ศีลข้อที่ ๓ กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี

วันที่ 19 กค. พ.ศ.2567

 

2567%2007%2019%20b.jpg

 

ศีลข้อที่ ๓ กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี

 

        คำว่า กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี นั้นมีการแปลโดยทั่วไปว่า ห้ามประพฤติผิดในกามทั้งหลาย อันนี้เป็นการแปลแบบทั่วไป แต่ก็พอเข้าใจกันได้ แม้จะไม่ละเอียดตรงประเด็นเป้าหมายนัก เพราะประเด็นในเรื่องกาเมสุมิจฉาจารนี้มีความละเอียดพอสมควร และศีลข้อนี้ก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนไม่น้อย

 

          คำว่า  กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี  แปลตามศัพท์ได้ว่า เจตนาเป็นเครื่องกำจัดเวร จากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย


          คำว่า กาเมสุ นั้นก็คือ กาม นั่นเอง กาม ในทางวิชาการหมายถึงการประพฤติเมถุน ๒ อย่าง คือ สทารสันโดษ คือความยินดีในภรรยาของตนกับ การถึงภรรยาของผู้อื่น คือการละเมิดในภรรยาของผู้อื่น


            อีกความหมายหนึ่ง กาม หมายถึง สัตว์อันเป็นที่ตั้งแห่งเมถุน


            คำว่า สัตว์ ในที่นี้ก็คือ สัตวโลกอันเป็นที่ตั้งแห่งเมถุน


           คำว่า เมถุน หมายถึง กรรมของคนคู่ คือการมีเพศสัมพันธ์กัน ซึ่งคนเดียวทำไม่ได้ ต้องทำเป็นคู่


            ส่วนคำว่า มิจฉาจาร หมายถึง ความประพฤติเลวทราม ที่ถูกตำหนิติเตียนโดยส่วนเดียว ไม่มีใครสรรเสริญ คนที่สรรเสริญในการละเมิดกามก็คือคนที่ชอบ มีใจไปทางนั้นเท่านั้นเขาจึงสรรเสริญ แต่ถ้าเป็นคนดีคนฉลาดโดยทั่วไปเขาจะตำหนิติเตียน จะไม่เอาด้วย


           ดังนั้น กาเมสุมิจฉาจาร  เราจึงแปลกันว่า  การประพฤติผิดในกาม โดยลักษณะหมายถึง การล่วงละเมิดฐานะที่ไม่ควรถึงซึ่งเป็นไปทางกายทวารโดยประสงค์เสพอสัทธรรม


          การอธิบายแบบนี้เป็นเรื่องวิชาการ อธิบายแบบนี้ฟังไม่ค่อยถนัดนักจำได้ยากด้วย เพราะฉะนั้น คนโบราณจึงบอกว่า กาเมสุ มิจฉาจารา ก็คือการประพฤติผิดในกาม แล้วก็อธิบายว่า การประพฤติผิดในกามก็คือการล่วงละเมิดภรรยาของผู้อื่น นั่นเอง อย่างนี้พอเข้าใจ

2567%20.07%20.19b.jpg

องค์ของศีลข้อที่ ๓


            ศีลข้อที่ ๓ ประกอบด้วยองค์ ๔ ประการ คือ


                    ๑.เป็นบุคคลที่ไม่ควรล่วงละเมิด เช่น ชายหรือหญิงที่มีภรรยาหรือสามีแล้ว
                    ๒. จงใจจะเสพในบุคคลนั้น
                    ๓. มีความพยายามในการเสพ
                    ๔. ให้อวัยวะเพศถึงกัน


           เมื่อพิเคราะห์องค์ทั้งหมดเหล่านี้แล้ว  ย่อมมองเห็นได้ว่าการที่จะล่วงละเมิดศีลข้อนี้ได้นั้นมิใช่ง่าย ต้องมีการสมยอมกันจึงจะครบองค์ หากเป็นการไม่สมยอม เช่น ข่มขืนทั้งในขณะตื่นหรือหลับก็ตาม ก็เป็นกาเมสุมิจฉาจารฝ่ายเดียวคือผู้ข่มขืน ส่วนฝ่ายที่ถูกข่มขืนไม่เป็นกาเมสุมิจฉาจารด้วยเพราะแม้จะมีอวัยวะเพศถึงกัน แต่ความจงใจและความพยายามไม่มีองค์ศีลไม่ครบจึงไม่เป็นกาเมสุมิจฉาจาร

