อานุภาพพระธรรมกาย

วันที่ 29 พค. พ.ศ.2567

260567b01.jpg
อานุภาพพระธรรมกาย
๔ สิงหาคม ๒๕๓๙
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย...พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)

 

                เมื่อเราบูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ให้ทุกคนตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ ให้นั่งขัดสมาสโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย ให้เอามือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ หลับตาของเราเบา ๆ หลับพอสบายคล้ายกับเรานอนหลับ อย่าไปบีบหัวตา อย่ากดลูกนัยน์ตา ให้หลับตาพอสบาย ๆ ทุก ๆ คนนะจ๊ะ ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี กะคะเนให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก จะได้ไม่ปวดเมื่อยกัน ขยับตัวให้ดีทุกๆ คนนะจ๊ะ ต่อจากนี้ไปก็ทำใจของเราให้ปลอดโปร่ง ปลอดกังวลจากเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งหมด จะเป็นเรื่องการศึกษาเล่าเรียน เรื่องธุรกิจการงาน หรือเรื่องครอบครัว เรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่นอกเหนือจากนี้น่ะ ให้ปลดปล่อยวางให้ใจว่างชั่วขณะ ที่เราจะทำสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ ให้ทำใจให้ปลอดกังวลให้หมด ทำใจให้ใส ให้บริสุทธิ์ ให้เยือกเย็นใจที่ใสสะอาดบริสุทธิ์เยือกเย็น ปลอดกังวล เป็นใจที่เหมาะสมที่จะเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว

 


                พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งและที่ระลึกอันสูงสุด ของมวลมนุษยชาติ เป็นสิ่งที่มีแล้วมาตั้งแต่ดั้งเดิม มีมานานเมื่อไหร่ไม่มีใครทราบได้ แต่นั่นแหละเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดของเรา ของมนุษย์ทุก ๆ คน เป็นของละเอียดเป็นกายที่ละเอียด ซ้อนกันอยู่ภายในกลางกายหยาบของเรา เป็นกายที่ละเอียดที่สุด ซ้อนอยู่ข้างใน นั่นแหละเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด สิ่งอื่นที่จะเสมอเหมือนหรือยิ่งกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว การปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนา ทำศีล ทำสมาธิ ทำปัญญาให้เกิดขึ้น เรามีวัตถุประสงค์เพื่อจะให้เข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ นี้นั่นเอง เมื่อเข้าถึงแล้วเราจะได้พ้นจากบ่าวจากทาสของพญามาร มีความสุขล้วน ๆ รัตนะทั้งสามนี้คือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ มีอยู่หลายชั้นเข้าไปข้างใน ที่ละเอียดกว่าก็ซ้อนอยู่ในกลางรัตนะที่หยาบกว่า ซ้อนกันไปเป็นชั้น ๆ ไปตามลำดับ ตั้งแต่ระดับโคตรภูบุคคล พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหัต ซ้อน ๆ กันอยู่ภายในตัวของเรานี่แหละ

 


                 เพราะฉะนั้นถ้าจะไปหาบุคคล ๘ เหล่า ๔ คู่ คือพระอริยบุคคลทั้งหลาย ไม่ต้องไปแสวงหาในที่ไกล ๆ เลย ทั้งหมดอยู่ในกลางกายนี่แหละ ซ้อนกันเข้าไปเป็นชั้น ๆ เพราะฉะนั้นรัตนะทั้งหมดนี้มีอยู่มาตั้งแต่ดั้งเดิม มีมาอยู่แล้ว ไม่ใช่เราไปทำให้มันมี เป็นแต่เพียงเราไม่รู้ว่ามี เมื่อไม่รู้ว่ามีเนี่ยเราจึงแสวงหาสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งที่ระลึก หาต้นไม้ ภูเขา ผู้วิเศษ ตึกอาราม บ้านช่อง สิงสาราสัตว์อะไรเหล่านั้นเป็นต้น นั่นเพราะว่าเราไม่รู้ว่ารัตนะทั้ง ๓ ที่เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดนั้นน่ะ มีอยู่แล้วในตัวของเราหรือเพราะว่าไม่รู้ว่ามี จึงแสวงหาที่อื่น แม้รู้ว่ามีถ้าไม่รู้ว่าอยู่ที่ตรงไหน จะเข้าถึงได้ด้วยวิธีใด ก็เข้าถึงไม่ได้เหมือนกัน จนกระทั่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านได้เข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ ที่สลับซับซ้อนเข้าไปตามลำดับ ภายในกายของพระองค์ท่าน เมื่อท่านบรรลุแล้ว หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ถึงรัตนะองค์สุดท้ายเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จึงได้นำมาเปิดเผย นำมาแสดง มาชี้แนะนำสั่งสอน เพื่อให้ผู้มีบุญได้เข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ นี้ในตัวนั่นเอง

 


                เพราะฉะนั้นรัตนะทั้ง ๓ นี้มีอยู่แล้วในกลางกายของพวกเราทุก ๆ คนนะจ๊ะ วิธีที่จะเข้าถึงได้นั้นน่ะ ใจต้องหยุดต้องนิ่ง ใจต้องสะอาด บริสุทธิ์ผ่องใส ปลอดกังวลทั้งหมด ไม่ติดข้องเรื่องคนเรื่องสัตว์เรื่องสิ่งของ เรื่องอะไร ๆ ทั้งสิ้น ไม่ติดเลย ใจนิ่งหยุดนิ่งอย่างเดียว พอถูกส่วนเดี๋ยวก็จะเข้าถึงได้ ดังนั้นก่อนที่เราจะปฏิบัติธรรมน่ะ เจริญสมาธิภาวนา เราจะต้องทำใจของเราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ให้ผ่องใส ให้ปลอดกังวลจากสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด จะได้เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใจเราจะปลอดกังวลได้น่ะ มันก็มีอยู่ ๒ วิธี คือวิธีที่ ๑ ก็ตัดไปเลย ไม่นึกไม่ไปคิดในสิ่งเหล่านั้น ทิ้งไปเลย แล้วก็เอาใจหยุดนิ่งอยู่ภายในอย่างเดียว หรือวิธีที่ ๒ น่ะ ทำตามคำสอนพระพุทธเจ้า 

