ความเชื่อเรื่องตายเเล้วไม่สูญ

วันที่ 26 ตค. พ.ศ.2563

ความเชื่อเรื่องตายเเล้วไม่สูญ

                 การกลับชาติมาเกิด หรือตายแล้วไม่สูญ เป็นเรื่องที่มีผู้คนสงสัยและพยายามแสวงหาคำตอบกันมานาน ดังเช่นในสมัยพุทธกาล พระราชาองค์หนึ่งพระนามว่าพระเจ้าปายาสิ ผู้ครองเมืองเสตัพยะ

                 พระองค์ทรงสงสัยอย่างมากว่าคนเราตายแล้วสูญหรือไม่ จึงได้ทำการศึกษาทดลองมากมาย สุดท้ายทรงได้ข้อสรุปว่า ตายแล้วสูญ ไม่มีการเกิดใหม่ ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก พระองค์ทรงเชื่ออย่างนั้นเรื่อยมา

20225-1.jpg

                   จนกระทั่งวันหนึ่งพระองค์ได้พบพระอรหันต์ คือพระกุมารกัสสปะ จึงทรงเข้าไปสอบถาม เพราะคิดว่าคำสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนานั้นเป็นคำสอนที่ผิด

                   พระองค์ทรงประกาศกับพระกุมารกัสสปะว่า ตายแล้วสูญไม่มี การเวียนว่ายตายเกิดอีกพระกุมารกัสสปะ ทูลถามว่า เพราะเหตุใดจึงทรงเชื่อเช่นนั้น

                   พระเจ้าปายาสิตรัสเล่าถึงการทดลองของพระองค์ที่ทรงทำการทดลองในนักโทษประหารว่า ก่อนที่จะประหารนักโทษพระองค์จะสั่งนักโทษนั้นว่า เมื่อตายแล้วให้กลับมาบอกด้วยว่าชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร

                   นอกจากนี้ ยังทรงทดลองในคนเจ็บป่วยใกล้ตาย โดยพระองค์จะสั่งคนที่เจ็บป่วยไว้ว่า เมื่อตายไปแล้วถ้าชีวิตหลังความตายมีจริง ให้ช่วยมาบอกพระองค์ด้วยเช่นกัน แต่แล้วทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักโทษประหารหรือคนเจ็บ เมื่อตายแล้วก็หายเงียบไป ไม่เคยมีใครกลับมาเลย พระองค์จึงเห็นว่า ชีวิตหลังความตายไม่มี

20225-2.jpg

                        ได้ยินดังนั้น พระกุมารกัสสปะจึงทูลถามกลับไปว่าหากมีโจรคนหนึ่งได้ทำความผิดไว้ แล้วจะเดินทางเข้าไปในเมือง หากญาติบอกกับเขาว่า เมื่อเข้าเมืองได้แล้ว ให้ส่งข่าวมาด้วย ครั้นเขาเข้าเมืองไปแล้วถูกจับไปขังคุก เขาจะส่งข่าวได้ไหม

                        พระราชาตอบว่า ไม่ได้

                        พระกุมารกัสสปะจึงอธิบายว่า เช่นเดียวกันกับคนที่ประพฤติชั่ว เมื่อถึงคราวตายไปก็ต้องตกนรกลงอบาย แม้อยากจะกลับมาบอกข่าวใคร ก็มาไม่ได้ เพราะวิบากกรรมที่เป็นอกุศลดึงไปสู่อบายภูมิเสียแล้ว

                        พระราชาทรงแย้งว่า พระองค์ก็เคยทำการทดลองเช่นนี้กับคนดีมีศีลธรรมเช่นกัน โดยสั่งไว้ว่าถ้าชีวิตหลังความตายมีจริง ตายแล้วได้ไปสวรรค์จริง จงช่วยมาบอกด้วย แต่แล้วก็หายเงียบไปทุกคน ไม่เห็นมีใครกลับมาบอกเลย

                        พระกุมารกัสสปะจึงพูดอธิบายว่า ธรรมดาของเทวดานั้นมีความรู้สึกว่ามนุษย์มีกลิ่นเหม็นเหมือนกลิ่นอุจจาระปัสสาวะ เทวดาย่อมไม่อยากเข้าใกล้มนุษย์

                        พระเจ้าปายาสิรับสั่งว่า ในบรรดาคนที่ตายไปแล้วเหล่านั้น มีหลาย ๆ คนเป็นคนที่พระองค์ทรงคุ้นเคยรักใคร่ ดังนั้นแม้ว่าจะเหม็นเพียงไร เขาก็น่าจะกลั้นใจกลับมาบอกพระองค์บ้างสักนิดหนึ่งก็ยังดี