 

หญิงชายที่เป็นที่ตั้งแห่งกาเมสุมิจฉาจาร


        ศีลข้อนี้ส่วนใหญ่จะนึกถึงการล่วงละเมิดทางเพศกับภรรยาผู้อื่นซึ่งก็ถูกต้อง แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ เพราะการล่วงละเมิดศีลข้อนี้เป็นได้ทั้งฝ่ายหญิงและชาย ดังนั้นจึงมีรายละเอียดที่ต้องพิจารณามาก


          คำว่า  หญิง  ในความหมายข้างต้นหมายถึงหญิงที่ห้ามล่วงละเมิด ๓ ประเภท  คือ ภรรยาของเขา หญิงที่อยู่ในพิทักษ์ท่าน และ หญิงที่จารีตห้าม


               -     ภรรยาของเขา  ได้แก่ หญิงเหล่านี้ หญิงที่แต่งงานกับชาย หรือไม่ได้แต่งงานกับชาย แต่อยู่กินด้วยกันกับชายโดยเปิดเผย หญิงที่ยอมรับทรัพย์หรือสิ่งอื่นของชายแล้วไปอยู่กับเขา หญิงที่ชายเลี้ยงไว้เป็นภรรยา หญิงเหล่านี้ถือว่าเป็น ภรรยาของเขา เมื่อล่วงละเมิดเข้าจัดเป็นกาเมสุมิจฉาจาร


           หญิงเหล่านี้   มิใช่ไม่ควรไปมีเพศสัมพันธ์ร่วมสังวาสด้วยเท่านั้น   แม้การเคล้าคลึง  พูดจาเกี้ยวพาน แสดงอาการชอบพอปฏิพัทธ์ด้วยสายตา เป็นต้นก็ไม่ควรเหมือนกัน


              แต่หญิงเหล่านี้  เมื่อสามีของนางตายไปหรือได้หย่าร้างกันแล้ว  ก็เป็นอิสระ  เป็นไทแก่ตัว ไม่เป็นที่ตั้งแห่งกาเมสุมิจฉาจารสำหรับนาง


                -     หญิงที่อยู่ในพิทักษ์ท่าน   คือ  หญิงอยู่ในความดูแลพิทักษ์รักษาของมารดาบิดา ญาติ หรือบุคคลที่มีฐานะเช่นนั้น บิดามารดาเป็นต้นย่อมเป็นใหญ่เหนือหญิงนั้น เมื่อชายลอบไปสมสู่หรือลักพาตัวหญิงนั้นไป ถือว่าเป็นกาเมสุมิจฉาจาร เมื่อท่านอนุญาตหรือยอมยกให้เมื่อไปสู่ขอแล้วก็ไม่มีโทษอะไร

 

              และหญิงเช่นนี้  หากมีคู่หมั้นแล้วคู่หมั้นย่อมเป็นผู้พิทักษ์หญิงนั้น   มิใช่มารดาบิดาเหมือนเดิม เว้นเสียว่าได้ถอนหมั้นกันแล้ว ก็ตกอยู่ในความดูแลของบิดามารดาเหมือนเดิม


                 -     หญิงที่จารีตห้าม  คือ  หญิงที่เป็นเทือกเถาของตัว คือ แม่ ย่า ยายทวด และหญิงที่เป็นเหล่ากอของตัว คือ ลูก หลาน เหลน หญิงเหล่านี้ชื่อว่าอยู่ในพิทักษ์ของตระกูล เป็นหญิงที่จารีตห้ามประเภทหนึ่ง หญิงที่อยู่ใต้บัญญัติในพระศาสนา เช่น ภิกษุณี แม่ชีก็เป็นหญิงที่จารีตห้ามประเภทหนึ่ง หญิงที่กฎหมายบ้านเมืองห้ามและลงโทษแก่ชายที่เข้าไปสมสู่ ก็เป็นหญิงที่จารีตห้ามประเภทหนึ่ง หญิงเหล่านี้เมื่อล่วงละเมิดจัดเป็นกาเมสุมิจฉาจารทั้งสิ้น