 


                ให้พิจารณา จะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ ทุกสิ่งทุกอย่าง สรรพสิ่งธรรมทั้งปวง ล้วนแต่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นของที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่ของจริงของแท้ ไม่มีสาระแก่นสาร เป็นแต่เพียงสิ่งที่อาศัยกันมาอยู่ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเวลาก็แยกย้ายกระจัดกระจาย  สูญสลายหายกันไป รวมทั้งกระทั่งร่างกายของเรา พอถึงเวลาหมดบุญแล้ว มันก็แยกย้ายกระจัดกระจายกันออกไป ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ กระจายกันไปหมด ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น กระจัดกระจายหายไป คืนไปสู่สภาพเดิมหมด เป็นที่อาศัยชั่วครั้งชั่วคราว เหมือนเสื้อเหมือนผ้า เหมือนบ้านเรือน รถราต่าง ๆ เหล่านั้นนั่นแหละ 

 


                สังขารทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็นอย่างนี้ จะเป็นสังขารที่มีวิญญาณครองก็ดี ไม่มีวิญญาณครองก็ดี ก็จะเป็นอย่างเนี้ย จะมีชีวิตก็ตาม เป็นสิ่งไม่มีชีวิตก็ตาม ตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ทั้งสิ้น พิจารณาอย่างนี้ได้ ใจจะได้ปลอดโปร่ง ฟ่องเบา ไม่ยึดมั่นถือมั่นมากเกินไป สภาพใจก็จะเป็นกลาง ๆ เป็นสภาพใจที่เหมาะสมที่จะฝึกใจให้หยุดนิ่งให้เข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ ได้ เพราะฉะนั้นใครถนัดวิธีไหนก็ทำอย่างนั้น จะถนัดตัดใจเลย ไม่มีเยื่อใยไม่มีอาลัยอาวรณ์เลย แล้วก็ทำหยุดทำนิ่งได้ทันที ถนัดอย่างนี้ก็ทำอย่างนี้ไป หรือถนัดว่าต้องเอามาคิดมาพิจารณาว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้เนี่ยไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นอย่างนั้นจริง ๆ 

 


                สังขารทั้งหลายทั้งปวงน่ะ ดังกล่าวมาแล้วทั้งหมด พิจารณาได้อย่างนี้ใจมันจะได้ปลอดโปร่ง เกิดความเบื่อหน่ายเกิดความคลายกำหนัด จิตก็สงัดจากสิ่งเหล่านั้น บริสุทธิ์หลุดพ้นกันไป ก็จะตั้งมั่นอยู่ภายในกลางกายของเรา ถ้าชอบแบบนี้เป็นนักคิดก็คิดกันไป ที่ไม่ใช่เป็นนักคิด นักตัด ตักอกตัดใจได้ก็ตัดกันไป แต่ว่าใจก็จะต้องปลอดโปร่งสะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส นั่นแหละสภาพใจที่กำลังมีความพร้อม เหมาะสมที่จะเข้าถึงพระรัตนตรัยภายในนะจ๊ะ การจะเข้าถึงพระรัตนตรัยได้นั้นน่ะ มีอยู่วิธีเดียวเท่านั้น ไม่มีวิธีที่ ๒, ๓, ๔ วิธีเดียวก็คือ วิธีทำใจให้หยุด

 


                หลวงพ่อวัดปากน้ำสรุปมาแล้วว่า หยุดเป็นตัวสำเร็จ ให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ต้องหยุดกันซะก่อน หยุดเป็นตัวสำเร็จ ท่านบอกทั้งทางโลกทางธรรมเลย ทางโลกจะสำเร็จได้ต้องหยุดก่อน จะเขียนหนังสือให้ดี จะต้องจับปากกากระดาษให้มั่นคง แล้วหยุดปากกาให้นิ่งแล้วก็เริ่มเขียนไป จะขับรถขับราอะไรต่าง ๆ ให้ดี ก็ต้องหยุดกับนิ่งให้ดีก่อน แล้วก็ค่อย ๆ ขับกันไป แม้ปัญหาอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ก็จะต้องเริ่มต้นจากหยุดนิ่งก่อน คือกล้าหาญมามองสิ่งที่เป็นปมเป็นปัญหา สิ่งที่แท้จริงก็เกิดขึ้นจากตัวของเรานี่แหละเป็นหลัก ต้องทำใจหยุดนิ่งซะก่อน เพื่อใจจะได้กลับไปสู่แหล่งของสติของปัญญา เพราะเวลาใจหยุดนั้นมันเป็นสมาธิ 

 


                 สมาธิเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา ก็จะเห็นเลยว่าปัญหามันก็จะมีวิธีการคลี่คลายของมันไป โดยเราจะเริ่มต้นแก้ปัญหาในจุดที่แก้ได้ก่อน จากจุดเล็ก ๆ คือจิตใจเราไปก่อน ทำใจให้มันปลอดโปร่งให้มันสบาย ให้มันตั้งมั่น แล้วเดี๋ยวมันก็จะค่อย ๆ คลี่คลาย แก้ไขปัญหาไปตามขั้นตอนของมัน เพราะฉะนั้นหยุดนี่แหละเป็นตัวสำเร็จ ทั้งทางโลกก็ดีทางธรรมก็ดีนะ วันนี้เราจะเรียนกันให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ก็จะต้องเริ่มต้นจากการฝึกใจให้หยุดให้นิ่งนี่เช่นเดียวกัน หยุดนี่แหละ อย่างเดียวเท่านั้น ใจที่แวบไปแวบมาไปในเรื่องราวต่าง ๆ เอามารวมที่กลางกายอย่างสบาย ๆ ให้ใจเราหยุดนิ่ง นิ่งอย่างเบา ๆ สบาย ๆ ไม่ช้าใจก็จะถูกส่วน ถูกส่วนเดี๋ยวก็เข้าถึงธรรมภายในนะจ๊ะ 

 


