เเสวงหาพระอรหันต์

วันที่ 03 มิย. พ.ศ.2563

เเสวงหาพระอรหันต์

                  หลายคนที่จิตใจใฝ่บุญใฝ่กุศล แสวงหาเนื้อนาบุญอันเลิศ ทำบุญทั้งทีก็อยากได้บุญใหญ่ อยากได้บุญเยอะๆ จึงเดินทางไกลเที่ยวตามหาพระอรหันต์ ตามหาพระผู้ทรงอภิญญาทั้งหลาย เพื่อจะได้ทำบุญใหญ่กับท่าน เเต่ความเป็นจริงนั้น เป็นเรื่องที่รู้ได้ยากว่าพระรูปใดเป็นพระอรหันต์ เเล้วเราจะทำอย่างไร ที่เราจะได้ทำบุญ ประดุจว่าเราทำบุญกับพระอรหันต์...

 

เจริญพร ...


              " หลวงพี่ พระมหาทศพร มาพบกันอีกครั้งกับธรรมะสบายๆ ฟังเพลินๆ ได้เเง่คิด ธรรมะจากพระไตรปิฎก วันนี้หลวงพี่มีเรื่องเกี่ยวกับการเเสวงหาพระผู้ที่จะเป็นเนื้อนาบุญให้กับเรา  พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสไว้อย่างไรบ้าง เเล้วทำอย่างไร เราจะได้บุญใหญ่ๆ เรามาฟังกันเลย...

 

              เบื้องหลังของชีวิตทุกคนนั้น ก็คือ บุญเเละบาป ที่เราได้สั่งสมไว้ในชาติเก่าก่อน บุญคือเบื้องหลังของความสุข ของชีวิต ส่วนบาปคือเบื้องหลังของความทุกข์ ของชีวิตทั้งปวง  ชีวิตมนุษย์บนโลกใบนี้มีเวลาอย่างจำกัด เพียงน้อยนิดเท่านั้น ดังนั้นเมื่อตั้งใจจะทำบุญจึงจำเป็นต้องรู้จักเเสวงหาเนื้อนาบุญ เพื่อจะได้ทำบุญน้อย เเต่ได้ผลมาก ยิ่งทำบุญมากก็ยิ่งได้ผลบุญมากทับทวีขึ้นไปอีก 

 

               พระพุทธเจ้าท่านทรงสรรเสริญการเลือกเนื้อนาบุญไว้ว่า เหมือนการหว่านข้าวกล้าลงไปในนาดี เมื่อปุ๋ยดี ดินดี ผลที่ได้ย่อมงอกงามไพศาล ท่านทั้งหลายจึงเที่ยวเเสวงหาสถานที่ทำบุญกับพระสงฆ์ตามวัดต่างๆ โดยตั้งใจว่าจะไปทำบุญกับพระสุปฎิปันโน เมื่อได้ยินข่าวว่า มีพระอริยเจ้าที่ไหน ก็ดั้นด้นข้ามน้ำ ข้ามทะเล ข้ามวัน ข้ามคืน เพื่อจะได้ไปทำบุญกับท่าน เพราะอยากได้บุญมาก อันนี้หลวงพี่ขออนุโมทนาบุญด้วย

 

              ..เเต่อยากจะขอเเนะนำเพิ่มเติมว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ทรงตรัสไว้ว่า เมื่อมนุษย์ทั้งหลายปรารถนาบุญ ท่านได้กระทำบุญ  บุญที่ให้เเล้วในหมู่สงฆ์จัดว่ามีผลมาก  เหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล มีเศรษฐีคหบดีท่านหนึ่ง เข้าไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสถามว่า ...


             ดูก่อนคหบดี ท่านยังทำทาน กับพระภิกษุสงฆ์อยู่หรือไม่ ...

 

             คหบดีก็ทูลตอบว่า ข้าเเต่พระองค์ผู้เจริญ กระผมยังให้ทานอยู่เป็นประจำ เเละการให้ทานนั้น กระผมให้เฉพาะพระภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์ หรือผู้บรรลุอรหันตมรรค ผู้ถือกาลอยู่ป่าเป็นวัตร ผู้ถือการเที่ยวบิณฑบาตรเป็นวัตร ผู้ถือธุดงควัตร มีการนุ่งห่มผ้าบังสกุลเป็นวัตร ไม่ได้ให้ทานเเก่พระภิกษุสงฆ์ทั่วไป  

 

              พระพุทธองค์จึงตรัสสอนว่า

              ... ดูก่อนคหบดี ท่านยังครองเรือนอยู่ เป็นเรื่องที่รู้ได้ยากว่า พระภิกษุรูปใดเป็นพระอรหันต์หรือไม่  ท่านไม่ควรให้ทานจำเพาะเจาะจง เเก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เพราะทานนั้น จะกลายเป็น ปาฏิปุคคลิกทาน  คือ ทานที่ให้จำเพาะเเก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งมีอานิสงส์น้อยกว่า การถวายเป็นสังฆทาน  

 

