บทที่ ๕ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือผู้หาทางออกจากกรงขังสำเร็จ และพาผู้อื่นออกได้ด้วย

วันที่ 02 กย. พ.ศ.2565

2-9-65-3-b.jpg

บทที่ ๕  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือผู้หาทางออกจากกรงขังสําเร็จ และพาผู้อื่นออกได้ด้วย


              พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ทรงอุบัติบังเกิดขึ้นในโลกแต่เดิมก็เป็นมนุษย์ทั่วไปอย่างเราๆ ทำดีบ้างทำชั่วบ้างคละเคล้ากันไป แล้วก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ ภพโน้นบ้างภพนี้บ้าง เวียนอยู่ทั้ง ๓๑ ภูมิ นับเวลายาวนานประมาณไม่ได้ว่ากี่ล้านชาติ ไม่ทราบชาติแรกและชาติสุดท้าย ถูกความทุกข์ในการเกิดๆ ตายๆ ครอบงำอยู่ตลอดมาจนกระทั่งมีอยู่ชาติหนึ่งเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย มองเห็นความทุกข์ของชีวิต ใคร่อยากหาทางหลุดพ้นจากความทุกข์ และถ้าพบทางหลุดพ้น เมื่อใดตนเองปฏิบัติสำเร็จแล้วจะต้องช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้รอดพ้นด้วย ตั้งแต่นั้นมา ก็ลองผิดลองถูก ค้นหาหนทางพ้นทุกข์ ชาติแล้วชาติเล่าที่เกิดขึ้น
           

                เวลาใดที่ตั้งใจดังกล่าวแล้วนี้ เรียกว่าผู้นั้นเป็นพระโพธิสัตว์แล้ว เพียงแต่ยังมีสภาพไม่แน่นอน บางชาติอาจหลงลืม พลาดพลั้งไปทำบาปกรรมขึ้นมาใหม่ ต้องกลับไปรับผลกรรมในอบายภูมิ เสียเวลาค้นคว้าหาทางพ้นทุกข์ บางครั้งเป็นเวลาหลายๆ หมื่นปีเมื่อมีสติปัญญานึกได้เริ่มกระทำใหม่ กลับไปกลับมาลองผิดลองถูกอยู่เป็นเวลายาวนานคำนวณนับกันไม่ได้ จึงเรียกกันว่าเป็นกัป จนกระทั่งสะสมความตั้งใจและบำเพ็ญคุณงามความดีได้เต็มที่ พอได้มีโอกาสเกิดมาพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งเข้า
           

                ในชาตินี้เอง ได้มีโอกาสสร้างบุญกุศลใหญ่ในสำนักพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระองค์ทรงพยากรณ์ให้ว่า จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ในอนาคตกาล นับจากนั้นจะกลายเป็นพระโพธิสัตว์ชนิดถาวร เรียกว่า “นิยตโพธิสัตว์” ใจแน่วแน่มั่นคงไม่กลับไปกลับมาอีก เที่ยงแท้แน่นอนที่จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
           

              เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์ดังนี้แล้ว พระโพธิสัตว์นั้น จะไม่บังเกิดในภพภูมิที่อาภัพ อีกเลย ไม่เกิดเป็นชีวิตที่มีอุปสรรค หรือเสียเวลาสร้างบารมี คือจะไม่เป็น

๑. คนป่า เพราะไม่มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน ไม่พบกัลยาณมิตรให้คำแนะนำชี้ทาง
๒. เทวบุตรมาร ซึ่งเป็นเทวดามิจฉาทิฏฐิ เช่นเชื่อว่า ชีวิตเวียนว่ายตายเกิดเป็นของดี ไม่เห็นความจริง
๓. อสัญญีสัตตาพรหม พรหมที่มีแต่รูปร่าง ไม่มีความรู้สึกนึกคิด ทำให้ปัญญาไม่เจริญงอกงาม
๔. สุทธาวาสพรหม พรหมที่เป็นพระอนาคามีบุคคลแล้ว จะต้องบรรลุเป็นพระอรหันต์ในไม่ช้า

