อาชีพเเสนสุข
หลายคนอาจตามหาว่าอาชีพอะไรที่ทำแล้วจะมีความสุขมากที่สุด และในทางกลับกันก็พยายามหลีกหนีอาชีพที่คาดว่าทำแล้วจะเป็นทุกข์ ซึ่งจริงๆ แล้วอาชีพที่ถือว่าทำแล้วมีความสุขมากที่สุด ก็มีทั้งคนที่ทำแล้วรู้สึกมีความสุข และก็มีคนอีกไม่น้อยที่ทำแล้วไม่มีความสุข
และในทางกลับกัน อาชีพที่ถือว่าโหดที่สุดไม่มีคนอยากทำมากที่สุด คนที่ทำอาชีพเหล่านั้นกลับทำอย่างมีความสุขก็มี
แสดงว่า ตัวอาชีพเป็นเพียงแค่องค์ประกอบหนึ่งเท่านั้นที่ทำให้เรามีความสุขกับงานที่ทำ แต่ยังมีอีกหลายองค์ประกอบที่จะทำให้เรามีความสุขในอาชีพนั้น
แต่ถ้าจะให้ทุกคนเลิกทำอาชีพที่ตัวเองทำอยู่ เปลี่ยนมาทำอีกอาชีพที่ตัวเองคิดว่าทำแล้วจะมีความสุข ในทางปฏิบัติก็คงเป็นไปได้ยากเช่นกัน แล้วจะทำอย่างไรให้เราสามารถประกอบอาชีพได้มีความสุข ตรงนี้ที่น่าสนใจ
เคล็ดลับที่จะทำให้เรามีความสุขในการทำงานไม่ว่าอาชีพใดๆ มี 6 ประเด็น ต่อไปนี้
ข้อแรก คือ
ให้เราเป็นคนมีน้ำใจรู้จักแบ่งปันและให้ความช่วยเหลือคนอื่น ใครที่เป็นคนมีน้ำใจ จะเป็นที่รักของทั้งเพื่อนร่วมงาน และเป็นที่รักใคร่ของผู้ใหญ่ ลูกน้องจะให้ความเกรงใจ ให้ความเคารพนับถือ
เพราะฉะนั้น เมื่อเราเข้ากับเพื่อนในที่ทำงานได้ เข้ากับคนในหน่วยงานใกล้เคียงที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กันได้ จะติดต่อการงานกับใคร เขาก็ยิ้มด้วย เราก็จะมีความสุข พอไปทำงานก็เหมือนได้ไปเจอเพื่อนๆ เพราะรอบตัวมีแต่คนที่รู้สึกดีกับเรา
แต่ถ้าใครเป็นคนเห็นแก่ตัว ตระหนี่ถี่เหนียว ใครขอความช่วยเหลือ เราก็ไม่ให้เขา ถึงคราวเราขอเขา เขาก็ไม่ให้เรา เขาบอกว่า action= reaction พอเป็นอย่างนี้แล้ว ผลปรากฏว่า จะไปติดต่อการงานกับใคร เขาก็จะหน้าบึ้งเข้าใส่ ใจเราก็ห่อเหี่ยว และมันก็จะระบาดติดต่อกันในหมู่เพื่อนร่วมงาน ทำงานก็ไม่มีความสุข
ถ้าเราอยากให้คนอื่นเขาดีกับเรา เราก็ต้องดีกับคนอื่นเขาก่อน เราอยากให้ทุกคนให้ความร่วมมือกับเรา ให้ความช่วยเหลือการงานเรา เราก็ต้องให้ความร่วมมือกับคนอื่นเขา มีน้ำใจกับทุกๆ คน ทั้งเพื่อนร่วมงาน ทั้งคนที่มาติดต่องาน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า หรือจะเป็นใครก็ตาม
ที่มาถึงเราแล้ว จะต้องคิดว่าให้เขาได้ความสะดวกได้รอยยิ้ม ได้ความสุขกลับไป ให้ตั้งเป้าในใจไว้แบบนี้ แล้วเราจะพบว่า เราสามารถทำหน้าที่ของเราได้อย่างมีความสุข
