ไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบ

วันที่ 07 ตค. พ.ศ.2567

ไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบ

2567%2010%2007%20b.jpg

 

              แลแล้วข้าพเจ้าก็ขออนุญาต  จับหัตถ์เบื้องขวาของนางชูขึ้นเสมออกของข้าพเจ้า  แสงอันเรืองอุไรของทินกร เมื่อจวนย่ำสนธยาสาดมากระทบมือนาง มองดูสะอาดสุกใสประดุจแผ่นทองคำ ข้าพเจ้าก้มลงจุมพิตเพียงแผ่วเบา ถ่ายปราณและความรู้สึกทั้งมวลลงสู่หลังหัตถ์และองคุลีที่สวยงาม แลแล้วได้นำหัตถ์นั้นมาวาง ณ อุรประเทศเบื้องซ้ายของข้าพเจ้า เป็นทำนองมอบหัวใจให้อยู่ในอุ้งมือของนางเป็นหัวใจที่แท้จริง และเต็มไปด้วยความรู้สึก ส่วนหัวใจที่ผู้อื่นจะเอาไปนั้น เป็นหัวใจที่ตายซากเหมือนกล้วยที่ยืนต้นตายเมื่อถูกตัดเครือออกแล้ว

         สาวน้อยได้โอนอ่อนผ่อนตาม  คำพูดและอาการของข้าพเจ้าทำให้นางสงสารอย่างจับจิต  ประดุจอสรพิษงูเหลือมร้ายถูกผูกมัดรัดกายด้วยใยกล้วยตานีก็พลันนอนสงบนิ่ง จุดอ่อนของมวลนารีอยู่ตรงที่เว้าวอนด้วยคำหวานให้เกิดสงสารและเห็นใจ อีกประการหนึ่งเล่า นางรู้สึกว่าวันเวลาที่จะคบกันอย่างนี้เหลืออยู่น้อยเต็มทีแล้ว ความพลัดพรากจะมาถึงในไม่ช้า จึงตามใจข้าพเจ้าเสมือนเพชฌฆาตตามใจนักโทษประหารในวันสุดท้าย

             ดังนั้นนางจึงเอียงศีรษะลงวางบนไหล่เบื้องซ้ายของข้าพเจ้าอย่างนุ่มนวล เหมือนพระพายกระพือพัดเมฆมากระทบไหล่เขาก็ปานกัน รสสัมผัสที่นุ่มนวลเย้ายวนให้เกิดความวาบหวามในดวงจิต แสดงฤทธิ์ออกมาเป็นการเคล้าเคลียอย่างถนอม ท่านอย่าเพิ่งนึกโทษวิมลมานเลยว่าเป็นหญิงใจง่าย ถ้าท่านเคยมีความรัก ท่านจะเห็นใจผู้ที่ตกอยู่ในห้วงรักว่ากระวนกระวายสักปานใด

           “องค์ชาย” นางพูด ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงสะท้อนจากภูเขา “หม่อมฉันไม่มีหัวใจจะรักใครได้อีกแล้ว นอกจากองค์ชายเพียงผู้เดียว ผู้เดียวเท่านั้น”

             “น้องหญิง”  ข้าพเจ้าพูด  “ขอให้ข้าพเจ้าเรียกท่านว่าน้องหญิงเถิด เป็นคำที่ไพเราะนุ่มนวล ข้าพเจ้าขอสัญญาอีกครั้งว่า ข้าพเจ้าขอมอบดวงใจดวงนี้ให้น้องหญิงเพียงผู้เดียว ความรักของข้าพเจ้าที่มีต่อน้องหญิงนั้นมากล้น เกินที่จะสรรหาคำใดมาพูดให้เหมือนความรู้สึกของดวงใจได้ ขอให้น้องหญิงรับทราบไว้ว่า ความรักทั้งหมดที่ข้าพเจ้ามีต่อสิ่งใด ๆ ในโลกนี้ เมื่อนำมารวมกันแล้วยังไม่เท่าความรักข้าพเจ้าที่มีต่อน้องหญิงเลย ถ้าข้าพเจ้าจำต้องแต่งงานกับหญิงอื่น ก็เป็นเพราะความรู้สึกกตัญญูอยู่ในโอวาทของสมเด็จพระราชบิดา ผู้มีพระคุณล้นเกล้า แต่ความรักข้าพเจ้าได้มอบให้น้องหญิงหมดแล้ว การแต่งงานจึงเป็นเพียงหน้าที่ ส่วนความปรารถนาแห่งดวงใจนั้น เป็นเรื่องที่ใครบังคับกันไม่ได้”