๕. มนุษย์ทวีปอื่นที่ไม่ใช่ชมพูทวีป เพราะที่นั่นไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ไม่มีพระพุทธศาสนาเกิด
๖. อรูปพรหม เป็นพรหมที่ทำฌานจิตด้วยเอาสิ่งที่ไม่มีรูปมากำหนดเป็นอารมณ์มีอายุยืนมาก เสียเวลา ไม่มีประสาทหูประสาทตาฟังธรรม
๗. ผู้หญิง เป็นเพศที่มีจิตใจไม่ใคร่เข้มแข็ง สร้างบารมีได้ไม่มาก ร่างกายเป็นอุปสรรค
๘. คนบอด หนวก ใบ้ ความพิการทำให้แสวงหาความรู้ได้ยาก ไม่มีอวัยวะใช้งาน
๙. ลูกทาส ไม่มีอิสระแก่ชีวิต ไม่เป็นไทแก่ตน ทำสิ่งใดได้ยาก เพราะอยู่ในความควบคุมของผู้อื่น
๑๐. คนโรคเรื้อนกุฏฐิง มีทุกข์เพราะโรคภัยไข้เจ็บ ใจไม่ผ่องใส ไม่มีกำลังใจสร้างบารมีเต็มที่
๑๑. เป็นกะเทย ใจไม่เข้มแข็ง อ่อนแอโลเล ขาดฉันทะความพอใจ ศรัทธาเกิดได้ยาก
๑๒. เป็นคนท่าปัญจานันตริยกรรม กรรมหนัก ๕ อย่าง คือ ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ท่าพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต ทำสงฆ์ให้แตกแยก ตายแล้วต้องไปเกิดในอเวจีมหานรก ช้านานมาก
๑๓. สัตว์ในโลกันตรินรก นรกขุมนี้ไม่มีกำหนดอายุ ทุกข์ทรมานมาก อยู่ขอบเขาจักรวาล มืดสนิท เสียเวลาสร้างบารมี
๑๔. สัตว์ในอเวจีมหานรก เพราะมีอายุถึง ๑ อันตรกัป เสียเวลาสร้างบารมี
๑๕. เปรต ๓ ประเภท ที่มีความทุกข์มาก อายุยืนมาก ถ้าจะเกิดก็เกิดเป็นเปรตที่มีชีวิตด้วยการขอส่วนบุญของญาติเพียงประเภทเดียว (ปรทัตตุปชีวิกเปรต)
๑๖. สัตว์ที่เล็กกว่านกกระจาบ และโตกว่าช้าง สัตว์เล็กเกินไป มันสมองน้อยปัญญาพลอยน้อยไปด้วย สัตว์ที่ตัวโตมาก เวลาส่วนใหญ่หมดไปด้วยการหาอาหารกิน ก็หาได้ไม่พออิ่มในแต่ละวัน ไม่มีเวลาสร้างปัญญาหรือพัฒนาสมองแต่อย่างใด
๑๗. พระอริยบุคคล ในระหว่างเวลา ๔ อสงไขยแสนมหากัป อันเป็นเวลาที่น้อยที่สุดในการสร้างบารมีเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นพระอริยบุคคลแล้ว แม้แต่ขั้นต่ำสุด พระโสดาบันบุคคล ก็จะใช้เวลาเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ จะต้องบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว จึงหมดโอกาสตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
           

                การเวียนว่ายตายเกิดของพระโพธิสัตว์เพื่อสร้างบารมีนั้น แต่ละคนใช้เวลามาก น้อยไม่เท่ากัน แล้วแต่ประเภทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
           

               บางพระองค์ตรัสรู้ด้วยทรงมีพระวิริยะอันยิ่งยวด เรียกว่า วิริยาธิกสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้เวลานานมากที่สุดถึง ๑๖ อสงไขยแสนมหากัป
         