ข้อสอง คือ
ไม่ทำผิดระเบียบ ผิดกฎหมาย ผิดกฎเกณฑ์กติกาของหมู่คณะ สังคม ให้ทำทุกอย่าง อย่างตรงไปตรงมา จะได้เป็นคนไม่มีแผล ไม่มีความผิดที่ต้องคอยปกปิด คอยระแวงว่าจะมีคนอื่นรู้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ความสุขประการหนึ่งของมนุษย์คือ ความสุขจากการทำงานไม่มีโทษ ซึ่งงานไม่มีโทษ ก็คือ งานที่ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรมนั้นเอง
ข้อสาม คือ
ต้องรู้จักเคลียร์ใจตัวเอง เวลาทำงานจริงๆ ไม่มีงานไหนที่จะถูกใจเรา 100% ทำงานแล้วมีหงุดหงิดบ้าง เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าเรารู้จักเคลียร์ใจของเรา เหมือนเราเองออกไปจากบ้าน ยังไงๆ ก็ต้องเจอฝุ่น คราบเหงื่อไคลเกิดขึ้นในตัว ถ้าเราไม่รู้จักการอาบน้ำชำระล้างร่างกาย ร่างกายก็จะเหนอะหนะ เปรอะเปื้อน
ใจเราก็เหมือนกัน ไปเจอเรื่องกระทบจากการงาน การติดต่อผู้คนทั้งหลาย ถ้าไม่รู้จักเคลียร์ใจ ใจเราก็จะเหนอะหนะ แล้วก็จะเครียด เซ็ง เบื่อ แต่ถ้าเรารู้จักเคลียร์ใจด้วยการสวดมนต์ทำสมาธิก่อนนอน ใจก็จะปลอดโปร่งสดชื่น บุญก็จะหล่อเลี้ยงใจ ตื่นมาใจก็ปลอดโปร่ง โล่ง สบาย พร้อมที่จะทำงาน ทำภารกิจทุกๆ อย่างในวันต่อไปได้อย่างเต็มที่
ถ้าทำได้ 3 ข้อนี้ เราก็ชนะไปกว่าครึ่งทาง
อีก 3 ข้อท้ายที่เหลือก็เป็นเรื่องของการทำงานโดยตรง
ข้อสี่ คือ
ให้เราเห็นประโยชน์ของงาน มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง เก็บหอมรอมริบตั้งใจจะปลูกบ้าน แต่ละเดือนก็เอาเงินเดือนมารวมกันนับดูว่าเดือนนี้ใช้จ่ายไปเท่าไร เหลือเท่าไร ทำ 0T หารายได้พิเศษ ช่วยสอนหนังสือได้เท่าไร ได้เสาบ้านมากี่ต้น ค่อยๆ เก็บไปเรื่อยๆ ช่วงแรกผ่อนที่ดินได้ 100 ตารางวา
แล้วต่อมาเตรียมแผนสร้างบ้าน มีเป้าหมายที่ชัดเจน ก็รู้สึกกระตือรือร้นที่จะทำงาน มีช่องทางงานพิเศษที่ไหนดึกๆ ดื่นๆ ก็อยากทำ เพราะเป้าหมายชัด พอรู้ว่าจะเกิดประโยชน์อะไรจากการทำงาน เล็งเห็นประโยชน์แล้ว ใจที่อยากจะทำงานมันก็จะเกิดตามมา แม้จะเป็นแค่ประโยชน์ส่วนตัวก็ตาม
แต่เราไม่ควรหยุดเพียงแค่ประโยชน์ส่วนตัว ให้ขยายต่อไปจนถึงคนรอบข้างถึงครอบครัว สังคมส่วนรวม หรือแม้แต่เพื่อประโยชน์พระพุทธศาสนาและเพื่อประโยชน์ต่อโลก ถ้าขยายใจให้กว้างได้อย่างนี้ใจเราก็จะยกสูงขึ้น
