การรื้อวัฏสงสารคืออะไร

วันที่ 15 มิย. พ.ศ.2567

15-6-67-1-b.jpg

การรื้อวัฏสงสารคืออะไร

ความหมายของการรื้อวัฏสงสารคืออะไร
 

พระอาจารย์ตอบ : เหมือนกับเราไปอาศัยอยู่ในสังคมหนึ่ง แล้วมีวิถีชีวิตเปลี่ยนไปด้วยกฎกติกา เช่น เราอาศัยในประเทศไทย มีกฎหมายครอบคลุมอยู่ แต่ถ้าสังคมที่เราอยู่มีกฎกติกาที่ไม่เป็นธรรม วิธีการที่เราจะรอดได้มี 2 แบบ คือ (1) ศึกษาเรียนรู้กฎกติกานั้นให้เข้าใจ แล้วปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง ถ้าเราไม่ทําผิดกฎ เราก็ไม่ถูกลงโทษ (2) รื้อกฎนั้นออกไป ซึ่งทำได้ยากกว่ามาก


                              การจะไปรื้อกฎนั้นเป็นเรื่องใหญ่ แต่ได้รับผลคุ้มค่ายุติธรรมทั่วกันทั้งหมด ถ้าเราทำถูกต้องตามกฎ เราจะรอดเพียงคนเดียว หรืออย่างมากก็แนะนำคนใกล้ตัวให้ปฏิบัติตนตามได้อย่างถูกต้อง ไม่ผิดกฎ อย่างนี้เอาตัวรอดได้หลายคน แต่ก็เพียงคนส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าเกิดรื้อกฎ ทุกคนจะรอดด้วยกันทั้งหมด


                              วัฏสงสารนี้ดำเนินไปโดยกฎแห่งกรรม ไม่มีใครหนีพ้น ไม่ว่าจะเป็นคนจน คนรวย คนมีอำนาจ ตลอดจนเทวดา พรหรม อรูปพรหม ล้วนต้องตกอยู่ในกฎแห่งกรรมทั้งสิ้น


                               วิธีการที่จะหลุดพ้นจากกฎแห่งกรรมได้ดี คือ ศึกษาให้รู้ว่ากฎแห่งกรรมเป็นอย่างไร แล้วไม่ไปทำอะไรที่เป็นบาป ทำแต่สิ่งที่เป็นบุญกุศล แล้วเราจะรอดพ้นไปได้


                               กติกาใดๆ ในโลกที่ว่าโหดแล้วยังไม่เท่ากฎแห่งกรรม เราฆ่าวัวตัวหนึ่ง ต้องไปเกิดเป็นสัตว์ถูกเขาฆ่านับจํานวนด้วยเส้นขนของวัว วัวตัวหนึ่งมีขนเป็นแสนล้านเส้น เท่ากับเราต้องถูกทำโทษโดนทุบตีมากเป็นแสนล้านครั้ง เผด็จการที่ว่าโหดแล้วยังเทียบกับบทลงโทษในกฎแห่งกรรมไม่ได้เลย


                                ซัดดัม ฮุสเซน คนที่ใครๆ ต่างเกรงกลัวในความเหี้ยมโหด ก็ยังเทียบไม่ติดกับกฎแห่งกรรม ถ้าผู้ทําผิดต้องไปตกมหานรกขุมแรก คือ สันชีวมหานรก กลายเป็นสัตว์นรกตัวเบ้อเริ่ม แล้วถูกนายนิรยบาลเอามีด ขวาน และเลื่อย ตัดตัวขาดเป็นท่อนๆ ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด พอทนพิษบาดแผลไม่ไหวก็ตาย พอตายได้ไม่นาน ลมกรรมพัดกายที่ขาดแล้วมาต่อใหม่ ตายเกิดวนไปวันหนึ่งหลายล้านครั้ง


                                เวลาในมหานรกขุมที่ตื้นที่สุดขุมแรก 1 วัน 1 คืน เท่ากับเวลาบนโลกมนุษย์ 9 ล้านปี หมายความว่าบนโลกมนุษย์เวลาผ่านไปเพียงวันเดียว ในนรกต้องรับกรรมนานถึง 500 ปี ไม่มีกฎหมายที่ใดในโลกโหดเหี้ยมเท่านี้เลย

15-6-67-2-b.jpg
                                 แต่ไม่ว่ากฎแห่งกรรมจะโหดเหี้ยมเพียงใดก็ตาม ในเมื่อยังมีผลบังคับอยู่ เราก็ต้องศึกษาเรียนรู้กฎแห่งกรรมให้เข้าใจว่า ทำอะไรแล้วเป็นบาป เราก็ไม่ไปทําผิดศีล ไม่ไปยุ่งเกี่ยวอบายมุข แล้วตั้งใจทำบุญกุศล