20225-3.jpg

cr: dmc.tv

                  พระกุมารกัสสปะจึงทูลอธิบายเกี่ยวกับเรื่องของเวลาว่า เวลาบนสวรรค์กับบนโลกมนุษย์ไม่เท่ากัน วันหนึ่งคืนหนึ่งบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เทียบเท่ากับ 50 ปีบนโลกมนุษย์ วันหนึ่งคืนหนึ่งบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เทียบเท่ากับ 100 ปีบนโลกมนุษย์

                 เมื่อเทพบุตรเทพธิดาขึ้นสวรรค์ไป เพียงแค่ขอเพลิดเพลินในวิมาน ทิพยสมบัติสักวันสองวันแล้วค่อยมาบอกข่าว เมื่อถึงเวลานั้นพระองค์ย่อมจะละจากโลกนี้ไปเสียแล้ว

                 พระเจ้าปายาสิฟังแล้วก็ยังไม่ยอมจำนน พระองค์ทรงเล่าถึงการทดลองของพระองค์ต่อไปอีกว่า พระองค์เคยนำนักโทษประหารมาต้มจนตาย โดยจับนักโทษใส่ลงไปในหม้อ ปิดฝาผนึกแน่น ไม่ให้มีการรั่วซึมใด ๆ เลย

                 เมื่อต้มจนมั่นใจว่านักโทษตายเรียบร้อยแล้ว จึงเปิดรูเล็ก ๆ คอยสังเกตว่าจะมีสิ่งใดออกมาทางรูนั้น เพราะหากวิญญาณมีจริง คงต้องเห็นแวบออกมาบ้าง ได้เฝ้าสังเกตอยู่นาน ก็ไม่เห็นมีอะไรออกมาเลย แสดงว่าคนเรามีแต่ร่างกาย ไม่มีวิญญาณ

                 พระกุมารกัสสปะจึงทูลถามว่า พระองค์เคยหลับแล้วฝันไปไหม เช่นฝันว่าไปเที่ยวในอุทยานของพระองค์เอง พระองค์ตอบว่า เคยฝันเช่นนั้น

20225-4.jpg

                  พระกุมารกัสสปะจึงทูลถามต่อว่า ขณะที่พระองค์ฝันว่าออกไปเที่ยวในอุทยาน พวกนางสนมกำนัลเห็นพระองค์ไหม

                  พระองค์ตอบว่า ไม่เห็น

                 พระกุมารกัสสปะจึงทูลว่า ก็ขนาดวิญญาณของพระองค์ออกไปเที่ยวในอุทยาน นางกำนัลยังไม่เห็นเลย แล้ววิญญาณของนักโทษที่ตายแล้วพระองค์จะเห็นได้อย่างไร

                 พระกุมารกัสสปะทูลอย่างนี้แล้ว พระเจ้าปายาสิก็ยังทรงเล่าถึงการทดลองของพระองค์ต่อไปอีกว่า พระองค์เคยใช้เครื่องชั่งซึ่งมีความละเอียดมาก มาชั่งน้ำหนักคนก่อนตายและเมื่อตายแล้ว

                 โดยเวลาห่างกันเพียงไม่กี่นาทีในการชั่งน้ำหนักจะถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมด เหลือแต่ตัวเปล่า ๆ แม้ก่อนจะตายก็ไม่ให้ดื่มน้ำ แล้วเปรียบเทียบว่าน้ำหนักจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ถ้าวิญญาณมีจริงและออกไปจากร่าง น้ำหนักคงจะต้องลดลงบ้าง แต่ผลปรากฏว่าน้ำหนักไม่ได้ลดลง ทั้งยังรู้สึกว่าร่างที่แข็งทื่อนั้นจะหนักขึ้นด้วยซ้ำ แสดงว่าวิญญาณไม่มีจริง

20225-5.jpg

                 พระกุมารกัสสปะจึงทูลว่า เมื่อเอาเหล็กไปเผาไฟจนร้อน เหล็กนั้นกลับดูเหมือนว่าเบาลง ทั้งที่มีธาตุไฟร้อนอยู่ ครั้นปล่อยให้เย็นลง เหล็กนั้นกลับดูเหมือนว่าหนักขึ้น ทั้งที่ความร้อนได้ออกไปแล้ว ร่างกายของคนเราก็เช่นกันกับเหล็ก นอกจากนี้วิญญาณ