               เพราะฉะนั้นหยุดนี้สำคัญนะ อย่าดูเบากัน มีวิธีนี้วิธีเดียว จะวิ่งก็ไปไม่ถึง จะเอาเงินซื้อก็ไปไม่ได้ หรือจะเอาวัตถุสิ่งของมาแลกเปลี่ยนให้เข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ ไม่ได้อีกเหมือนกัน หยุดอย่างเดียวนี่แหละ ให้ใจหยุดในนิ่ง วันนี้เป็นวันสมาธิโลก คือทั่วทั้งโลกกำหนดกันว่าเอาวันนี้เนี่ย เป็นวันสมาธิโลก เนื่องจากว่าผู้มีบุญมีปัญญาทั้งหลาย เขามาชุมนุมกันคิดค้นหาวิธีสร้าง จะสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นแก่โลก และในที่สุดก็ค้นพบมีความเห็นพ้องต้องกันว่า สันติภาพที่แท้จริงในโลกจะเกิดขึ้นได้ มนุษย์ทุกคนต้องเข้าถึงสันติสุขภายใน เมื่อเข้าถึงสันติสุขภายในได้ สันติภาพที่แท้จริงของโลกก็จะบังเกิดขึ้น 

 


                เพราะปมปัญหาที่ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวาย ทุกข์ทรมานทั้งหลาย เกิดมาจากมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่ได้เกิดมาจากสิ่งอื่นเลย และในตัวมนุษย์นี่มันก็มีกาย มีวาจา มีใจ มี ๓ อย่างนี้แหละเป็นหลัก ไอ้คำพูดจะออกมาก็ดี การกระทำจะบังเกิดขึ้นให้สับสนวุ่นวายก็ดี มันก็มาจากความคิด ถ้าคิดดีมันก็พูดดี พูดดีมันก็ทำดี สิ่งที่ดี ๆ มันก็จะบังเกิดขึ้นแก่โลก ถ้าคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี ความสับสนวุ่นวายความทุกข์ทรมานก็จะบังเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นตอนนี้ผู้มีบุญมีปัญญามีความเห็นพ้องต้องกันแล้วว่า ความคิดนี้แหละเป็นหลักที่สำคัญ ว่าถ้าหากว่าทำให้ตัวเราก็ดี มวลมนุษยชาติก็ดี มีความคิดที่ดี ที่เป็นบุญเป็นกุศล มีความปรารถนาดี ต่อเพื่อนมนุษย์ซึ่งกันและกันแล้วล่ะก็ สันติภาพที่ปรารถนากันนั้นน่ะ จะบังเกิดขึ้น และความคิดที่ดี ๆ จะบังเกิดขึ้นได้น่ะ 

 


                มันก็มาได้อยู่หลายวิธีทีเดียว จากการอ่าน จากการฟังก็ดี ก็ทำให้ใจเกิดความคิดที่ดีได้ จากการนึกคิดเอามาครุ่นมาคิดพิจารณาด้วยสติด้วยปัญญา ก็จะทำให้เกิดความคิดที่ดี ๆ ได้ แต่ที่ดีที่สุด ลัดที่สุด ลงทุนน้อยที่สุด และได้ผลมากที่สุด ก็คือฝึกทำสมาธิ ให้ใจที่ซัดส่าย ฟุ้งซ่าน วุ่นวายน่ะ กลับมารวมหยุดเป็นจุดเดียวกันในแหล่งของสติแหล่งของปัญญา แหล่งของความบริสุทธิ์ภายใน แหล่งแห่งความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ แหล่งต่าง ๆ เหล่านี้แหละที่อยู่ในตัว ถ้านำมนุษย์ทุกคนมาสู่จุดตรงนี้ได้ เหมือนเปิดทีวีช่องเดียวกัน มันก็จะเห็นเหมือนกัน คิดเหมือนกัน พูดเหมือนกัน เปิดช่องเดียวกัน เมื่อมนุษย์มีความคิดเหมือนกัน พูดเหมือนกัน ทำเหมือนกันในสิ่งที่ดี ๆ แล้วเนี่ย สันติภาพที่แท้จริงที่บรรพบุรุษมีความปรารถนาอยากให้บังเกิดขึ้น กระทั่งมาถึงยุคปัจจุบันนี้น่ะ มันก็จะบังเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง 

 


                ด้วยเหตุนี้วันสมาธิโลกจึงเกิดขึ้น แล้วก็เอาวัดพระธรรมกายนี่แหละเป็นศูนย์กลาง ในการที่จะสร้างสันติสุขภายในให้บังเกิดขึ้น เพื่อจะขยายสันติสุขภายในไปสู่โลกภายนอก ผู้มีบุญมีสติปัญญาทั้งหลายได้มาประชุมกันอยู่ ณ ที่นี้ในวันสำคัญที่มาพร้องตรงกัน คือวันอาทิตย์ต้นเดือนที่เราทำบุญใหญ่กันด้วย และเนื่องในวันสำคัญคือวันสมาธิโลกด้วย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องทำจิตให้สะอาดบริสุทธิ์เป็นพิเศษ เพื่อสร้างสันติสุขภายในให้ขยายไปเป็นสันติภาพภายนอก เพื่อโลกนี้จะได้น่าอยู่ยิ่งขึ้น เพื่อเราจะได้มีส่วนในการสร้างสันติสุขให้บังเกิดขึ้น และยิ่งถ้าใจเข้าไปถึงรัตนะทั้ง ๓ ภายใน เข้าไปถึงพุทธรัตนะ ถึงธรรมรัตนะ ถึงสังฆรัตนะ ถึงพระธรรมกายภายใน ที่กายท่านใสเป็นแก้ว ถึงเรียกว่าพุทธรัตนะ ถึงดวงธรรมภายในที่ใสเป็นแก้ว ที่เรียกว่าธรรมรัตนะ เป็นที่รวมประชุมของพระธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์อยู่ในนั้น ถึงสังฆรัตนะ พระสงฆ์แก้ว ผู้ทรงจำ ผู้รักษาพระไตรปิฎก ความรู้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์เอาไว้ อยู่ในกลางกายของเราอย่างนี้ได้ละก็ จะยิ่งมีอานุภาพ มันจะเกิดธรรมกายเอฟเฟค 