              ...ดูก่อนคหบดี ถ้าเเม้ภิกษุถือธุดงควัตร อยู่ป่าเป็นวัตร ถือผ้าบังสกุลเป็นวัตร หรือบิณฑบาตรเลี้ยงชีพเป็นวัตรก็จริงอยู่ เเต่พระภิกษุรูปนั้น ยังเป็นผู้ฟุ้งซ่าน ถือตัวจัด พูดพล่าม มีสติเลอะเลือน มีใจไม่มั่นคง ไม่สำรวมอินทรีย์ เมื่อเป็นอย่างนี้ภิกษุรูปนั้น ก็สมควรถูกตำหนิ เเม้เทวดาก็ไม่สรรเสริญ  เเต่ถ้าภิกษุรูปนั้น มีสติตั้งมั่น มีจิตตั้งมั่น มีอารมณ์เป็นหนึ่ง มีอินทรีย์สำรวม เมื่อเป็นอย่างนี้  ภิกษุนั้น พึงได้รับการสรรเสริญ จากทั้งมนุษย์เเละเทวดาทั้งหลาย

 

               เช่นกัน..ถ้าพระภิกษุอยู่วัดใกล้บ้าน เเต่เป็นผู้ฟุ้งซ่าน ไม่ตั้งใจประพฤติปฎิบัติธรรม ก็ต้องถูกตำหนิเหมือนกัน 

 

              ส่วนภิกษุรูปใด เเม้อยู่วัดใกล้บ้าน เเม้ไม่ได้สมาทานธุดงควัตร เเต่เป็นผู้มีจิตไม่ฟุ้งซ่าน มีอินทรีย์สำรวม มีกาย วาจา ใจ สะอาดบริสุทธิ์  พระภิกษุรูปนั้น ก็สมควรได้รับการสรรเสริญ เเละพระรูปนั้นก็เป็นเนื้อนาบุญอันเยี่ยม

 

              ดูก่อนคหบดี เเต่ถึงกระนั้นเชิญท่านทำบุญเป็นสังฆทานเถิด เมื่อท่านให้สังฆทานจิตจักเลื่อมใส  ผู้ใดมีจิตเลื่อมใส เมื่อตายไปจักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ 

 

              เมื่อคหบดีได้ฟังคำเเนะนำจากพระพุทธเจ้าเเล้ว ก็ทำตามที่พระพุทธองค์ทรงให้โอวาท ละโลกไป ก็ได้ไปเสวยสุขในสวรรค์

 

               เราจะเห็นได้ว่า การที่เราถวายทานจำเพาะเจาะจงเเด่พระอริยเจ้า ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เเต่ก็ยังจัดว่า เป็นปาฎิปุคคลิกทาน คือ ทานที่ให้จำเพาะเจาะจงเเด่พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ใจของผู้ให้นั้น ยังมุ่งถวายเเด่พระรูปนั้นๆอยู่  เเต่ถ้าใจของผู้ให้ขยายกว้างขึ้นออกไปอีก คือถวายเป็นสังฆทาน ถวายให้เเด่หมู่สงฆ์ ไม่จำเพาะเจาะจงรูปใดรูปหนึ่ง เมื่อให้ขาดจากใจเเล้วก็สุดเเล้วเเต่หมู่สงฆ์ว่า จะเห็นสมควรจะทำอย่างไรต่อกับวัตถุทานของเรา  ถ้าเราขยายใจได้เช่นนี้ เราก็จะได้บุญมาก มากกว่าการถวายทานเเบบจำเพาะเจาะจง 

 

               พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า .. ดูก่อนอานนท์ เราไม่กล่าวว่า การถวายทานเเบบปาฎิปุคคลิกทานนั้น มีผลมากกว่าสังฆทานใดๆเลย สังฆทานเป็นประมุขของผู้หวังบุญ พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญของชาวโลก ไม่มีเนื้อนาบุญอื่นยิ่งกว่า 

 

               จากเรื่องที่เราได้ฟังมา เราจะเห็นได้ว่า เราไม่ต้องเเสวงหาพระอรหันต์เลย เพียงเราตั้งจิตถวายเป็นสังฆทาน พระสงฆ์วัดไหนก็ได้ จะอยู่ป่า หรือ อยู่เมืองก็ได้ ก็สามารถเป็นเนื้อนาบุญให้กับเราได้ทั้งนั้น ขอเพียงเราตั้งจิตเป็นกลาง ถวายเเด่สงฆ์ทั้งหลาย เราก็จะได้บุญมาก การทำบุญน่ะอยู่ที่ใจ ถ้าเราใจเปิดกว้าง เราก็จะได้รับบุญมาก เป็นเหมือนภาชนะที่กว้างออกไป พร้อมที่จะรองรับฝน คือบุญที่ตกลงมาจากฟากฟ้า ถ้าใครทำใจกว้างได้มากเท่าไร ก็ยิ่งตักตวงบุญไปได้มากเท่านั้น ... "


ฟังธรรมะกันได้ที่ ... ธรรมะสบายๆ ฟังเพลินๆ ได้เเง่คิด ธรรมะจากพระไตรปิฎก

โดย พระมหาทศพร  ปุญญังกุโร

 

..กดที่รูปได้เลย..

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.03248116572698 Mins