                สำหรับชายที่เป็นที่ตั้งแห่งกาเมสุมิจฉาจารก็มี  เช่น  ชายที่มีภรรยาแล้วชายที่จารีตห้าม ได้แก่ ภิกษุสามเณร นักพรตในศาสนาอื่น หญิงที่ยินยอมร่วมสังวาสกับชายนั้น ถือว่าเป็นกาเมสุมิจฉาจาร ในกรณีที่หญิงไม่ยินยอมฝ่ายชายทำโดยพลการ หญิงไม่ต่อสู้หรือหลบหนีได้อย่างนี้ไม่เป็นกาเมสุมิจฉาจารสําหรับฝ่ายหญิง แต่เป็นกับฝ่ายชายข้างเดียว


                 สำหรับหญิงที่อยู่ในความพิทักษ์ของมารดาบิดา  เมื่อลักลอบคบหากับชาย ท่านว่าไม่เป็นกาเมสุมิจฉาจาร เพราะการพิทักษ์รักษาของมารดาบิดานั้นก็เพื่อจะห้ามกันมิให้ธิดาไปประพฤติไม่สมควรเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นหญิงเช่นนั้นก็ไม่ควรประพฤติให้เป็นที่ไม่สบายใจแก่มารดาบิดาเพราะจะทำให้ท่านเกิดความอายหรือทำให้เสียชื่อเสียง เมื่อข่าวคราวของบุตรสาวประพฤติเช่นนั้นรั่วไหลไปถึงหูคนอื่นแล้วพูดจากัน

 

ศีลข้อที่ ๓ เพื่ออะไร


          มีโจทย์ที่ต้องอธิบายในเรื่องนี้ คือศีลข้อที่ ๓ มีเพื่ออะไร หรือมีจุดมุ่งหมายสำคัญอย่างไร


            ศีลข้อที่ ๓ มีจุดมุ่งหมายหลักก็เพื่ออย่างเดียวเท่านั้นคือ เพื่อครอบครัวอบอุ่นเป็นสุข


         ศีลข้อที่  ๓  เป็นเรื่องของครอบครัว ครอบครัวที่รักษาศีลข้อ ๓ จะเป็นครอบครัวที่สบาย ไม่มีวิตก ไม่มีกังวล ไม่มีเรื่องเดือดร้อน ไม่มีเรื่องเสียหาย ไม่หายนะ เมื่อทำงานแล้วกลับบ้าน ครอบครัวก็อบอุ่นยิ้มแย้มแจ่มใส สนทนาปราศรัยกันอย่างเป็นสุข สามีภรรยาก็จะเป็นเหมือนคู่รักกันตลอดชีวิตลองสังเกตดูครอบครัวที่เขาอยู่เย็นเป็นสุข สามีภรรยาที่เป็นคนชราด้วยกันต่างคอยประคับประคองกันเดิน ยิ้มแย้มแจ่มใส น่าอิจฉา นั่นแหละคือครอบครัวเป็นสุข ลักษณะผัวเดียวเมียเดียว


          ในศีลข้อที่ ๓ นี้  ความมีผัวเดียวเมียเดียว  ความมีความซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน  จัดเป็นข้อปฏิบัติหลัก การปฏิบัติตามหลักศีลข้อที่ ๓ ก็คือ ผัวเดียวเมียเดียว นี่เอง


          เมื่อว่าถึงศีล ๕  ข้อที่ ๓ ในระดับครอบครัว ครอบครัวไทยเรานี่ มีไม่น้อยที่ถูกตำหนิหรือถูกด่าโดยทั่วไปว่าแย่มากๆ ผู้ชายชอบมีเมียน้อยมีอะไรกันผู้หญิงหลายคนก็สมัครใจเป็นเมียน้อย ผู้ชายหลายคนสมัครใจมีเมียมากถ้ามีเงิน มีอำนาจ หรือมีฐานะดีเมื่อไหร่ ผู้ชายก็มักจะเป็นอื่น ถ้ายังยากจนอยู่ก็ยังตัวเดียวเมียเดียวอยู่ได้ พอมีอะไรเพิ่มมากขึ้นจนสบายขึ้นมาก็มีกิ๊กมีอะไรขึ้นเริ่มไม่ซื่อสัตย์ต่อภรรยา

 

2567.07.19%20b.jpg

 

          เพราะฉะนั้น  การที่ผู้ชายจะซื่อสัตย์ต่อภรรยาได้ต้องมี  สทารสันโดษ  คือ  ความยินดีพอใจในภรรยาของตน ส่วนภรรยาจะซื่อสัตย์ต่อสามีของตนได้ต้องมี ปติวัตร คือ ความจงรักในสามีของตน