                บางพระองค์ตรัสรู้ด้วยทรงมีพระศรัทธายิ่งยวด เรียกว่า ศรัทธาธิกสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้เวลานานรองลงมาครึ่งหนึ่งคือ ๘ อสงไขยแสนมหากัป
           

              บางพระองค์ตรัสรู้ด้วยทรงมีพระปัญญาเป็นเลิศ เรียกว่า ปัญญาธิกสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้เวลาน้อยที่สุด เพียง ๔ อสงไขยแสนมหากัปเท่านั้น พระสมณโคดมสัมมา สัมพุทธเจ้าในกัปที่เรามีชีวิตอยู่นี้ ทรงเป็นแบบพระปัญญาธิกสัมมาสัมพุทธเจ้า
           

                  การเวียนว่ายตายเกิดเพื่อสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ไม่ใช่ว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์เสมอไป บางชาติก็เกิดเป็นสัตว์ในสุคติภูมิ เช่น เทวดา พรหม บางชาติก็เกิดในทุคติภูมิ เช่น เปรต อสุรกาย ดิรัจฉาน แต่ด้วยธาตุธรรมของพระโพธิสัตว์ที่มีอยู่ในใจ เมื่อได้เกิดเป็นอะไรก็ตามอยู่ในวิสัยสร้างบุญบารมีเพิ่มเติมได้จะกระทำโดยเต็มกำลังเหนือสัตว์ธรรมดาประเภทเดียวกันทันที
           

              พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดมของเราทรงเปรียบเทียบความยาวนานของการบำเพ็ญบารมีไว้ว่า ถ้าเอากระดูกของตนเองที่ตายแล้วทุกๆ ชาติมารวมกันไว้ได้ กองกระดูกจะสูงกว่าภูเขาสิเนรุอันเป็นแกนจักรวาล ถ้าเก็บน้ำตาของตนเองที่ร้องไห้เพราะความทุกข์ที่ได้รับในแต่ละชาติไว้ได้ น้ำตาจะมีจำนวนมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ โลกมนุษย์ที่มีอยู่ในจักรวาล ถ้าเอาจำนวนดวงตาของตนเองที่ควักบริจาคเป็นทานอุปบารมีในทุกชาติที่ทำไว้มารวมกันยังมากกว่าดวงดาวที่เห็นอยู่ในฟากฟ้า นี่เป็นชีวิตของพระโพธิสัตว์ที่ต้องเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดเพื่อสร้างบารมี

           

              แต่การเกิดของพระโพธิสัตว์ไม่สูญเปล่า มีจุดมุ่งหมายในการเดินทางของชีวิตว่าวันหนึ่งยังมีโอกาสบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต ส่วนสรรพสัตว์ที่ไม่รู้เลยว่าชีวิตควรทําอะไร ใช้ชีวิตเกิดๆ ตายๆ ไปสูญเปล่า เกิดฟรี ตายฟรีทุกชาติไป จำนวนชาติในการเวียนว่ายตายเกิดจึงมีมากมายนับประมาณไม่ได้ยิ่งกว่าพระโพธิสัตว์ เกิดตายอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งมีบุญพอได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ได้มีโอกาสทำตามคำสอนรู้จักว่าชีวิตเกิดมาควรสร้างบารมี แล้วเริ่มกระทำตาม จึงจะมีหนทางสร้างบารมีได้เต็ม ๑๐ประการ บรรลุเป็นพระอรหันต์ เลิกเกิด เลิกตายได้ในชาติหนึ่งภายหน้า
           

               การสั่งสมบารมีของพระโพธิสัตว์ ไม่ใช่เป็นเพียงระดับธรรมดาเช่นการสั่งสมบารมีเพื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์ ในบารมีทั้งสิบอย่างนั้น พระโพธิสัตว์ต้องกระทำทั้งระดับธรรมดา ระดับสูงขึ้น และระดับสูงสุด เรียกว่า อุปบารมี และปรมัตถบารมี จึงรวมเป็นบารมี ๓๐ ทัศ
         