                ยังเป็นของละเอียดมากไม่สามารถตรวจวัดด้วยเครื่องชั่งน้ำหนักได้

                พระเจ้าปายาสิได้ตรัสถามคำถามอีกมากมาย พระกุมารกัสสปะก็ทูลตอบทีละข้อ ๆ จนกระทั้งพระเจ้าปายาสิหายสงสัย แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ไม่ยอมเปลี่ยนความเชื่อ ทรงให้เหตุผลว่าชาวบ้านชาวเมืองตลอดจนพระราชาทั้งหลายต่างก็รู้ว่าพระองค์ไม่เคยเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย ทรงเกรงว่าจะต้องอับอาย และเสียศักดิ์ศรีหากใคร ๆ รู้ว่าพระองค์ได้เปลี่ยนความเชื่อเสียแล้ว

                พระกุมารกัสสปะจึงทูลถามว่า ถ้าคน ๆ หนึ่งแบกกระสอบหญ้าอยู่ แล้วไปเจอกระสอบป่านที่ไม่มีเจ้าของ เขาควรจะทิ้งกระสอบหญ้า แล้วแบกกระสอบป่านที่มีค่ามากกว่าไปแทนไหม

                พระองค์ตรัสตอบว่า ควรสิ

                พระกุมารกัสสปะจึงทูลถามต่อว่า แล้วถ้าเขาไม่ยอมทิ้งกระสอบหญ้า ด้วยเหตุว่าอุตส่าห์แบกมาตั้งนานแล้ว จะทิ้งก็เสียดาย จึงแบกกระสอบหญ้าต่อไป และแม้ว่าจะได้เจอของดี ๆ อีกมากมาย เช่น กระสอบผ้าไหม กระสอบเพชรนิลจินดา เขาก็ไม่ยอมทิ้งของเดิม คน ๆ นั้นโง่หรือฉลาดพระองค์ตรัสตอบว่า โง่มาก

                พระกุมารกัสสปะจึงทูลถามว่า แล้วพระองค์ควรจะเป็นคนโง่หรือคนฉลาด พระองค์จะยึดถือทิฐิที่ผิด เพียงเพราะเสียดาย ด้วยอุตส่าห์ถือมาตั้งนานแล้ว จึงจำต้องถือต่อไป หรือว่าพระองค์จะถือทิฐิที่ถูกต้อง เพื่อรู้เห็นในสิ่งที่ถูกต้องยิ่ง ๆ ขึ้นไป

                แต่นั้นมา พระเจ้าปายาสิก็หูตาสว่าง ยอมปรับความเห็นผิด แล้วหันมานับถือพระพุทธศาสนาจนตลอดชีวิต

                 พระเจ้าปายาสิเคยพยายามใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์หาความจริงของชีวิต แม้ต้องลงทุนด้วยชีวิตคนด้วยวิธีการอันน่ากลัว แต่ไม่ว่าจะปรับเปลี่ยนวิธีการอย่างไร ก็ไม่อาจเข้าถึงความจริง

20225-6.jpg

                   วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันนี้ ก็ยังคงพยายามแสวงหาความจริงของโลกและชีวิต โดยศึกษาว่า กลไกของโลก กลไกของชีวิตเป็นอย่างไร แล้วทำความเข้าใจไปตามแนวทางของพื้นฐานความรู้ที่มีอยู่คือ ชีววิทยา ฟิสิกส์ และเคมี เพื่อนำความรู้เหล่านี้มาใช้พัฒนาความเป็นอยู่ของคนเราให้สะดวกสบายขึ้น

                   เช่น นำความรู้ด้านชีววิทยามาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ นำความรู้ด้านฟิสิกส์และเคมีมาใช้ในการสร้างเครื่องจักร สร้างเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลาย จะเห็นว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่จะจำกัดอยู่ในเรื่องเหล่านี้

                   แต่มีอีกสิ่งหนึ่ง คือเรื่องของใจ ที่นักวิทยาศาสตร์ยังมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้น้อยมาก แม้นักจิตวิทยา นักจิตเวชก็ยังเข้าใจเพียงแค่ผิวเผิน เพราะนักจิตวิทยาเองก็ยังไม่เคยเห็นว่าใจของตนเองมีรูปร่างลักษณะอย่างไร ทำได้เพียงแค่สังเกตอาการ