 


                ธรรมกายเอฟเฟค ก็คือ อานุภาพแห่งพระธรรมกายที่พวกเราได้เข้าถึง มันก็จะแผ่ขยายออกไปน่ะ เป็นสิ่งที่แม้เรามองไม่เห็นด้วยตา จับต้องไม่ได้ด้วยมือ แต่ก็มีอานุภาพขจัดสิ่งที่เป็นมลทินที่ไม่บริสุทธิ์ที่เกิดจากกระแสความนึกคิด คำพูดและการกระทำของชาวโลกทั้งหลายเนี่ยให้เจือจางลงไป กระทั่งหมดไปในที่สุด ในไม่ช้ามนุษย์คิดดี พูดดี ทำดี สิ่งแวดล้อมก็จะพลอยดีตามไปด้วย ตั้งแต่ดิน อากาศ ฟ้าต่าง ๆ เหล่านี้เป็นต้นก็จะพลอยดีงามไปด้วย เพราะฉะนั้นการเข้าถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ จะทำให้เราเข้าถึงแหล่งแห่งสติปัญญา แหล่งแห่งความรู้ความเบิกบาน แหล่งมหากรุณาความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ เพราะว่าพุทธรัตนะหรือพระธรรมกายนั้นน่ะเป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้เบิกบานแล้ว 


 

                ท่านจะรู้เห็นด้วยญาณทัสสนะ ด้วยธรรมจักขุ ของท่านไปตามความเป็นจริงของสิ่งที่เป็นจริง สิ่งอะไรที่เป็นที่พึ่งที่เที่ยง ท่านก็เห็นว่าเที่ยง อะไรไม่เที่ยงท่านก็เห็นว่ามันไม่เที่ยง สิ่งอะไรเป็นสุขท่านก็เห็นว่าเป็นสุข อะไรไม่เป็นสุขเป็นทุกข์ท่านก็เห็นว่ามันเป็นทุกข์ สิ่งอะไรที่ไม่ใช่ตัวตนท่านก็เห็นว่ามันไม่ใช่ตัวตน สิ่งอะไรที่เป็นตัวตนเป็นสาระเป็นแก่นสาร ท่านก็เห็นอย่างนั้น เห็นไปตามความเป็นจริง แทงตลอดในสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย เพราะฉะนั้นใจของท่านเหมือนตื่นจากหลับ ไม่งัวเงียเหมือนมนุษย์ที่อยู่ในโลกของความฝัน ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย ท่านตื่นมาสู่ในโลกแห่งความเป็นจริง 

 


                เพราะฉะนั้นจิตใจท่านจะขยายกว้างออกไป มีความเบิกบาน มีสุขอยู่เป็นนิจ ในใจท่านมีแต่ความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์อย่างเดียวเท่านั้น อยากให้ทุกคนได้เข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ อย่างนี้บ้าง เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราได้เข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ อย่างนี้แล้ว ธรรมกายเอฟเฟคก็จะบังเกิดขึ้น สันติสุขภายในและสันติภาพภายนอกก็จะมาพร้อม ๆ กัน วันสมาธิโลกวันนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งอันที่จริงเราก็ทำสมาธิกันอย่างนี้กันทุกวันอยู่แล้ว ที่บ้าน วันอาทิตย์เราก็มาประชุมมาฟังธรรม มาปฏิบัติธรรมร่วมกัน อาทิตย์ต้นเดือนเป็นพิเศษ ทั่วประเทศมารวมกัน ปฏิบัติทำสมาธิภาวนา ส่วนวันธรรมดาก็ทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตร จริง ๆ แล้วเราทำกันอยู่ทุกวันอยู่แล้ว แต่เมื่อชาวโลกนานาชาติเค้ากำหนดอย่างนี้ วันนี้จึงต้องทำเป็นพิเศษนะจ๊ะ ทุก ๆ คน อย่าส่งใจไปที่อื่น 

 


                วิธีทำให้ใจเข้าถึงสมาธินั้น จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย ยากเพราะว่าทำไม่ถูกวิธี ง่ายเพราะว่าทำถูกวิธี อันที่จริงเราก็มีสมาธิอยู่เป็นปกติของเราอยู่แล้ว จากการเรียนก็ดี จากการทำงานก็ดี หรือจากการทำกิจกรรมอะไรต่าง ๆ นั่นก็ดี แต่ว่าเป็นสมาธิในระดับพื้นผิว เป็นระดับพื้นผิว ยังไม่เข้าไปถึงในระดับที่จะรู้แจ้งเห็นจริง ความจริงของชีวิตได้ หรือเข้าถึงสันติสุขภายในได้ แค่ให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการทำกิจกรรมเท่านั้นเอง แต่ถ้าหากว่าเราใช้หลักการวิธีการอย่างนั้น มาทำใจของเราให้หยุดนิ่งภายในอย่างสบาย ๆ ทำให้สบาย ทำใจเย็น ๆ ให้หยุดให้นิ่งอยู่ในกลางกายนะจ๊ะ หยุดนิ่งให้สบายให้จิตใจผ่องใส บริสุทธิ์ ไม่นึกไม่คิดอะไรทั้งสิ้น ให้นิ่งอยู่ในกลางกายในกลางตัวของเราน่ะ

 


                ซึ่งจะมีฐานที่ตั้งของใจเรา มีทั้งหมด ๗ ฐาน ฐานที่ ๑ อยู่ที่ปากช่องจมูก ฐานที่ ๒ หัวตาเพลาตา ฐานที่ ๓ ที่กลางกั๊กศีรษะ ฐานที่ ๔ เพดานปาก ฐานที่ ๕ ช่องปากที่อาหารสำลัก ฐานที่ ๖ ในกลางท้อง ระดับเดียวกับสะดือ ฐานที่ ๗ ยกถอยหลังขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ กึ่งกลางกายตรงนี้แหละเป็นฐานที่ตั้งของใจเรา ถ้าเราเอาใจของเรามาหยุดนิ่งอยู่ตรงนี้นะจ๊ะ หยุดนิ่ง ๆ นิ่งอย่างสบาย ๆ ถ้าใจฟุ้งเราก็ภาวนาสัมมาอะระหังไปเรื่อย ๆ จะภาวนากี่ครั้งก็ได้ สัมมาอะระหัง ๆ เรื่อยไปเลย ถ้าใจไม่ฟุ้งก็ไม่ต้องภาวนา ถ้าเรามีความมั่นใจว่าเราวางใจเฉย ๆ ก็ไม่คิดนึกอะไรก็ได้ ก็ไม่ต้องภาวนา 