                ยกตัวอย่างเช่น การสร้างทานบารมี เมื่อเราบริจาคสิ่งของต่างๆ เป็นต้นว่าปัจจัยสี่อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย เป็นครั้งคราว ถือว่าเราได้ทำทาน ผลที่ได้รับคือเกิดเป็นบุญกุศลขึ้นแก่ตัวเรา
         

               ทีนี้เมื่อได้บริจาคอย่างเข้มแข็ง เช่นทำเป็นประจำ ชักชวนผู้อื่นทำในโอกาสที่สมควรและจำเป็นอื่นๆ เช่น ทำนุบำรุงพระศาสนา สงเคราะห์ผู้เดือดร้อนประสบภัยพิบัติต่างๆ ขวนขวายยิ่งยวดเต็มสติปัญญา กำลังกายกำลังทรัพย์ ไม่ใช่ทำตามสะดวก ชอบใจก็ท่าไม่มีเวลาก็ไม่ทำ ดังนี้แล้วการทำทานเต็มกำลังอย่างนี้ บุญที่ได้จะเพิ่มขึ้นเรียกว่าเป็นบารมี

       

                เหมือนเกษตรกรปลูกพืช ผลิตผลที่ได้ซึ่งเรียกว่า ผัก ข้าว ผลไม้ ฯลฯ เปรียบได้ว่าทาน แต่พอเอาไปขายรวบรวมเป็นเงินทองได้ขึ้นมา จะเอาติดตัวไปใช้จ่ายที่ใดก็น่าไปได้สะดวก ไม่ใช่ต้องขนผลผลิตติดตัวไปใช้แลกสิ่งของอื่นให้รุงรัง ดังนี้แล้ว เงินทองเหล่านั้นเอง เปรียบได้ว่าเหมือนเป็นบารมี
         

             ครั้นเราบริจาคให้ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น เช่น บริจาคของสําคัญในร่างกายหรือของรักต่างๆ เช่นบริจาคโลหิต อวัยวะ เครื่องประดับมีค่า คนที่รักใคร่ สิ่งเหล่านี้เป็นของทำได้ยากยิ่งขึ้น จึงเรียกว่า ไม่ใช่บารมีชั้นธรรมดาแล้ว เป็นขั้นสูงกว่า เรียกว่า ทานอุปบารมีเหมือนเกษตรกรเปลี่ยนเงินเป็นบัตรเครดิต

         

               ต่อจากนั้น ทำทานด้วยจิตใจกล้าหาญเสียสละถึงที่สุด คือให้ได้แม้กระทั่งชีวิตการยอมตายแทน การยอมอดอาหารส่วนที่ตนเองมีสิทธิ์ อดแล้วไม่มีอาหารอย่างอื่นทดแทนในวันนั้น ซึ่งอาจเป็นลมสิ้นชีวิตได้เพราะหิวก็ย่อมเป็นไปได้ เช่น ตัวอย่างหลวงพ่อวัดปากนํ้า ภาษีเจริญ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ และทางวัดขณะนั้นยากจนไม่มีโรงครัวทำอาหารท่านไปบิณฑบาตได้เพียงข้าวสุกทัพพีเดียวกับกล้วยน้ำว้าหนึ่งผล ขณะท่านกำลังเตรียมจะฉัน สุนัขแม่ลูกอ่อนหิวโซมานั่งมองหน้า ท่านฉันภัตตาหารนั้นไม่ลง ตั้งใจบริจาคเป็นทานให้สุนัข คิดในใจว่า วันนี้แม้จะเป็นลมตายด้วยความหิวก็ยอม


            การกระทำของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ครั้งนั้น เป็นทานบารมีขั้นสูงสุดให้ชีวิต เรียกว่า ปรมัตถบารมี มีอานิสงส์ทันตาเห็น นับแต่นั้นมาท่านสามารถมีโรงครัวเลี้ยงพระภิกษุสามเณร และผู้คนในวัดร่วมพันชีวิตกระทั่งทุกวันนี้ แม้ท่านจะมรณภาพมานานแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๒

           