                  แสดงออกของใจแล้วนำมาสรุปเป็นทฤษฎีต่าง ๆ ทางจิตวิทยาเท่านั้น

                  เมื่อขาดความรู้ในเรื่องของใจ ก็ขาดเครื่องมือที่จะศึกษาเรื่องชีวิตหลังความตาย และการไปเกิด มาเกิด เมื่อไม่รู้จะศึกษาอย่างไร จึงทำได้เพียงเก็บข้อมูลของผู้ที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการระลึกชาติ แต่ไม่สามารถศึกษาถึงกลไกของการเวียนว่ายตายเกิดได้ แต่ถึงกระนั้นก็ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการวิทยาศาสตร์

                   เพราะข้อมูลเกี่ยวกับการระลึกชาติที่เก็บได้นั้นมีเป็นจำนวนมากและมีความน่าเชื่อถืออีกด้วย ปัจจุบันจึงมีผู้ที่อยู่ในวงการวิชาการ เริ่มหันมาเชื่อเรื่องการเกิดใหม่ เรื่องชีวิตหลังความตายมากขึ้นเรื่อย ๆ

20225-7.jpg

                     มีคำถามว่า เหตุใดคนบางคนจึงระลึกชาติได้ ขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถระลึกชาติได้ คำตอบก็คือ กฎทุกกฎย่อมมีข้อยกเว้น แม้ว่าเมื่อคนเรามาเกิดในครรภ์มารดา แล้วจะลืมเรื่องราวต่าง ๆ ไปหมด

                    แต่ก็จะมีบางคนที่มาเกิดในจังหวะที่ลงตัวพอดี จึงมีความทรงจำเหลืออยู่ ซึ่งกลไกของการไปเกิดมาเกิดเหล่านี้ เราก็คงเห็นแล้วว่าเป็นเรื่องที่ยากจะศึกษา แม้จะใช้สุดยอดเทคโนโลยีหรือความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ทั้งหมด

                    ถ้าอยากจะเข้าใจเรื่องราวของการเวียนว่ายตายเกิดจริง ๆ จะต้องศึกษาตามหลักพระพุทธศาสนา คือการปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิให้ไปรู้ไปเห็นจริง ๆ เท่านั่น เมื่อใจเป็นสมาธิหยุดนิ่งเมื่อไรใจจะปรากฏให้เห็นเอง จะรู้ว่าใจเรามีรูปทรงเช่นไร

                     ประกอบขึ้นจากอะไร วิเคราะห์แยกธาตุ แยกส่วนได้หมด ทั้งเห็น จำ คิด รู้ ทั้งดิน น้ำ ไฟ ลม ว่าเป็นอย่างไร จะสามารถระลึกชาติได้ไม่ใช่เพียงแค่ชาติเดียว แต่นับร้อยนับพันชาติ หรืออสงไขยชาติก็สามารถทำได้ หากว่าใจหยุดนิ่งอย่างแท้จริง

                     ชาวพุทธทุกคนจึงนับว่าโชคดี มีบุญ ที่ได้รู้จักหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา เพราะทั้งเรื่องราวของการเวียนว่ายตายเกิด และหลักธรรมปฏิบัติต่าง ๆ

                     พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงบัญญัติขึ้น แต่พระองค์ได้บำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรมจนเข้าไปถึงความจริงของโลกและชีวิต แล้วทรงนำมาสั่งสอน ดังนั้นเราควรตั้งใจศึกษาให้ดี อย่ามัวเสียเวลาหลงทางลองผิดลองถูกอีกเลย

20225-8.jpg

                   ความเชื่อผิด ๆ ที่คิดว่าตายแล้วสูญนั้น เป็นอันตรายอย่างยิ่ง อาจนำไปสู่การดำเนินชีวิตที่ผิดพลาด และส่งผลร้ายไปอีกนับชาติไม่ถ้วน ตรงข้าม หากเราเชื่อมั่นในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน เชื่อว่าตายแล้วไม่สูญ

                    เราจะมีพลังใจที่สูงส่งในการทำความดี เราจะเป็นผู้รู้เหตุรู้ผล ไม่โอดครวญ ยามเมื่อชีวิตต้องเผชิญกับอุปสรรคหรือวิบากกรรม ที่สำคัญเราจะสามารถยับยั้งชั่งใจไม่ทำความชั่ว ไม่ว่าจะมีใครรู้เห็นหรือไม่ก็ตาม เพราะเรารู้แล้วว่าชีวิตไม่ได้สิ้นสุดแค่ชาตินี้

เจริญพร

พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.010643664995829 Mins