                                  ส่วนวิธีที่มนุษย์จะรอดพ้นอีกรูปแบบหนึ่ง ก็คือไปรื้อกฎแห่งกรรม รื้อวัฏสงสาร ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่และยากมาก แต่ถ้ารื้อได้สําเร็จสรรพสัตว์ทั้งหลายจะรอดพ้นด้วยกันทั้งหมด


                                  การจะทําได้ต้องอาศัยบุญมาก ต้องมีความวิริยะอุตสาหะ มีความทุ่มเทจิตใจที่ยิ่งใหญ่ไพศาล


                                  จึงเป็นคำตอบว่า งานใหญ่ๆ ที่ไม่ค่อยมีใครทำกัน แต่เราทำ เช่น บวชพระสงฆ์แสนรูป ตักบาตรพระหมื่นรูป รวมๆ แล้วให้ได้ล้านรูป ตลอดจนสร้างวัดให้ใหญ่เพื่อจะได้เป็นจุดรวมชาวพุทธได้มากคราละหลายล้านคน เป็นต้น


                                  ทําอะไรแต่ละอย่างจึงไม่เหมือนที่อื่นทั่วไป ใหญ่กว่าคนอื่นหลายเท่าตัว ก็เป็นเพราะว่าเป้าหมายไม่เหมือนคนอื่น ท่านมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของพระโพธิสัตว์ มีใจหวังจะรื้อวัฏสงสาร ซึ่งต้องอาศัยบุญมากจึงต้องทำบุญที่เป็นอภิมหาบุญอย่างนี้


                                   คนที่ไม่เข้าใจก็จะมองว่าใหญ่โตเกินไปหรือไม่ ความจริงแล้วต้องดูที่วัตถุประสงค์ ไม่ต้องอื่นไกล ให้เราดูตัวอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาติที่เกิดมาเป็นพระเวสสันดร สร้างบารมีชาติสุดท้ายก่อนจะตรัสรู้ธรรม มีคนมาขอลูก ก็ยกลูกให้ มีมาขอช้างเผือกคู่บ้านคู่เมือง ก็ยกให้เขาไป


                                   ถ้ามองในสายตาของคนปัจจุบัน เราอาจจะรู้สึกว่ามากเกินไป ลูกของตนเองจะยกให้คนอื่นได้อย่างไร พราหมณ์ชูชกมาขอลูกกัณหาชาลีเพื่อจะเอาไปเป็นคนรับใช้ คนเป็นพ่อยอมได้อย่างไร พ่อก็ต้องรักลูกของตนเอง ทําไมไม่รับผิดชอบต่อครอบครัว ก็ต้องดูว่าเป้าหมายคืออะไร


                                   ในเมื่อเป้าหมายของพระองค์ คือ ต้องการจะตรัสรู้ธรรมเพื่อช่วยชาวโลก และโปรดสัตว์โลก ความตั้งใจนั้นมองไปไกลกว่าหัวใจของคนปกติทั่วไป เพราะฉะนั้น ความตั้งใจของท่านไม่ได้คิดเอาตัวรอดเพียงเท่านั้น


                                   ดังนั้น ขึ้นอยู่ที่เป้าหมาย เราอาจจะคิดว่าการกระทำของพระเวสสันดรนั้นเกินไป แต่สําหรับพระบรมโพธิสัตว์ที่ต้องการจะตรัสรู้ธรรมนั้นไม่มากไปเลย


                                    พระองค์เห็นเสือหิวโซจนจะกินลูกของตนเอง ไม่ทันการณ์แล้วก็ยอมกระโดดลงไปให้เสือกินตนเองแทน ถ้าเป็นคนทั่วไปจะไม่คิดอย่างนั้น ช่วยลูกเสือถึงขนาดยอมให้กินตนเองแทนนั้นเกินไป แต่สําหรับพระบรมโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติ


                                    ยิ่งถ้ามีเป้าหมายรื้อวัฏฏสงสาร รื้อกฎแห่งกรรมเพื่อโปรดสรรพสัตว์ทั้งหมดแล้ว ไม่มีอะไรที่มากเกินไปเลย พร้อมที่จะอุทิศชีวิตและสติปัญญา รวมทั้งความรู้ความสามารถทั้งหมดเพื่อสั่งสมบุญบารมี เพื่อมุ่งต่อเป้าหมายการรื้อวัฏสงสาร โปรดสรรพสัตว์ทั้งปวงตลอดแสนโกฏิจักรวาลอนันตจักรวาล


เจริญพร.

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.039246149857839 Mins