ลบเรื่องราวฝังใจ
เชื่อว่าหลายคนคงจะมีประสบการณ์กับเรื่องฝังใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอกหักรักขม หรือถูกกระทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ แล้วเราควรวางใจอย่างไร หรือฝึกใจอย่างไรให้ลืมเรื่องในอดีตที่เจ็บปวดเหล่านี้ได้
ถ้าเป็นประสบการณ์ที่เกิดแรงสั่นสะเทือนทางอารมณ์สูง เช่น เสียใจมาก ดีใจมาก บางเรื่องตลอดชีวิตไม่เคยลืมเลยเพราะได้ทิ้งร่องรอยในสมองไว้อย่างชัดเจน ฝังลึกอยู่ในเนื้อสมอง บางเรื่องเกิดมาแล้ว 30-50 ปีก็ยังไม่ลืม ถ้าเป็นเรื่องดี ๆ ที่คิดถึงแล้วสบายใจก็ย่อมดี
แต่เรื่องที่ฝังใจบางเรื่องก็เป็นเรื่องที่ทำให้เราเสียใจ เช่น คำพูดแรง ๆ ที่พ่อแม่พูดกับลูกจนเกิดเป็นบาดแผลในใจลูก จนทำให้พฤติกรรมของลูกเปลี่ยนไปกลายเป็นต่อต้านนับแต่นั้นเป็นต้นมา กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่เกิดขึ้นกับลูก
พ่อแม่รู้ว่าตนเองมีส่วนต้องรับผิดชอบที่ทำให้ลูกเกิดอาการต่อต้าน แต่ก็เป็นเพราะความรักผสมกับอารมณ์ชั่ววูบจึงรู้สึกว่าตนเองมีส่วนต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เคยทำไป เกิดความไม่สบายใจ แต่มันเกิดขึ้นแล้ว แก้ไขไม่ได้แล้ว
กลายเป็นปมในใจทั้งของลูกและพ่อแม่ไปแล้ว ในกรณีนี้ควรได้รับการเยียวยา โดยก่อนอื่นให้เรารู้ก่อนว่ายิ่งเราไปคิดทบทวนก็เหมือนเป็นการตอกย้ำ เพราะฉะนั้น หลวงพ่อให้หลักในการปฏิบัติไว้อยู่แล้วว่า “อดีตที่ผิดพลาดลืมให้หมด” ไม่ต้องไปนึกถึงอีก
ถามว่า...
จะลืมได้อย่างไร ในเมื่อพอเราอยากลืมมันกลับยิ่งจำ ยิ่งต่อต้าน ยิ่งทำให้กลับไปย้อนคิดเรื่องนั้น ๆ อีก ให้เราคิดว่าเราจะลืม แล้วไม่ไปคิดถึงบ่อย ๆ จนเป็นการตอกย้ำมโนกรรมขึ้นไปอีก โดยให้คิดทำแบบสบาย ๆ พอเราคิด ไม่ใช่ว่าหยุดได้เดี๋ยวนั้น สั่งตนเองไม่ได้ พอคิดก็ให้ปล่อย แล้วค่อยอ้อม ๆ กลับมา เหมือนกับกระสุนพุ่งไปแรง ๆ ถ้าเราเอาอะไรไปขวางมันก็ฝัง แต่ถ้ามีอะไร โค้งมนมารับ ทิศทางกระสุนก็เปลี่ยนไปได้
ให้เราใช้วิธีการเบี่ยงประเด็นในการคิด พอใจจะคิดเรื่องนี้ปั๊บก็นึกสิ่งที่เป็นบุญดีกว่า เป็นประโยชน์กว่า แล้วมาสวดมนต์ภาวนา ใจก็เปลี่ยนเป็นเรื่องสวดมนต์นั่งสมาธิแทน เปลี่ยนเป็นคิดเรื่องอื่นที่ดีๆ แทน
เพราะว่าเราให้เหตุผลกับตนเองได้ แก้ไขด้วยการทำสิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้น เพื่อเป็นประโยชน์กับคนที่เราทำไม่ดีด้วย พอรู้หลักแล้วว่าทุกอย่างอยู่ที่บุญ เราก็จะทำสิ่งที่เกิดบุญ คิดว่าพรุ่งนี้จะทำบุญใส่บาตรอย่างไร จะรักษาศีล สวดมนต์ นั่งสมาธิอย่างไร ก็ให้คิดไปทางที่ดีแทน พอเบี่ยงกระแสความคิดอย่างนี้ แล้วทำบ่อย ๆ เข้า ใจจะเริ่มรู้สึกว่าเรื่องเดิมที่ไม่ดีนั้นค่อย ๆ จางลงโดยที่เราไม่ได้ไปต่อต้านอะไร
ถ้าเราตั้งใจจริง จัดมุมคิดให้ดี คนที่หมั่นคิดบวก พอมีอะไรเกิดขึ้นก็คิดไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ความทรงจำเรื่องที่ไม่ดีในอดีตก็จะเบาบางลง แต่คนที่ชอบคิดลบ พอมีเรื่องอะไรผิดพลาดขึ้น ก็มักจะคิดทบทวนซ้ำ ๆ ตอกย้ำไปเรื่อย ๆ ทำให้เกิดผลเสีย