         “ขอขอบพระคุณองค์ชายที่กรุณาประทานเกียรติให้หม่อมฉันมากถึงปานนี้  ชาตินี้หม่อมฉันอาภัพอับโชค สิ่งที่หม่อมฉันต้องการมักไม่ค่อยได้ แต่สิ่งที่พยายามหลีกหนีจะมีมาหาอยู่เสมอ ๆ เพียงได้สดับพระดำรัสขององค์ชายเท่านี้หม่อมฉันก็ชื่นใจแล้ว อย่างน้อยเกิดมาชาติหนึ่งก็มีคนที่รักหม่อมฉันจริง ๆ และผู้นั้นเป็นผู้สูงศักดิ์ ต่อไปภายหน้าจะเป็นจอมคนในแผ่นดิน สำหรับความรักของหม่อมฉันที่มีต่อองค์ชายนั้นได้ขึ้นถึงที่สุดแล้ว จะไม่ขึ้นและไม่ลดอีก คงจะรักษาอยู่ในระดับนี้ ความสุขของหม่อมฉันอยู่ที่ได้รักองค์ชาย และทราบว่าองค์ชายรักหม่อมฉันเหมือนกัน” นางพูดเท่านี้แล้วก็ก้มหน้านิ่ง

          “ความสุขของข้าพเจ้าก็อยู่ที่ได้รักน้องหญิง   และทราบว่าน้องหญิงก็รักข้าพเจ้าตอบ   ข้าพเจ้าไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว รัชสมบัติในปฐพีมณฑลนี้รวมกันยังไม่มีค่าเท่าน้องหญิง ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาสิ่งใด ๆ ที่ไม่มีน้องหญิงรวมอยู่ด้วย”

           วิมลมานเงยหน้าขึ้น แววแห่งปีติฉายออกมาจากใบหน้าและแววตาของนาง แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีน้ำตาพร่างพรายอยู่ที่เบ้าตาทั้งสอง แต่ไม่ประหลาดเลยใช่ไหมท่าน ผู้หญิงนั้นดีใจก็ร้องไห้ เสียใจก็ร้องไห้ เหมือนผู้ชายส่วนใหญ่ดีใจก็ดื่มเมรัย เสียใจก็ดื่มสุรา เลยไม่รู้ว่าเขาดื่มเพราะดีใจหรือเสียใจกันแน่ ทำงานเหนื่อยมากก็ดื่มสุรา อ้างว่าเพื่อบำบัดความระโหยให้ซาสร่าง เมื่อว่างเกินไปก็ดื่มสุรา โดยอ้างว่าไม่ทราบจะทำอะไร

         ข้าพเจ้าประคองเธอให้ซบลงที่แผ่นอก  เหมือนพ่อนกหรือแม่นกกางปีกออกปกป้องลูกน้อย  ซึ่งสั่นสะท้านเพราะลมหนาว สาวน้อยธิดาช่างทองผู้มีนามว่าวิมลมานมีอาการเหมือนคนเริ่มจับไข้ อย่างนี้เองดรุณีวัยกำดัดผู้ไม่เคยรู้สัมผัสเชิงชู้สาว ย่อมรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เมื่อถูกชม

            ข้าแต่ท่านผู้บำเพ็ญตบะ! เรื่องของข้าพเจ้าถ้าจะเล่าให้ค่อนข้างละเอียด ท่านจะต้องทนฟังถึงสองหรือสามคืน เวลานี้ก็จวนจะถึงกึ่งมัชฌิมยามแล้ว ข้าพเจ้าปรารถนาให้ท่านพักผ่อนบ้างจึงขอเล่าอย่างรวบรัดว่า ข้าพเจ้าและวิมลมานต่างสัญญาว่าจะรักกันแม้จะครองกันแต่เพียงใจก็ตาม

