้วมีความรู้สึกว่า เออ เราใกล้สิ่งนั้นเข้าไปแล้ว

 

                  ถ้าได้รับละอองนํ้ากระเซ็นมาก็เริ่มมีความรู้สึกสดชื่นเล็ก ๆ ขึ้นมาความสุขภายในก็เช่นเดียวกัน มันก็จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น

 

                       ทำตัวเหมือนหุ่นยนต์สิ่งที่เราจะต้องทำมีเพียงอย่างเดิมอย่างเดียว คือ หยุดนิ่งนุ่มเบา สบาย เฉย ๆ ไม่ว่าจะมีความสุขเพิ่มขึ้นแค่ไหนก็เฉย ๆ มีภาพมาปรากฏให้เห็นก็เฉย ๆ มีแสงสว่างเกิดขึ้นก็เฉย ๆ อย่าไปแสวงหาคำตอบ ต้องหัดทำตัวเป็นมนุษย์หุ่นยนต์ที่ไม่มีมันสมอง คิดไม่เป็นวิเคราะห์ไม่เป็น วิจัยวิจารณ์ไม่เป็น นิ่งอย่างเดียว แช่อิ่มอยู่ในความสุขสบายนั้นไปเรื่อย ๆ

 

                    อย่าเพิ่งไปอยากรู้อะไร ในเมื่อมันยังไม่ถึงเวลา อย่าเพิ่งไปชิงสุกก่อนห่ามในการเรียนรู้ เพราะเราเพิ่งจะฝึกให้ได้หยุดแรก และหยุดแรกเกิดขึ้นก็มีประสบการณ์ภายในระดับหนึ่ง เหมือนเพิ่งเรียน
ก.ไก่ ข.ไข่ อย่าไปถึงขั้น Advance ว่า ทำไมไม่เรียก ก.ไผ่ ทำไมเรียกก.ไก่ เพราะมันยังไม่ถึงเวลา

 

                  หน้าที่ของเราคือ นิ่ง นุ่ม เบา สบาย ผ่อนคลาย เฉย ๆไม่คิดอะไร ทำตัวเหมือนหุ่นยนต์อย่างนั้นแหละ นิ่ง ๆ มีอะไรให้ดูเราดูไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น เดี๋ยวเราจะสมปรารถนาในชีวิต ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ อย่างที่มหาเศรษฐีของโลกไปไม่ถึง ไม่มีอะไรที่จะง่ายไปกว่านี้ ที่ทำใจหยุดนิ่งนุ่มเบา สบาย ผ่อนคลาย มีอะไรให้ดูก็ดูไป ดูไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆโดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น

 

              มีดวงมาให้ดู เราก็ดูดวง มีแสงสว่างมาให้ดู เราก็ดูแสงไม่ต้องไปคิดต่อว่าแสงมาจากไหน ใครเอาไฟมาส่องเรา เราลืมปิดไฟหรือเปล่า ซึ่งมักจะเป็นกันเป็นส่วนมาก สำหรับนักเรียนใหม่ที่ทำตัวเหมือนหุ่นยนต์ไม่เป็น ทำให้ใจต้องถอยหลังกลับมาสู่จุดเริ่มต้นใหม่อีก ก็เท่ากับเราไปสกัดกั้นความก้าวหน้าของใจที่ต้องการความละเอียด ด้วยความขี้สงสัยของเรานั่นเอง

 

                   เมื่อมันยังไม่ถึงเวลาที่จะสงสัย เราก็อย่าเพิ่งไปทำตอนนั้นแต่ถ้ามันถึงเวลาแล้ว เมื่อเราเข้าถึงธรรมกาย ศึกษาวิชชาธรรมกายได้แล้ว ตอนนั้นแหละเราจะเริ่มเอาคำถามขึ้นมาใช้ถามกับเราอย่างเช่น ทำไมต้องเป็นดอกบัว ดอกบัวมีความเกี่ยวข้องกับความดีและพระพุทธศาสนาอย่างไร ก่อนเรามาเกิดเรามาจากไหน
อะไรอย่างนี้เป็นต้น

 

                  แต่ตอนนี้เราเป็นนักเรียนอนุบาล กำลังฝึกเรื่องหยุดนิ่งซึ่งเราไม่เคยฝึกกันมาก่อนในชีวิต ก็ต้องให้มันเป็นไปตามขั้นตอนของการศึกษาเรียนรู้ชีวิตภายในมันมีความลับของชีวิตอีกเยอะแยะที่เราจะต้องเรียนรู้ ซึ่งเราก็ยังไม่รู้ด้วยว่าอะไรคือความลับของชีวิตอีกมากมาย เวลาที่เหลืออยู่นี้เราก็ฝึกฝนกันไป ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบ ๆ นะ

 

                                                                                       อาทิตย์ที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

จากหนังสือ ง่ายเเต่ลึก เล่ม 1
                                                                                                              โดยคุณครูไม่ใหญ่

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.025705214341482 Mins