         สามีภรรยาที่มั่นคงในความรัก  รักเดียวใจเดียว  ไม่แปรผันเป็นอื่น  แม้จะผ่านกาลเวลาไปนานเท่าใดก็ยังเหมือนเดิม แม้สังขารร่างกายจะไม่อำนวยให้สดชื่นได้เหมือนเดิมก็ยังมั่นคงเหนียวแน่นครอบครัวเช่นนี้ย่อมอยู่เป็นสุขมีความอบอุ่น ไม่แตกร้าวหรือหวาดระแวงในกันและกัน อยู่กันด้วยความไว้วางใจต่อกันแนบสนิท จึงอยู่กันได้นานและอยู่ได้ทน ไม่เปลี่ยนแปลงแม้จะตายจากกันไปข้างหนึ่ง


             ครอบครัวโบราณเป็นอย่างนี้กันเป็นส่วนใหญ่


           แรกเริ่มทีเดียว   มนุษย์เราแต่เก่าก่อนคงสำส่อนเรื่องเพศ  ไม่มีความอิ่มความพอในการหาคู่ครองและในการอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว เที่ยวแก่งแย่งคู่ครองของคนอื่นมาเป็นของตนเมื่อตนมีอำนาจและกำลังเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่งความทะเลาะบาดหมาง เข่นฆ่า และการเบียดเบียนกันจึงเกิดขึ้นไว้วางใจกันไม่ได้แม้คนใกล้ชิด ความสงบสุขในหมู่คณะก็ไม่มี ด้วยเหตุนี้จึงคิดตั้งกฎกันขึ้นมาเป็นหลักปฏิบัติ  ศีลข้อที่ ๓ นี้จึงถือกำเนิดขึ้น  กฎข้อนี้เกิดขึ้นด้วยเหตุผลสำคัญคือป้องกันความแตกร้าวกันในหมู่คณะและสร้างความไว้วางใจให้แก่กันและกัน

 

            กฎข้อนี้เมื่อใช้กันแล้วก็ทำให้ครอบครัวเกิดความอบอุ่น  อยู่เป็นสุขขึ้นไว้วางใจกันได้ ไม่ต้องทะเลาะเบาะแว้ง ไม่ต้องเข่นฆ่าอาฆาตกันต่อไปกฎข้อนี้จึงดำรงอยู่มาได้จนทุกวันนี้

 

            ข้อเท็จจริงทั่วไป  เมื่อชายกับหญิงมีจิตรักใคร่กันแล้วตกลงใจอยู่กินด้วยกัน  สังคมก็ยอมรับ แต่เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่จริงใจ คิดนอกใจไปหาหญิงอื่นหรือไปหาชายอื่นซึ่งจะมีสามีหรือภรรยาแล้วก็ตาม หรือยังไม่มีก็ตาม ก็ทำให้เกิดความแตกร้าวกันแล้ว ถ้าทนไม่ได้ก็ต้องเลิกร้างกัน หรือหากหญิงนั้นมีสามีอยู่สามีของนางก็ย่อมอาฆาตชายชู้ เกิดเป็นศัตรูกันโดยตรงบ้างโดยอ้อมบ้าง หาทางแก้แค้นหรือไม่ก็เข่นฆ่าให้ตายไปโดยยอมติดคุกติดตะราง แต่ไม่ยอมเสียหน้าไม่ยอมเสียศักดิ์ศรี ทำให้ทุกคนไม่มีความสุข วิตกกังวลตลอดเวลา แม้ว่าจะไม่มีใครรู้ใครเห็นเป็นเรื่องกระจ่าง แต่ผู้กระทำทั้งคู่ย่อมรู้อยู่แก่ใจตนเองดีว่าตนทำอะไรไว้ จึงทำให้หวาดระแวง วิตกกังวล กลัวผู้อื่นจะจับได้ กลัวสามีหรือภรรยาของตนจะรู้ อะไรทำนองนี้


      การทำกาเมสุมิจฉาจารจึงเป็นเหตุให้ครอบครัวไม่อบอุ่น  ไม่เป็นสุขอยู่กันอย่างหวาดระแวง อย่างอึดอัดเป็นทุกข์ หวานอมขมกลืน บางครอบครัวถึงกับแยกกันอยู่แม้จะยังไม่หย่าร้างกันเพราะมีห่วงคือลูกผูกพันอยู่ น่าเวทนานัก