 


                แต่ถ้าหากใครคิดว่าทำอย่างนั้น แล้วมันยังฟุ้งอยู่ก็ภาวนาสัมมาอะระหัง ๆ ภาวนาอย่างเนี้ยเรื่อยไปจนกว่าจะพอใจ อาจจะเป็นร้อยครั้ง พันครั้ง หมื่นครั้ง แสนครั้งก็ได้ เราก็ภาวนาไปเรื่อย แต่ถ้าทำอย่างนี้แล้วก็ยังอดฟุ้งไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ภาวนาอยู่อย่างนี้ยังฟุ้ง เราก็ต้องหาที่ยึดที่เกาะของใจเรา เราจะนึกถึงบริกรรมนิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๒ อย่างนี้ก็ได้ จะนึกถึงเพชรลูกใส ๆ นะจ๊ะ ที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดไม่มีข่วนคล้ายขนแมว โตเท่ากับแก้วตาของเรา นำมาตั้งไว้ที่กลางกายตรงฐานที่ ๗ ตรงนี้ก็ได้ ในกลางท้องเรา คือนึกถึงเพชรไปด้วย นึกถึงความใสของเพชร นึกไปที่จุดกึ่งกลางของความใส พร้อมกับภาวนาในใจสัมมาอะระหัง อย่างนี้เรื่อยไปก็ได้นะจ๊ะ 

 


                หรือถ้าเราไม่ชอบจะนึกถึงเพชร จะนึกเป็นดวงแก้วใส ๆ ก็ได้ ถ้าไม่ชอบดวงแก้ว เราจะนึกเป็นพระแก้วใส ๆ ก็ได้ เพราะถ้าเรานึกถึงพระแล้วจะมีความรู้สึกว่าพระท่านอยู่กับตัวเรา ท่านจะปกปักคุ้มครองรักษาตัวเราให้รอดปลอดภัยต่าง ๆ และเราก็กราบไหว้บูชาท่านอยู่บ่อย ๆ ทุกวันน่ะ จะนึกเป็นพระแก้วใส ๆ ก็ได้ แต่ถ้าเป็นพระแก้วก็ต้องนึกให้ ท่านนั่งขัดสมาสทำสมาธิเหมือนอย่างเราอย่างนี้แหละเกตุดอกบัวตูม หันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา มองเหมือนมองด้านบนลงไป เห็นเศียรเห็นบ่าไหล่ แขนของท่าน ขาของท่านนั่งตรง และก็ภาวนา สัมมาอะระหังอย่างนี้ก็ได้ ควบคู่กันไป ถ้านึกอย่างนี้ พระท่านก็จะอยู่กับเราตลอดเวลา 

 


              และในชีวิตประจำวันของเรา เราก็นึกถึงว่าในตัวเรามีพระอยู่ ท่านคุ้มครองปกปักรักษาเราอยู่ ตลอดเวลา ชำเลือง ๆ ดูเห็นท่านอยู่เรื่อย ๆ ท่านก็จะอยู่กับเราตลอดไป อยู่ในใจเราในกลางตัวเรา ไม่ว่าเราจะนั่งจะนอน จะยืน จะเดิน นึกอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ท่านก็จะอยู่กับเรา ในการทำสมาธิภาวนาวันนี้ก็เช่นเดียวกัน เราจะนึกอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างนี้ก็ได้นะจ๊ะ จะได้ไม่สับสน ชอบดวงแก้วก็เอาดวงแก้ว ชอบองค์พระก็เอาองค์พระ ชอบภาวนาก็ภาวนา หรือชอบทั้งหมดก็เอาทั้งหมด และก็ภาพอะไรที่เกิดขึ้นมาในกลางกาย จะเป็นดวงแก้วจะเป็นองค์พระหรือจะขึ้นมาทั้ง ๒ อย่างเราก็ดูไปพร้อม ๆ กันน่ะ ดูไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ ดูไปอย่างสบาย ๆ นะจ๊ะ และก็ทำใจเย็น ๆ 

 


                มีข้อสังเกตอยู่อันหนึ่ง เวลาเรามองดูดวงแก้วองค์พระหรือเพชร ใส ๆ พร้อมกับภาวนาไปในใจน่ะ ถ้าหากรู้สึกว่าตึง เริ่มตึงเราจะต้องผ่อนคลาย ให้มาอยู่ในระดับที่สบาย ถ้าหย่อนไปจะสังเกตว่ามันฟุ้งกับเคลิ้มน่ะ เราก็เพิ่มสติขึ้นมา ถ้าสบายแล้วต้องไม่ฟุ้งสบายแล้วมันจะไม่เคลิ้ม สบายแล้วต้องไม่ตึง ไม่ตึง ไม่ฟุ้ง ไม่เคลิ้ม สบายแล้วอยากจะอยู่ตรงนี้นาน ๆ แม้จะไม่เห็นอะไรก็ตาม ใจก็จะหยุดจะนิ่ง นิ่งอยู่อย่างนั้นนะจ๊ะ ความสบายกับความสุขน่ะมันคนละอย่างกันนะ ความสบายในการนึกถึงดวงแก้วก็ดี พระแก้วใส ๆ ก็ดีเนี่ย ถ้าหากว่ามันไม่ตึง มันไม่ฟุ้ง มันไม่เคลิ้ม และเรามีความพึงพอใจอยากจะอยู่อย่างนี้ นี่เรียกว่าความสบาย และเมื่อเรารักษาความสบายอย่างนี้เนี่ย ให้ต่อเนื่องกันไป ไม่เผลอให้สม่ำเสมอ ใจก็จะเข้าถึงจุด ๆ หนึ่ง ที่หยุดนิ่ง 