              ปรมัตถบารมีนั้นใครกระทำไว้เปรียบเหมือนมีขุนคลังประจำตัว มีทรัพย์ใช้จ่ายไม่หมดสิ้น ต้องการสิ่งใดก็มีผู้จัดการให้ได้ดังประสงค์ทุกประการ

บารมีอีก ๙ ก็เป็นทำนองเดียวกัน พอกล่าวสรุปได้ว่า ถ้าทำบ้างตามโอกาส เป็นเพียงได้บุญธรรมดา ถ้าทำสม่ำเสมอ ตั้งใจทำเข้มแข็ง ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งปวง จะกลั่นจากบุญเป็นบารมีขึ้นมา ถ้าทำอย่างยิ่งยวดระดับเหมือนให้ของสำคัญเท่าอวัยวะหรือของที่รักใคร่หวงแหนมากเท่ากับเป็น อุปบารมี ถ้าทำอย่างให้ความสำคัญเท่าชีวิต เป็นปรมัตถบารมี เช่นรักษาศีล ยอมตายไม่ให้ศีลขาดเป็นศีลปรมัตถบารมี ออกจากกามเป็นเนกขัมมบารมี ถ้าประพฤติพรหมจรรย์ตลอดชีวิต อย่างนี้เป็นเนกขัมมปรมัตถบารมีเป็นต้น
               

                เมื่อพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีทั้ง ๓๐ ทัศเต็มเปี่ยมบริบูรณ์แล้ว ชาติสุดท้ายก่อนถือกำเนิดเป็นมนุษย์ ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นจะเกิดเป็นเทพบุตรอยู่สวรรค์ชั้นดุสิตา ชั้นที่ ๔ เมื่อโลกมนุษย์ชมพูทวีปมีสภาพเหมาะสมที่จะลงมาเกิด เช่นอายุขัยของมนุษย์ไม่เกินแสนปี และไม่ต่ำกว่าร้อยปี มีเหล่าเทพยดาและพรหมทั้งหลายเชิญให้จุติลงมาสั่งสอนประกาศพระศาสนา ก็จะลงมาตรัสรู้ในโลกมนุษย์
               

               การตรัสรู้ของพระโพธิสัตว์ในชาติสุดท้ายทุกพระองค์ ต้องตรัสรู้หลังจากทรงออกผนวชเป็นนักบวชแล้ว เวลานับจากวันออกบวชถึงวันตรัสรู้มีกำหนดไม่แน่นอน บางพระองค์เพียงไม่กี่วัน บางพระองค์เป็นเดือน บางพระองค์เป็นปีหรือหลายปี ตามแต่วิบากคือผลของกรรมที่ได้กระทำสั่งสมไว้
             

                 อาการของการรู้แจ้ง รู้รอบ หรือตรัสรู้นั้นเหมือนกันทุกพระองค์ คือในวันสุดท้ายของการเป็นพระโพธิสัตว์ จะมีผู้ถวายอาหารอันประณีตมาก เพื่อหล่อเลี้ยงร่างกาย ไม่ให้มีทุกขเวทนาจากความหิวมารบกวน ทำความสะอาดสรีระและจัดที่ประทับนั่งให้เรียบร้อย ตั้งพระทัยบำเพ็ญภาวนาอุทิศชีวิต ไม่สำเร็จไม่ลุกจากที่
             

                 จากนั้นทรงส่งใจกำหนดเข้าภายใน ณ ศูนย์กลางของร่างกายอันเป็นที่ตั้งของจิตเดินจิตเข้าสายกลาง ที่นั่นเป็นที่ทรงพลังที่สุด (เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ถ้าแห่งใดได้รับขนานนามว่า ศูนย์กลาง จะเป็นที่เด่นที่สุด)

               เวลาเย็นก่อนพระอาทิตย์ตก ทรงชนะมารและเสนา (พวกมารเป็นธรรมฝ่ายดำตรงข้ามกับพระนิพพานซึ่งเป็นธรรมฝ่ายขาว มองเห็นได้ด้วยดวงตาภายใน คือจิตที่ฝึกฝนจนมีคุณภาพเต็มที่)
             