โทษของกาเมสุมิจฉาจาร


               การกระทำกาเมสุมิจฉาจารนั้นมีโทษหนักทั้งทางโลกและทางธรรม ในประเทศที่เจริญด้วยศีลธรรมหรือประเทศที่ผู้คนมีจิตสำนึกในเรื่องนี้ค่อนข้างสูงเมื่อมีใครล่วงละเมิดผิดศีลข้อนี้ก็จะถูกประณามอย่างรุนแรง ถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายก้อนใหญ่ หรือถูกสังคมรังเกียจจนต้องหนีไปอยู่ต่างถิ่น คนที่มีตำแหน่งหน้าที่สูงจำต้องลาออกจากตำแหน่งเพื่อหนีหรือเพื่อรับผิดชอบก็มีให้เห็นกัน

 

               ส่วนในถิ่นที่ไม่ตระหนักเรื่องนี้นัก คนทำผิดแล้วอาจรอดตัวหรืออาจหาทางทำให้ตัวเองพ้นผิดได้ แม้ผู้คนจะรังเกียจก็ยังสามารถอยู่ในสังคมได้ แต่แม้จะพ้นโทษในทางโลก แต่โทษทางธรรมไม่มีพ้นไปได้ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของเวรอีกเรื่องหนึ่งซึ่งผู้กระทำต้องประสบ เวรย่อมต้องตามให้ผลตลอดกาลแม้สิ้นชีวิตไปแล้ว เช่น ทำให้เกิดในอบายภูมิ เมื่อเกิดมาใหม่จะเป็นคนพิการทางเพศ เป็นคนมีเพศวิปริต เป็นคนสองเพศ เป็นคนมีจิตใจหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องเพศ มีคู่ครองที่ประพฤตินอกใจ มีคู่ครองที่ไม่เหมาะสมกับตน มีครอบครัวที่ไม่อบอุ่น ไม่เป็นสุข หวาดระแวงกันอยู่ตลอดเวลา เป็นต้น
โทษของกาเมสุมิจฉาจารนี้ มิใช่ว่าต้องละเมิดทางกายเท่านั้นจึงได้รับโทษ แม้เพียงล่วงละเมิดทางใจเพียงไม่สำรวมกิริยาอาการที่เหมาะสมมองดูด้วยจิตที่มีราคะ หรือมีจิตรวนเรคิดในทางที่ไม่ควร ก็ทำให้เกิดโทษได้

2567%20.07%20.19%20b.jpg

          ดังมีตัวอย่างของผู้ได้รับโทษในเรื่องนี้ที่ท่านแสดงไว้ในคัมภีร์ซึ่งภิกษุสามเณรเล่าเรียนกันหลายเรื่อง


              เรื่องหนึ่งมีว่า


           ฤาษีตนหนึ่งบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าหิมพานต์จนได้บรรลุฌาน สามารถเหาะเหินได้ คราวหนึ่งต้องการอาหารที่มีรสเค็มบ้างจึงได้เหาะมาลงที่อุทยานหลวงของพระเจ้าแผ่นดินเมืองหนึ่ง พระราชาทรงทราบเรื่องจึงเสด็จไปสนทนาด้วยมีความเลื่อมใสศรัทธาจึงนิมนต์ให้ไปฉันอาหารในวังทุกวัน ฤๅษีก็รับนิมนต์


              พระราชาทรงรับสั่งให้จัดอาหารสำหรับฤาษีไว้ที่ห้องรับรองชั้นบนปราสาท  ซึ่งมีระเบียงด้านนอกสำหรับตากอากาศในฤดูร้อน


           เมื่อถึงเวลาฤๅษีก็เหาะลงไปที่ระเบียง  แล้วเดินเข้าไปในห้องรับรองพระราชาพร้อมทั้งพระมเหสีก็ออกมาต้อนรับถวายอาหาร สนทนากันแล้วฤาษีก็เหาะกลับ ทำอยู่เช่นนี้หลายวัน


          วันหนึ่งพระราชาทรงมีงานสำคัญต้องไปปราบพวกกบฏนอกพระนคร  จึงตรัสมอบภาระการต้อนรับฤาษีให้พระมเหสี พระนางก็ทรงยินดีรับสนองเพราะทรงปฏิบัติเป็นประจำอยู่แล้ว