 


                นิ่งอย่างแนบแน่น นิ่งอย่างแท้จริง นิ่งที่สมบูรณ์ ตอนนี้แหละมันจะเปลี่ยน จะเปลี่ยนสภาวะ มันจะวูบเข้าไปข้างในอย่างค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปน่ะ ค่อย ๆ ละเอียดอ่อนไป ตอนนี้เราจะพบความสุขแล้วแหละ ความโล่ง ความโปร่ง ความเบา สบายยิ่งขึ้นจนกระทั่ง พูดไม่ออกบอกไม่ถูกทีเดียว มีความครึ้มอยากจะยิ้มอยู่ในใจ ใจจะนุ่มและก็ชุ่มเย็นตลอดเวลา เยือกเย็น เป็นความสุขที่เรายอมรับว่าความสุข แตกต่างจากที่เราเคยเรียกว่าความสุข เมื่อทั้ง ๒ สิ่งมาเปรียบเทียบกันจะเห็นว่า สิ่งภายนอกที่เราเคยเจอคือความสนุกความเพลิน ความตื่นเต้นเท่านั้นเอง ส่วนข้างในนี่มันสุขจริง ๆ ใจจะเยือกเย็นบริสุทธิ์ผ่องใส ใจนุ่ม ชุ่มเย็นสว่างไสวอยู่ในตัวของเราทีเดียว 

 


                เพราะฉะนั้นการทำสมาธิจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย ยากเพราะตั้งใจเกินไป ยากเพราะย่อหย่อนเกินไป เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าทำถูกวิธีคือสบาย ๆ หยุดนิ่ง ไม่ให้เผลอไปคิดเรื่องอื่น ทำให้ต่อเนื่องให้มีสติให้มีความสบายให้สม่ำเสมอ เดี๋ยวใจก็จะรวมหยุดนิ่งถูกส่วน พอถูกส่วนเข้าเดี๋ยวก็จะเข้าถึงดวงธรรมภายใน เห็นชัดใสแจ่มทีเดียวนะจ๊ะ เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะกล่าวคำบูชาข้าวพระ ก็ให้ทุกคนทำสมาธิภาวนาไปดังกล่าวนี้นะจ๊ะ คือเอาใจของเรานี่น่ะตรึกนึกถึงดวงใส หยุดไปที่กลางดวงใสเท่าที่เรานึกได้อย่างสบาย ๆ โดยไม่ตึงไม่เคลิ้ม และไม่ฟุ้ง พร้อมกับภาวนาในใจว่าสัมมาอะระหัง ๆ ๆ 

 


                ถ้าเราชอบพระแก้วก็นึกถึงพระแก้วใส ๆ ใจหยุดนิ่งอยู่ที่กลางพระแก้ว ตรึกให้เห็นพระแก้วอย่างเดียว ตรึกไปตรงกลางอย่างสบาย ๆ และก็ภาวนาไปเรื่อย ๆ นะจ๊ะ ทำอย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไปไม่ต้องมาถามกันนะจ๊ะ ว่าจะเอาดวงแก้วดีหรือจะเอาองค์พระดี หรือเห็นพร้อมกัน ๒ อย่างจะดูอย่างไหนดี หรือเห็นทีละเยอะ ๆ จะดูตรงไหนดี ไม่ต้องถามกันแล้วนะจ๊ะ ก็ดูเรื่อยไป มีอะไรให้ดูเราก็ดูไป มีให้ดูแค่ไหนเราก็ดูไปแค่นั้น มีให้ดูเท่าไหร่เราก็ดูไปเท่านั้น ทำอย่างนี้แค่นี้เท่านั้นแหละ เดี๋ยวเราจะสมความปรารถนากัน ต่างคนต่างทำกันไปเงียบ ๆ นะจ๊ะ ในวันสมาธิโลกเนี่ย ให้ใจหยุดนิ่งตั้งมั่น อากาศจะอ้าวนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร อย่าไปสนใจมัน ให้ภายในเย็นฉ่ำด้วยธรรมภายใน ต่างคนต่างทำกันไปเงียบ ๆ นะจ๊ะ ให้หยุดนิ่งกัน

 

 

                ให้เอาใจหยุดไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นทางเสด็จไปสู่อายตนนิพพาน ของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลาย คือหนทางที่จะไปสู่อายตนนิพพานน่ะมีอยู่ทางเดียว อยู่ในกลางกายของเรานี่แหละ ไม่ใช่ทางไหน อยู่ในกลางกายของเรา ถ้าหากว่าเราเอาใจของเราวางได้ถูกส่วน ไม่ช้าเราจะเข้าถึงปฐมมรรค เป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน ลักษณะเหมือนดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์หรือดวงดาวในอากาศ กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์นะจ๊ะ แต่ว่าใสละเอียดและก็นุ่มนวล สว่างประดุจดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวันหรือยิ่งกว่านั้นน่ะ อยู่ในกลางกายของเรา ตรงนั้นแหละคือจุดเริ่มต้นที่จะไปสู่อายตนนิพพาน 

 


                ถ้าจะไปสู่อายตนนิพพานได้ก็ต้องเข้ากลางดวงนั้น วิธีเข้ากลางต้องทำใจของเราให้หยุดนิ่งอยู่ในกลางดวงธรรมเบื้องต้นน่ะ ที่เป็นดวงใส ๆ ต้องเอาใจเราหยุดนิ่ง พอถูกส่วนเข้าเดี๋ยวดวงธรรมนั้นจะขยายกว้างออกไป แล้วก็จะเห็นดวงธรรมต่าง ๆ ผุดซ้อน ๆ ขึ้นมา คือดวงศีลสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ และก็ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ จะผุดซ้อนขึ้นมาในกลางนั้น ดวงธรรมเหล่านี้มันซ้อนอยู่ภายในอยู่แล้ว มีอยู่แล้วในตัวของเรา เป็นทางผ่านของใจ พอใจของเราผ่านไปในกลางนั้นจะถูกกลั่นให้สะอาดบริสุทธิ์ แล้วก็หลุดพ้นเข้าไปถึงกายมนุษย์ละเอียด เห็นตัวของเรา เห็นกายมนุษย์ละเอียด และถ้าหยุดต่อไปอีกในกลางกายมนุษย์ละเอียด ก็จะพบดวงธรรมเป็นชุด ๆ ชุดละ ๖ ดวงดังกล่าวเช่นเดียวกัน ก็จะเข้าถึงกายทิพย์