               ในปฐมยาม ยามต้นตอนหัวค่ำ บรรลุญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้ ระลึกถึงชาติของตนเองย้อนหลังไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด ว่ายุคใดสมัยใดเคยเกิดเป็นอะไร เกี่ยวข้องกับผู้อื่นอย่างใด เรียกชื่อความรู้นี้ว่า ปุพเพนิวาสานุสติญาณ (ญาณ แปลว่า ปรีชาหยั่งรู้) รู้แต่อดีตชาติ เพราะชาติในอนาคตไม่มีต่อไปอีกแล้ว
             

               ในเวลากลางดึก มัชฌิมยาม บรรลุญาณที่ทำให้มีตาทิพย์ จุตูปปาตญาณ ปรีชาหยั่งรู้การตาย การเกิดของสัตว์ทั้งหลายทั่วไปหมด ไม่ว่าในจักรวาลใดว่าล้วนแต่เลวและประณีตตามกรรมของตน ญาณนี้รู้ทั้งอดีตและอนาคตของสัตว์ทั้งหลาย (อนาคตังสญาณ)
           

               ในปัจฉิมยาม เวลาใกล้รุ่งอรุณขึ้น บรรลุอาสวักขยญาณ ความรู้วิธีปราบกิเลส ให้หมดสิ้น ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท ทั้งฝ่ายเกิดและฝ่ายดับ ทรงรู้แจ้งในอริยสัจ ๔ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
             

               หลังจากตรัสรู้แล้ว ทรงประกาศพระศาสนา มีพระอัครสาวกซ้าย ขวา มีพระพุทธอุปัฏฐาก มีทั้งพระอรหันตสาวก อรหันตสาวิกา ที่เป็นเอตทัคคะ (ความสามารถเป็นเลิศ) ด้านต่างๆ เรียกว่า อสีติมหาสาวก เช่น
 

เลิศในทางเป็นพระธรรมกถึก (แสดงธรรมเก่ง)
เลิศในทางแสดงฤทธิ์ เลิศในทางบรรลุธรรมรวดเร็ว
เลิศในการทำทิพยจักษุ เลิศในการทรงจําพระธรรมวินัย
เลิศในทางมีลาภมาก เลิศในทางยินดีในฌานสมาบัติ ฯลฯ

           

               พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ เมื่อเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ไม่ทรงตั้งพระภิกษุรูปใดเป็นประมุขคณะสงฆ์สืบต่อจากพระองค์ แต่ทรงมีพระพุทธานุญาตให้ใช้ พระธรรมและพระวินัยปกครองหมู่สงฆ์ต่อไป
             

              ที่กล่าวแล้วนี้เป็นแผนผังชีวิตโดยย่อของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ถ้าผู้ใดสามารถสั่งสมบารมีตรัสรู้ธรรมได้เอง แต่ไม่ได้ตั้งพระศาสนาไว้ เรียกผู้นั้นว่าพระปัจเจกพุทธเจ้า (รู้เฉพาะตน)
 

              พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว นับว่าพระองค์ทรงพ้นจากวัฏฏสงสาร เลิกเวียนว่ายตายเกิด ฝ่ายมาร (ธรรมฝ่ายดำ) ทำอะไรพระองค์อีกต่อไปไม่ได้ ทรงมีอิสระเต็มที่ และด้วยพระมหากรุณาอันยิ่งใหญ่ จึงทรงสั่งสอนวิธีการ พ้นทุกข์ให้เหล่าเวไนยสัตว์ ทำให้มีผู้หลุดพ้นเป็นอิสระตามพระองค์เป็นจำนวนมาก
             

              นับว่าพระองค์ทรงเป็นเสมือนผู้หาทางออกจากที่คุมขังพ้น แล้วเปิดกรงขังให้สัตว์ภายในกรงมีโอกาสพบอิสรภาพด้วย

2-9-65-3-a.jpg

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0010540962219238 Mins