แล้วก็จะรู้สึกว่าที่เราทำอยู่ได้สิ่งที่ดีๆ ต่อส่วนรวม ได้ทำเพื่อบุญ เพื่อกุศล ใจเราก็จะฟูและมีความสุขกับงานที่ทำ แล้วเราจะพบความเปลี่ยนแปลงว่า เราทำงานด้วยความสุขมากขึ้น
ข้อห้า คือ
เวลาทำงานอย่าอู้ อย่าหลบ ให้เดินหน้าเข้าหางาน แม้จะหนักหรือเหนื่อย ให้เป็นทหารอาสาศึก อย่าเป็นทหารเกณฑ์ หลบได้หลบ เลี่ยงได้เลี่ยง ถ้าทำอย่างนั้น จะไม่มีความสุข
งานมาถึงเราเมื่อไรจะรู้สึกทุกข์ว่าเจองานอีกแล้ว จะรู้สึกกลุ้มตลอดเวลา แต่ถ้าคนไหนเดินเข้าหางาน พยายามเข้าไปช่วย แม้ไม่ใช่หน้าที่ ถ้าอย่างนี้เราก็จะเป็นคนที่มีความสุขในการทำงาน
เพราะมันเริ่มเกิดปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงในใจตนเองว่า เราอยากทำ ยินดีทำ พอใจเปิดยินดีทำ ไปทำแล้วก็มีความสุข แล้วทุกคนก็จะรู้สึกยอมรับเรา เพราะรู้ว่าเราเป็นคนสู้งาน พร้อมที่จะแบ่งเบาภาระให้กับทุกคน
เราไม่เป็นคนที่ถ่วงหมู่คณะ ถ่วงหน่วยงาน แต่เป็นคนที่เป็นกำลังสำคัญของหน่วยงาน พอรู้สึกอย่างนี้ เราเองก็จะมีความภูมิใจในตัวเอง และเป็นคนที่มีคุณค่าสำหรับหน่วยงานนั้นๆ
ข้อหก คือ
ให้เราศึกษาหาความรู้ พัฒนาศักยภาพเราเองอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา พอเรามีความรู้ ความสามารถ เราทำงานก็จะทำได้ดี เราจะเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ แล้วก็จะมีอารมณ์อยากทำงานมากขึ้น
เพราะทำแล้วผลงานก็ออกมาดี ทุกคนก็ให้การยอมรับ แต่ใครที่ทำงานไหนแล้วไม่ดี เมื่อทำเสร็จ ก็ถูกตำหนิ ถูกบ่น ถูกว่า มันก็เซ็ง ไม่อยากทำ ยิ่งฝืนทำ งานก็ยิ่งแย่ ก็ยิ่งถูกตำหนิ ยิ่งไม่มีความสุข
ดังนั้นแม้มีงานใดที่เรารู้สีกว่าไม่ถนัด ทำได้ไม่ดี ไม่อยากทำ ก็ให้ตั้งใจเป็นพิเศษ ทุ่มเททำด้วยใจจดจ่อ จะพบว่าเวลาไม่นานผ่านไป เราจะมีความถนัดทำงานนั้นได้ดี อาการฝืนใจจะหมดไป มีความสุขกับงานได้ ต้องกัดฟันเปลี่ยนวงจรลบ เป็นวงจรบวกให้ได้
ให้ลองเปลี่ยนทัศนคติใหม่ ลองเดินเข้าหางาน หมั่นหาความรู้ พัฒนาความสามารถ ก็จะได้ทั้งปริมาณงาน และคุณภาพงานที่ดีขึ้น ยิ่งทำ เรายิ่งสนุก ยิ่งทำ เรายิ่งภูมิใจ จับงานเมื่อไร ทุกคนก็ยอมรับเราหมด
เจริญพร
พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