 


                ถ้าหยุดเข้าไปในกลางกายทิพย์ก็จะเข้าถึงดวงธรรม ๖ ดวง พอสุดดวงที่ ๖ คือดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ก็จะเข้าถึงกายรูปพรหม ถ้าใจหยุดเข้าไปในกลางกายรูปพรหมถูกส่วนเดี๋ยวก็เข้าถึงดวงธรรม ๖ ดวง ในทำนองเดียวกัน สุดดวงที่ ๖ ก็จะเข้าถึงกายอรูปพรหม พอใจหยุดในกลางกายอรูปพรหม พอถูกส่วนเข้าก็เข้าถึงดวงธรรมอีกชุดหนึ่ง อีก ๖ ดวง กลางดวงที่ ๖ คือดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ของกายอรูปพรหมก็จะเข้าถึงกายธรรม กายธรรมที่มีลักษณะเกตุดอกบัวตูม ใสเป็นแก้ว งามไม่มีที่ติทีเดียว งามจริง ชัดใสแจ่มอยู่ในกลางกาย กายธรรมในกลางนั้นก็มีกายธรรมซ้อน ๆ ๆ ๆ กันเข้าไปเรื่อย ๆ เลย ไปเรื่อย ๆ ไปตามลำดับ

 


                การบูชาข้าวพระก็คือการนำเครื่องไทยธรรม อันมีดอกไม้ ธูปเทียน อาหารหวานคาว เรานำจากบ้านมาคนละเล็กละน้อย ซึ่งเป็นของหยาบเนี่ย เรามาน้อมไว้ในกลางธรรมกาย จนกระทั่งมีความละเอียดเท่ากัน พอละเอียดถูกส่วนเข้า ทำความละเอียดด้วยวิชชาธรรมกาย พอละเอียดถูกส่วนเข้าเดี๋ยวก็มีความละเอียดเท่ากับอายตนนิพพาน อายตนนิพพานก็จะดึงดูดวูบเข้าไปสู่ภายใน ไปปรากฏในกลางอายตนนิพพาน ในนั้นก็จะมีแต่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ทั้งหลาย เต็มไปหมดทีเดียว นับพระองค์ไม่ถ้วน มากกว่าเมล็ดทรายในท้องพระมหาสมุทรทั้งหลายทีเดียว มากมายก่ายกองนับไม่ไหว นั่งสงบนิ่งเต็มไปหมดทีเดียว 

 


                แล้วเครื่องไทยธรรมที่มีความละเอียดอย่างนี้เนี้ย เราจะได้นำไปน้อมไปถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้า แต่ไม่ได้หมายถึงพระธรรมกายพระพุทธเจ้าจะเสวยอาหารละเอียดนี้เหมือนพระสงฆ์ขบฉัน แต่นี่เราถวายเป็นพุทธบูชา การทำอย่างนี้แหละเรียกว่าการบูชาข้าวพระ ซึ่งมีมานานแล้วแต่ว่าบูชาข้าวพระแบบขอถึงพระพุทธเจ้า ประเพณีก็สืบเนื่องกันมา สมัยพระบรมศาสดายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ก็มีโอกาสได้ใส่บาตรท่าน แต่ว่าเมื่อท่านดับขันธปรินิพพานไปแล้วก็มีแต่พุทธปฏิมากรเป็นตัวแทน ชาวพุทธที่มีกุศลศรัทธาระลึกถึงท่านอยากใส่บาตรท่าน แต่ท่านก็ดับขันธปรินิพพานไปแล้วน่ะ ก็จะจัดเตรียมอาหารหวานคาวถ้วยเล็ก ๆ ที่ตั้งไว้หน้าโต๊ะหมู่บูชา กล่าวคำบูชาขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วก็ถวายเป็นพุทธบูชา พอถึงเวลาก็ลาอาหารหยาบนั้นมาแบ่งปันกัน ถือว่าเป็นอาหารทิพย์ ก็สืบเนื่องกันเรื่อยมา

 


                จนกระทั่งเมื่อหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญค้นพบวิชชาธรรมกาย ค้นพบวิธีเข้าถึงธรรมกายกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง การบูชาข้าวพระแบบเข้าถึงจึงบังเกิดขึ้น โดยผู้ที่เข้าถึงวิชชาธรรมกายจริง ๆ อย่างคุณยายอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูงนี่แหละ คุณยายอาจารย์ของเราเป็นผู้นำไปถวายเป็นพุทธบูชา เป็นของละเอียดลึกซึ้ง ไม่ใช่ของพอดีพอร้ายหรือของง่าย ๆ มันละเอียดลึกซึ้ง มากมายก่ายกองทีเดียว ให้ทำความเข้าใจซะใหม่ เพราะฉะนั้นการไปถวายอย่างนี้ ต้องทำวิชชาเป็น คุณยายอุบาสิกาจันทร์ คุณยายอาจารย์ของเราทำวิชชากับหลวงพ่อวัดปากน้ำมายาวนาน ท่านเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องนี้ 

 