              เช้าวันรุ่งขึ้น  ฤาษีมาช้ากว่าปกติ  พระมเหสีจึงออกไปบรรทมรอที่ระเบียงเผลอหลับไปนิดหนึ่ง พอดีได้ยินเสียงคากรองที่ฤาษีนุ่งดังขึ้นก็ทรงทราบว่าฤาษีมาแล้วจึงรีบเสด็จลุกขึ้น ด้วยความรีบร้อนไม่ทันระวัง ผ้าทรงที่นุ่งห่มอยู่เกิดหลุดลุ่ย เปิดให้เห็นพระวรกายบางส่วน ฤาษีเหาะมาลงและมองเห็นพระวรกายส่วนนั้นของพระนางพอดี เมื่อเห็นแล้วเกิดความหลงรวนเรด้วยอำนาจราคะความกำหนัดยินดี เพราะไม่สำรวมใจในการเห็นทำให้ฌานเสื่อมทันทีโดยไม่รู้ตัว

 

           เมื่อรับอาหารเสร็จแล้วเดินออกมาเพื่อเหาะกลับ   แต่เหาะไม่ได้เพราะฌานเสื่อมทำให้ต้องเดินลงทางบันไดปกติ เมื่อกลับถึงอุทยานแล้วก็ตั้งใจทำสมาธิใหม่จนได้ฌานตามปกติ


             ต่อมาเมื่อพระราชาเสด็จกลับแล้ว    ได้เหาะไปรับอาหารเหมือนเคยเมื่อรับอาหารเสร็จแล้วก็ถวายบังคมลาพระราชา และตั้งใจว่าจะไม่กลับมายังถิ่นมนุษย์อีก


             เรื่องนี้แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล่าสั้นๆ   แต่ก็ให้ข้อคิดมากมายสำหรับผู้ที่มีวิชาทั้งหลาย การที่ใจไม่สำรวมระวังในกามารมณ์ย่อมมีโทษ แม้จะมีฌานแก่กล้าแต่เมื่อไม่อาจคุมใจได้ก็ทำให้ฌานเสื่อมได้ ประสาอะไรกับคนที่ไม่ได้มีฌาน ไม่มีคุณสมบัติระดับสูงอะไรจะสู้ไหว นอกจากตั้งสติสำรวมใจให้มั่นคงไว้ ฝึกฝนให้เกิดปัญญารู้เท่าทันก็จะสามารถเอาตัวรอดได้


              อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้วจนมีบันทึกไว้เป็นหลักฐาน


            เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่วัดเชตวัน   เมืองสาวัตถี   ลูกชายเศรษฐีชาวเมืองโสเรยยนครคนหนึ่งนั่งรถออกนอกเมืองไปเล่นน้ำกับเพื่อนพร้อมทั้งลูกน้องจำนวนหนึ่ง ขณะนั้นพระมหากัจจายนะกำลังจะเข้าไปบิณฑบาตในเมืองโสเรยยนคร ห่มผ้าสังฆาฏิซ้อนอยู่ข้างนอก ปกติผิวพรรณของพระเถระเปล่งปลั่งสดใสดั่งทองคำ ลูกชายเศรษฐีเห็นท่านเข้าแล้วเกิดความคิดขึ้นว่า


           “โอหนอ  พระเถระท่านนี้ควรจะเป็นภรรยาของเรา  หรือผิวพรรณภรรยาของเราควรจะเหมือนผิวพรรณของพระเถระ

 

             ความคิดเช่นนี้แม้จะดูว่าเป็นธรรมดา    แต่ผู้คิดคงมีความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆด้วยอำนาจราคะและพระเถระที่เขาคิดถึงนั้นเป็นพระอรหันต์ด้วย ความคิดนั้นก็ทําให้เกิดโทษร้ายแรง


                คือเพศชายของเขาได้เลือนหายไป เพศหญิงเกิดขึ้นมาแทนที่


            เขารู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง  ร่างกายและจิตใจเป็นผู้หญิงไปหมด  จึงเกิดความละอาย ขอลงจากรถเพื่อไปทำกิจส่วนตัวแล้วหนีไปพรรคพวกที่ไปด้วยก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