           ในที่สุดพิธีมงคลอภิเษกสมรสของข้าพเจ้ากับ  เจ้าหญิงจุฬารัตน์แห่งสาคลนครก็มาถึง
  พิธีมโหฬารปานว่าจะมีมหรสพทั่วแคว้นปัญจาละ ประชาชนในชนบทมากหลายเดินทางมาสู่นครหลวงหัสตินาปุระเพื่อชมพิธีอภิเษก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อชมเจ้าหญิงจุฬารัตน์ ผู้มีนามกระเดื่องว่างามเลิศปานนางฟ้า ธงทิวปลิวไสวมีไฟหลากสีห้อยระย้า ทุกถนนหนทางประดับประดาอย่างวิจิตรเพริศพราย มีเสียงชโยโห่ร้องแสดงความยินดีปรีดาอยู่เป็นระยะ ๆ ความงดงามอำไพพรรณในวันอภิเษกสมรสของข้าพเจ้านั้นสุดที่จะนำมาพรรณนาได้ ขอให้ข้าพเจ้าเล่าข้ามไปเถิด แต่สิ่งหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าเล่าข้ามไม่ได้ คือ ความสงสารและเห็นใจวิมลมาน ในขณะที่คนทั้งหลายกำลังสนุกกันนั้น ใครเล่าจะซึมเศร้าและหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวเท่าวิมลมาน และข้าพเจ้าเองก็ไม่มีอารมณ์ อันบรรเจิดเฉิดฉายเยี่ยงคู่สมรสอื่น ๆ แม้จะพยายามอำพรางกิริยาให้ร่าเริงสักเพียงใด ก็ไม่สำเร็จ ท่านผู้บำเพ็ญตบะ! ข้าพเจ้ามิได้ถือวิมลมานเป็นเพียงเพื่อนอารมณ์ แต่ข้าพเจ้าถือเธอเป็นเพื่อนใจเมื่อขาดเธอเสียแล้ว จิตใจของข้าพเจ้าจะเป็นประการใด ขอท่านได้โปรดตรองดูเถิด

            เจ้าหญิงจุฬารัตน์เป็นสตรีที่สวยงามสมคำเลื่องลือ นอกจากนี้ยังมีพระอัธยาศัยงามน่ารัก แต่ความรักของข้าพเจ้าได้มอบให้ธิดาช่างทองเกลี้ยงหัวใจเสียแล้ว ประกอบกับความสงสารที่คิดว่าเธอระทมเศร้าสักปานใดในเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วยแล้ว ทำให้ข้าพเจ้าเห็นการเอาอกเอาใจของเจ้าหญิงจุฬารัตน์เป็นเรื่องรำคาญ ถ้าเจ้าหญิงจุฬารัตน์สนิทสนมกับข้าพเจ้าอย่างน้อง ข้าพเจ้าจะรักน้องคนนี้เป็นที่สุด รักอย่างน้องนะท่าน

             คนเราคบกันได้รักกันได้หลายฐานะ  อย่างเพื่อน  อย่างพี่  อย่างน้อง  ต้องคอยสังเกตดูให้ดีว่า  เขาหยิบยื่นความสนิมสนมให้เราในฐานะใด ถ้าเขาหยิบยื่นความสนิทสนมให้เราในฐานะเพื่อน แล้วเราไปแสดงท่าทีแบบคนรักเข้า เขาอาจจะรังเกียจขึ้นมาทันที ความเป็นเพื่อนก็พลอยเสียไปด้วย หรือเขารักเรานับถือเราอย่างพี่หรือน้อง ก็ทำนองเดียวกัน แต่ทั้งนี้ข้าพเจ้ามิได้ปฏิเสธเรื่องการแปรสภาพของความรัก หมายความว่าความรักอย่างเพื่อนอย่างญาติในขั้นต้น อาจจะแปรสภาพเป็นความรักอย่างคนรักในขั้นต่อมา เรื่องจะเป็นประการใด กิริยาที่แสดงออกเป็นเครื่องบ่งอย่างชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าเขาต้องการจะคบกับเราในขอบเขตจำกัด เราก็อย่าแสดงอะไร อย่าทำอะไรให้เลยขอบเขตที่ฝ่ายหนึ่งต้องการ เพราะการทำเลยขอบเขตนั้น นอกจากจะก่อความรำคาญให้เขาแล้วเมื่อหลายครั้งหลายหนเข้าเขาอาจจะเบื่อหน่ายและเกลียดชังเอาก็ได้ จึงกลายเป็นเรื่องไม่อยากพบ ไม่อยากเข้าใกล้ เพราะเกรงจะถูกเอาอกเอาใจจนน่ารำคาญ สุภาษิตมีอยู่ว่า “จงให้เท่าที่เขาต้องการและจงทำเท่าที่เขาต้องการให้ทำ” เมื่อได้ความพอเหมาะพอดีทุกอย่างก็เรียบร้อย

