หลักคิดการให้ของเศรษฐี
เศรษฐีจำนวนไม่น้อย ส่วนใหญ่พอร่ำรวยแล้ว ถึงแม้ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา แต่พวกเขาก็มักจะมีความคิดในการให้ เช่น จัดตั้งมูลนิธิต่างๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือคนยากจนและคนลำบาก เช่น จัดตั้งกองทุนเพื่อการวิจัยยาต้านโรคเอดส์ โรคอีโบล่า หรือสนับสนุนการศึกษาให้กับเด็กๆ ในประเทศที่ยากจน เป็นต้น
ยกตัวอย่าง บิล เกตส์ นักธุรกิจชาวอเมริกันจัดตั้งมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือด้านต่างๆ ส่วน มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ก็จัดตั้งกองทุนช่วงที่เขามีลูกคนแรก วัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือสังคม เป็นต้น
ความคิดในการสงเคราะห์โลกอย่างนี้คือโอกาสในการสร้างบุญ เราอย่าไปนึกว่าทำบุญทั่วไป ช่วยเหลือคนลำบากยากจนจะได้บุญเพียงน้อยนิด อย่าไปคิดอย่างนั้น เราทำบุญช่วยเหลือคนที่กำลังยากลำบาก แม้เขาจะไม่ใช่ชาวพุทธ ไม่ใช่คนมีศีล เราก็ได้บุญ ผลบุญเกิดมาก เราอย่าไปดูแคลนว่าเล็กน้อย
ยิ่งถ้าได้ทำบุญถูกเนื้อนาบุญ ทำบุญถูกหลักพระพุทธศาสนา บุญนั้นจะยิ่งมากมายทวีคูณ คือทำบุญกับคนไม่มีศีล ได้บุญมากกว่าทำบุญกับสัตว์ แล้วถ้าทำบุญกับคนมีศีล ก็ยิ่งได้บุญมากขึ้นไปอีก หากทำบุญกับผู้เป็นพระอริยบุคคล ก็ยิ่งได้บุญมากกว่า ผลบุญทวีคูณยิ่งๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ นั่นเอง
ดังนั้น เศรษฐีทั่วโลกที่มีความคิดในการสงเคราะห์โลกเขาก็ยังได้เติมบุญ ยิ่งถ้าเขาได้ทำบุญถูกเนื้อนาบุญด้วยแล้ว บุญก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ยกตัวอย่าง อนาถบิณฑิกเศรษฐี ผู้เป็นอุปัฏฐากใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนาครั้งพุทธกาล สร้างเชตวันมหาวิหารแบบทุ่มสุดตัว นำเงินไปเรียงเต็มพื้นที่เพื่อซื้อที่ดินจากเจ้าของเดิมที่ไม่ยอมขาย จนเจ้าของที่ดินใจอ่อน แบ่งที่ดินส่วนท้ายตรงซุ้มประตูเพื่อร่วมทำบุญถวายวัดด้วย แต่มีเงื่อนไขว่าต้องใช้ชื่อตนเองตั้งเป็นชื่อวัด ซึ่งเจ้าของที่ดินเดิมชื่อ เชษฐ์
พออนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ยินดังนั้นก็ไม่ขัดศรัทธา เพราะตนเองต้องการทำบุญจริงโดยไม่ต้องการเอาหน้า จึงบอกกับเจ้าของที่ดินว่า ท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ มีชื่อเสียง ผู้คนต่างรู้จัก จะใช้ชื่อท่านเป็นชื่อวัดก็น่าจะดี แทนที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีจะใช้ชื่อตนเอง ก็สละให้ใช้ชื่อว่า “วัดเชตวัน” ตามชื่อคนที่ร่วมบุญเพียงนิดเดียว
ในขณะนั้น อนาถบิณฑิกเศรษฐีบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว จึงเข้าใจหลักความจริงของโลกและชีวิตเรื่องบุญยิ่งกว่าคนทั่วไป เพราะเข้าถึงพระรัตนตรัยภายในด้วยตนเองแล้ว
อนาถบิณฑิกเศรษฐีไม่ได้ทำบุญแต่กับพระสงฆ์เท่านั้น ท่านยังทำทานแก่คนยากจนด้วย ท่านตั้งโรงทานเลี้ยงทุกคนในเมือง ใครหิว ใครอดอยาก ไม่มีเงินทอง ก็ทำอาหารเลี้ยงทุกวัน เป็นเศรษฐีผู้มีก้อนข้าวให้กับคนยากจนตลอดเวลา
ส่วนคนที่ไม่ชอบทำบุญ ส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ชอบให้ทานด้วย แล้วปลอบใจตนเองด้วยการโจมตีคนทำบุญว่าหลงบุญบ้าง บ้าบุญบ้าง ต่างๆ นานา คือพูดเพื่อหาเหตุว่าฉันไม่ทำเพราะฉันไม่หลงบุญ แต่จริงๆ แล้วมีความขี้เหนียว เกิดความตระหนี่ห่อหุ้มใจ
เพราะฉะนั้น ให้เราตระหนักในคุณค่าของบุญ ตั้งใจสร้างบุญในพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่ แล้วไม่ลืมที่จะสงเคราะห์ชาวโลก หรือบุคคลผู้ด้อยโอกาสที่เขาลำบากกว่าเรา คอยช่วยเหลือเกื้อกูล มอบน้ำใจซึ่งกันและกัน
โลกเราจะน่าอยู่ยิ่งขึ้น เราเองก็มีความสุขใจไม่ต้องรอผลบุญในชาติหน้าเลย ผลบุญเกิดเดี๋ยวนี้คือ ใจเราโปร่งสบาย บุญหล่อเลี้ยงใจ ชื่นใจ มีความสุขใจ แล้วชีวิตจะดียิ่งขึ้นๆ ตั้งแต่ชาตินี้ แล้วชาติหน้าก็จะดียิ่งขึ้นไปอีก
เจริญพร
พระมหาสมชาย ฐานวุฒฺโฑ