ยกตัวอย่างครั้งพุทธกาล มีชายผู้หนึ่งชื่อปุณณะฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนเกิดศรัทธาขอบวช แล้วปฏิบัติธรรมแต่ยังไม่บรรลุธรรม
วันหนึ่งท่านเกิดความรู้สึกว่า ถ้าตนเองได้ไปอยู่ในที่คุ้นเคย ที่ดินแดนแถบบ้านเกิดน่าจะปฏิบัติธรรมได้ดีกว่า จึงมา กราบทูลลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าจะขอกลับไปที่แคว้นสุนาปรันตะ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ เธอคิดดีแล้วหรือ ” เพราะรู้ว่าคนที่นั่นเป็นคนดุร้าย
พระปุณณะตอบว่า “ ข้าพระองค์ทนได้พระเจ้าค่ะ ”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงล่วงรู้ทั้งหมด แต่ต้องการตอกย้ำความตั้งใจ จึงตรัสต่อไปว่า “ถ้าไปแล้วมีคนมิจฉาทิฐิมารุมด่าว่าเธอ เธอจะทำอย่างไร”
พระปุณณะกราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ข้าพระองค์จะคิดว่า เขาด่ายังดีกว่าเขาตีพระเจ้าค่ะ”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามต่อว่า “ถ้าเขาลงไม้ลงมือตีเธอ เธอจะว่าอย่างไร”
“...ข้าพระองค์จะคิดว่า เขาตียังดีกว่าเขาขว้างปาก้อนดินใส่พระเจ้าค่ะ ”
“แล้วถ้าเขาเอาก้อนดินขว้างเธอ เธอจะทำอย่างไร”
“...ข้าพระองค์จะคิดว่า ยังดีกว่าเขาเอาไม้มาตีหัวพระเจ้าค่ะ ”
“แล้วถ้าเกิดเขาเอาไม้มาทุบเธอจริงๆ เธอจะทำอย่างไร”
“…ข้าพระองค์จะคิดว่า ยังดีกว่าเขาเอาหอกดาบมาเสียบแทงพระเจ้าค่ะ ”
“แล้วถ้าเกิดเขาเอาหอกเอาดาบมาเสียบแทงเธอ เธอจะทำอย่างไร”
“...ข้าพระองค์จะคิดว่า ดีแล้วพระเจ้าค่ะ บางคนอยากตาย ยังต้องหาวิธีมากมายมาทำให้ตาย ”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงอนุญาตให้พระปุณณะเดินทางไปแคว้นสุนาปรันตะได้ พระปุณณะตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรมไม่นานก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในพระพุทธศาสนา
จะหาใครที่คิดบวกยิ่งไปกว่านี้ได้ยาก ต่อให้โดนตีหรือถูกทำร้ายจนตาย ยังคิดบวก เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่มีปัญหาแล้ว เรื่องไม่ดีที่เคยผ่านมาในอดีต ถ้าเรามองเห็นมุม ดี ๆ ที่ซ่อนอยู่ได้ มุมมองความรู้สึกของเราก็จะเปลี่ยนไปในทางบวก สภาวะจิตก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดี เกิดเป็นวงจรบวกขึ้น
ดังนั้น บางเรื่องถ้าเราอยากลืมก็ไม่ยากแล้ว เพราะเราสามารถปรับสภาพใจตนเองได้ การลืมอีกนัยหนึ่งเป็นกลไกการป้องกันตนเอง บางเรื่องที่ร้ายแรงมาก ๆ บางคนลืมไปเลยก็มี ลองสังเกตว่าบางคนที่ประสบอุบัติเหตุจนสลบไป พอตื่นมาจำเหตุการณ์ช่วงนั้นไม่ได้เลยก็มี เหมือนกับร่างกายปกป้องตนเองไม่ให้จดจำเรื่องราวไม่ดีนั้น
เพราะฉะนั้น อดีตที่ผิดพลาดลืมให้หมด อย่าไปคิดตอกย้ำ ถ้าหากว่าใจยังอยากคิด ก็ไม่ต้องไปบอกให้ใจหยุดทันที แต่ให้ เราค่อย ๆ ปรับจูนสภาพจิตใจ แล้วหมั่นน้อมคิดไปในทางดี คิดในทางบวก คิดในทางกุศล คิดสร้างบุญสร้างกุศล ทาน ศีล ภาวนาอย่างนี้ดีกว่า
เจริญพร
พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