                เพราะฉะนั้นท่านก็ทำอย่างนี้เนี่ยแบบเข้าถึง ถวายแบบเข้าถึงเรียกว่าการบูชาข้าวพระ มีอานิสงส์ใหญ่มาก ในการที่ถวายแบบเข้าถึงอย่างนี้เนี่ย ไปถึงพระองค์ไหนก็ตาม บุญกุศลก็จะเกิดจากพระองค์นั้น ท่านก็จะสอดละเอียดบุญน่ะมาถึงตัวเรา ถ้าไปถึงองค์หนึ่ง พระธรรมกายของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งก็สอดละเอียดบุญมาในกลางกายเราน่ะ ถึงสององค์ท่านก็สอดมาสององค์ ถึงร้อยองค์ก็สอดมา ร้อยองค์ พันองค์ ก็สอดละเอียดสอดบุญมาพันองค์ ถ้าหมื่นองค์ก็สอดละเอียดมาหมื่นองค์ ถ้าแสนองค์ก็สอดละเอียดมาแสนองค์ ถ้าล้านองค์ก็สอดละเอียดมาล้านองค์ ถ้าหลาย ๆ ล้านองค์ก็สอดละเอียด บุญมาหลาย ๆ ล้านองค์ ถ้านับไม่ถ้วนองค์ก็สอดมาพร้อมกันในกลางกายของเรา นี่จึงเป็นบุญใหญ่ เป็นสิ่งที่มีจริง ทำได้จริงสำหรับผู้ที่เข้าถึงจริง ๆ 

 


                ไม่ใช่ของเลอะเลือนเลอะเทอะหรือสอนผิดอะไรต่าง ๆ ผู้ไม่รู้จริงน่ะถึงไปพูดกันอย่างนั้น ว่าสอนผิด ไม่ถูกต้อง เพราะไม่รู้จักวิชชาธรรมกายอย่างแท้จริง ถ้ารู้จริงเข้าถึงจริงแล้วก็จะต้องทำได้จริงอย่างแน่นอน ผิดจากนี้ไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นวันนี้เรากำลังจะบูชาข้าวพระ เป็นบุญลาภของพวกเราทั้งหลาย เป็นโชคดีของเรา เป็นบุญใหญ่ที่จะติดตัวไปทุกภพทุกชาติ บุญนี้เนี่ยเค้าเปิดเอาไว้สำหรับผู้ที่ตั้งความปรารถนาใหญ่ จะไปถึงที่สุดแห่งธรรม ท่านถึงสอดละเอียดเปิดวิชานีขึ้นมา เพื่อที่จะเอาบุญอย่างจะนับจะประมาณมิได้ ให้กับผู้ที่มีบารมีพิเศษเป็นธาตุธรรมที่แก่กล้า จะไปถึงที่สุดแห่งธรรม ได้มีโอกาสได้บุญใหญ่อันนี้ เพราะการไปถึงที่สุดแห่งธรรมนั้นไม่ใช่ของพอดีพอร้าย ไม่ใช่ง่าย จะต้องอาศัยบุญมาก บุญมหาศาลจึงจะไปสู้รบปรบมือกันเค้าได้ 

 


                ถ้าบุญเล็ก ๆ น้อย ๆ จะไปสู้เค้าได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้แหละการบูชาข้าวพระจึงเกิดขึ้น เพื่อให้โอกาสแก่ผู้มีบุญ มีบารมี มีธาตุธรรมแก่ ๆ จะได้บุญใหญ่ติดตัวไป ให้ถึงที่สุดแห่งธรรม ดังนั้นไม่ต้องคลางแคลง ลังเลสงสัย พยายามตั้งใจมั่นฝึกใจให้ดี ให้เข้าถึงวิชชาธรรมกายให้ได้ และสิ่งเหล่านี้สักวันหนึ่งมันก็จะเปิดเผยขึ้นมาให้เราได้เห็นแจ้ง รู้แจ้ง ด้วยธรรมจักขุ ด้วยญาณทัสสนะของพระธรรมกายละเอียด เมื่อเราทำวิชชาธรรมกายเป็นแล้ว ตอนนั้นแหละเราจะมีความปีติมีความปราโมทย์ใจ เพราะฉะนั้นตอนนี้เราก็เอาใจหยุดนิ่งให้ดี ให้ใจใสบริสุทธิ์ คุณยายก็คุมทับทวี ทับทวีบุญ กราบทูลพระพุทธเจ้าขอบุญ ขอบารมี รัศมี กำลังฤทธิ์ อำนาจสิทธิ สมบัติคุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มรรคผลนิพพานให้บังเกิดขึ้นแก่พวกเราทุก ๆ คน ให้บุญนี้เป็นเครื่องนำไปสู่ที่สุดแห่งธรรม 

 


                ปัจจุบันนี้ก็ให้ทุกคนมีดวงตาเห็นธรรม สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาวได้สร้างบารมีกันไปนาน ๆ อุปสรรคต่าง ๆ นานาก็ให้ละลายหายสูญไปให้หมด ให้ประสบพบแต่ความสุขความเจริญ ความสำเร็จในชีวิต ในธุรกิจการงาน ให้เป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ให้ได้เข้าถึงวิชชาธรรมกาย ให้มีกำลังใจที่เข้มแข็งสร้างบารมีไปถึงที่สุดแห่งธรรมได้ ที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำบุญ ก็ขอให้มีบุญพิเศษที่จะไปแนะนำชักจูงใครก็แล้วแต่ มาสร้างบุญสร้างกุศลก็ให้ประสบความสำเร็จเป็นอัศจรรย์ และให้มีสมบัติติดตัวไปในภพเบื้องหน้าทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มรรคผลนิพพานวิชชาธรรมกาย ถึงจุดหมายปลายทางไปเลย อย่างสะดวกสบายอย่างง่ายอย่างดาย ปัจจุบันนี้สมบัติที่ให้บังเกิดขึ้นไม่ว่าเศรษฐกิจจะตกต่ำแค่ไหนก็ตาม ก็ขอให้บุญนี้ดลบันดาลให้ผ่านภาวะกาลเหล่านี้ไปให้ได้ ให้มีสมบัติมากให้เป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ คุณยายคุมบุญตรงนี้เอาไว้ให้ดี คุมให้ดีให้ความปรารถนาทุกคนบรรลุเป้าหมายสำเร็จเป็นอัศจรรย์ทีเดียว นี่คุณยายประชุมเข้าไปในอายตนนิพพานพระพุทธเจ้าทั้งหลายให้ลงหล่อเลี้ยงรักษาผู้มีบุญทุก ๆ คน ผู้นำบุญหมดทุก ๆ คน 


 

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0013234814008077 Mins