             เขาเร่ร่อนไปจนถึงเมืองตักกสิลาด้วยเพศของหญิงได้แต่งงานกับลูกชายเศรษฐีในเมืองนั้นจนกระทั่งมีลูกชายถึงสองคน ต่อมาได้พบกับเพื่อนเก่าที่ออกรถมาด้วยกัน จึงเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง เพื่อนได้แนะนำให้ไปขอขมาพระมหากัจจายนเถระเสีย เมื่อได้ขอขมาพระมหาเถระแล้วเพศหญิงก็กลับหายไปเพศชายเกิดขึ้นแทน


               เศรษฐีบุตรผู้นี้มีจิตคิดไม่เหมาะสมไม่สมควรในพระเถระ   จึงได้รับผลมีเพศกลับเป็นหญิงในอัตภาพนี้ทีเดียว แต่เมื่อได้เพศชายกลับคืนมาเหมือนเดิมแล้วได้ออกบวชเป็นภิกษุและได้เป็นพระอรหันต์ในที่สุด


                  เรื่องนี้ดูเป็นเรื่องพิเศษเฉพาะ แต่ก็เป็นที่โจษจันกันมาแต่ครั้งพุทธกาล

 

2567%2007%2019b.jpg


             ในพระคัมภีร์แสดงไว้ว่า ชายที่ไม่เคยเกิดเป็นหญิง  หรือหญิงที่ไม่เคยเกิดเป็นชายไม่มี ทั้งชายและหญิงล้วนเคยเกิดเป็นเพศตรงข้ามมาแล้วทั้งนั้นชายที่ล่วงละเมิดทางเพศกับภรรยาของผู้อื่น ครั้นสิ้นชีวิตแล้วจะไปตกนรกหมกไหม้อยู่หลายแสนปี เมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ด้วยบุญกรรมที่เคยทำไว้บ้างก็จะเข้าถึงความเป็นหญิง

 

             แม้พระอานนทเถระอริยสาวกผู้เป็นพระอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า บำเพ็ญบารมีมาหลายแสนกัป ท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏไม่น้อย ในอัตภาพหนึ่งเกิดอยู่ในตระกูลกรรมกร ได้ทำปรทารกรรมคือล่วงละเมิดภรรยาผู้อื่น จึงตกนรกอยู่นาน ด้วยเศษกรรมที่เหลือ ได้เกิดเป็นหญิงคนใช้ของชาย ๑๔ อัตภาพถึงการถูกตอน ๗ อัตภาพ


                 นี่คือโทษที่ได้รับเพราะทำกาเมสุมิจฉาจารโดยตรง


               สำหรับฝ่ายหญิง  เมื่อได้ทำบุญกุศลต่างๆ  เช่น  ให้ทาน  รักษาศีล  แล้วคลายความยินดีพอใจในเพศหญิง ตั้งจิตอธิษฐานว่า “ขออำนาจบุญกุศลนี้จงเป็นไปเพื่อให้ได้อัตภาพเป็นบุรุษด้วยเถิด” เมื่อล่วงลับไปแล้วกลับมาเกิดใหม่ก็จะได้อัตภาพเป็นบุรุษตามปรารถนา หรือหญิงที่เป็นปติเทวตา คือเป็นผู้มีความซื่อสัตย์ รักเดียวใจเดียว มีความจงรักภักดีต่อสามี ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบต่อสามีเป็นปกติ ก็ย่อมได้อัตภาพเป็นบุรุษเช่นกัน


วัตถุประสงค์ของศีลข้อที่ ๓

        การกำหนดเรื่องกาเมสุมิจฉาจารนี้ขึ้นมาเป็นกติกาในสังคม  มีวัตถุประสงค์ใหญ่  ๔ ประการ คือ

             ๑.  เพื่อให้สังคมมั่นคงอยู่ในกรอบสทารสันโดษ  คือการมีผัวเดียวเมียเดียว  ซื่อสัตย์จริงใจต่อคู่ครองของตัวตลอดไป มีความรู้สึกระวังตัว ไม่ไปล่วงละเมิดคู่ครองของผู้อื่น ไม่ล่วงละเมิดแม้ด้วยการแบ่งปันใจไปฝักใฝ่ในหญิงอื่นชายอื่น

 

                  ๒.  เพื่อป้องกันความแตกร้าวในสังคม   คือสังคมจะไม่มีความแตกร้าวเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความแตกร้าวในครอบครัว ในหมู่ญาติ ในหมู่คนที่อยู่ร่วมกัน เพราะสาเหตุมาจากมีการล่วงละเมิด ข่มขืน หรือปันใจไปให้ชายอื่นหญิงอื่นที่มิใช่คู่ครองของตัว เมื่อมีข้อกำหนดนี้ขึ้นมาและปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัด ความแตกร้าว ความไม่วางใจกันความหวาดระแวงกัน เป็นต้น ก็ไม่เกิดขึ้น


                 ๓.  เพื่อให้คนในสังคมไว้วางใจกัน    คือผู้คนที่อยู่รวมตัวกันเป็นหมู่เป็นคณะที่เรียกว่าสังคมนั้น ถ้าหากมีความไว้วางใจกันได้ เชื่อใจกันได้ก็จะอยู่อย่างสุขสงบ ไม่มีเรื่องให้ต้องทะเลาะหรือเป็นศัตรูกันถ้าไม่ไว้วางใจกันได้ เชื่อใจกันไม่ได้ ก็จะมีเรื่องระหองระแหงกันร่ำไป เรื่องที่ทำให้ไม่วางใจกันได้ง่ายที่สุดก็คือการคิดไม่ซื่อ ไปล่วงละเมิดคู่ครองของกันและกัน ไม่ต้องถึงกับมีสังวาสกัน เพียงแค่ไปก้อร่อก้อติกภรรยาหรือสามีของคนอื่น เท่านี้ก็ทำให้บ้านแตกทำให้ไม่มองหน้ากันได้แล้ว ดังนั้น จึงมีข้อกำหนดนี้ขึ้นไว้เพื่อให้สังคมอยู่กันอย่างสงบ ไว้วางใจเชื่อใจกันในเรื่องนี้


                ๔.   เพื่อให้ครอบครัวอบอุ่นเป็นสุข    คือเมื่อสังคมอยู่กันในกรอบแห่งข้อกำหนด ไม่ละเมิดกาเมสุมิจฉาจาร ไม่ว่าจะขั้นหนักหรือขั้นเบาก็ทำให้อยู่กันอย่างอบอุ่น ครอบครัวก็อบอุ่น ไม่ต้องมาบาดหมางทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่ต้องมองหน้ากันไม่สนิททั้งที่อยู่ด้วยกัน


          วัตถุประสงค์เหล่านี้เป็นเป้าหมายหลักที่กำหนดข้อปฏิบัติข้อนี้ขึ้นมาเป็นหลักประกันสังคม และเป็นที่ยอมรับกันในสังคมมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจึงทำให้สังคมที่ปฏิบัติอยู่ในข้อปฏิบัตินี้อยู่กันอย่างสุขสงบ มีครอบครัวที่อบอุ่น

 

            แต่สังคมหรือครอบครัวที่ไม่สนใจที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนดนี้แล้วไปประพฤติอีกแบบหนึ่ง สังคมหรือครอบครัวนั้นก็วุ่นวาย ไม่สงบ ไม่สุขสบายเป็นปกติได้ ต้องแก้ปัญหากันวุ่นวายไปหมด หนักเข้าก็ต่างคนต่างอยู่ และอยู่อย่างชอกช้ำใจหรืออย่างหมดหวังท้อแท้


              ด้วยเหตุผลดังนี้  ชายหญิงที่มีคู่ครองอยู่ด้วยกันก็พึงยินดีพอใจ จริงใจและซื่อสัตย์ต่อคู่ครองของตัว ที่ยังไม่มีคู่ครองและจำต้องเลือกหาคู่ครองก็พึ่งเลือกหาคู่ที่ไม่ผิดข้อต้องห้าม จะได้ไม่ต้องมาแบกทุกข์ในภายหลัง จะได้อยู่ด้วยกัน ทำมาหาเลี้ยงกัน และมีบุตรหลานไว้ดำรงพันธุ์อย่างสง่างามและสุขสงบทั้งเชิดหน้าชูตาในสังคมได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่ต้องอับอายหนีหน้าหรือหวั่นหวาดข้อครหาอะไรจากสังคม


               หากกระทําการอันไม่เหมาะไม่ควรผิดกาเมสุมิจฉาจารเข้า   จะสง่างามและสุขสงบได้อย่างไร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0016220649083455 Mins