           ข้าพเจ้าอยู่ร่วมด้วยเจ้าหญิงจุฬารัตน์เป็นเวลาสองปี  ท่ามกลางความนิยมชมชื่นของสมเด็จพระราชบิดาและพระประยูรญาติ แต่ด้วยความหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวของข้าพเจ้า เราไม่มีโอรสหรือธิดาด้วยกันเลย คราวนี้ผู้ใหญ่ก็เดือดร้อนอีก แต่ข้าพเจ้าไม่เดือดร้อน

           วันหนึ่ง  เมื่อตะวันบ่ายคล้อยไปมากแล้ว  เราทั้งสองหมายถึงเจ้าหญิงและข้าพเจ้าก้าวลงสู่อุทยานเพื่อพักผ่อนและเดินเล่นเย็น ๆ ใจ ในขณะที่เดินมาถึงพุ่มไม้แห้งแห่งหนึ่ง งูใหญ่เลื้อยออกมา เจ้าหญิงตกพระทัยมากจนสุดจะยับยั้ง เธอวิ่งหนีงูและบังเอิญพระชงฆ์ไปกระแทกเข้ากับแง่หินก้อนหนึ่งซึ่งวางไว้เป็นรูปต่าง ๆ ประดับแอ่งน้ำในอุทยานเป็นบาดแผลเพียงเล็กน้อย พระโลหิตไหลซึมออกมา ข้าพเจ้าประคองนางและนำกลับสู่พระราชฐาน

           ต่อมาบาดแผลเพียงเล็กน้อยนั้นค่อยขยายโตขึ้นแผลลึกลงไป  ๆ  ทีละน้อย  แพทย์หลวงพยายามรักษาเท่าไรก็ไม่หาย ความเจ็บปวดรวดร้าวเพิ่มทวีขึ้นทุกวัน ปากแผลเริ่มเขียวและขอบแผลแข็ง ความทุกข์ทรมานแห่งเจ้าหญิงจุฬารัตน์ทำให้ข้าพเจ้าปวดร้าวใจไปด้วย วิมลมานทราบข่าวนี้วิตกกังวลยิ่งนัก เธอขออนุญาตเข้าเยี่ยมเจ้าหญิงด้วยความห่วงใย ดูซิท่าน น้ำใจแห่งวิมลมานซึ่งข้าพเจ้ามอบความรักให้ เธอไม่ผูกพยาบาทแม้ในสตรีซึ่งมาแย่งคนรักของตน ในที่สุดเจ้าหญิงจุฬารัตน์ก็สิ้นพระชนม์ด้วยโรคนี้”

            การสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงจุฬารัตน์  ก่อให้เกิดความสะเทือนใจแก่ข้าพเจ้าอย่างมาก  แม้ข้าพเจ้าจะมิได้รักพระนางอย่างที่รักวิมลมาน แต่ความสงสารในดวงจิตก็มีมากอยู่ ท่านเอย! แม้แต่สุนัขที่มันจงรักภักดีต่อเรา เราก็ยังอดสงสารมันมิได้ แล้วมนุษย์ที่เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติเมื่อมาจงรักภักดี เราจะไม่มีน้ำใจนึกถึงเขาบ้างเทียวหรือ ตลอดเวลาที่นางมีกำลังกายอ่อนลง ๆ นั้น แววพระเนตรฉายแต่ความภักดีออกมาอย่างชัดเจน ข้าพเจ้าอยู่เฝ้าใกล้พระนางตลอดเวลา คอยปลอบพระทัย แต่พระนางก็ดูเหมือนจะทรงทราบดีว่า ความรักที่ข้าพเจ้ามีต่อพระนางนั้นน้อยเกินไป เมื่อเทียบกับความรักและภักดีที่พระนางมีต่อข้าพเจ้า พระนางพร่ำรำพันถึงแต่ชื่อของข้าพเจ้าเสมือนเป็นเทพเจ้าประจำองค์ อนิจจา! จุฬารัตน์ ถ้าเธอมาก่อนวิมลมานเธอจะได้รับความรักจากข้าพเจ้ามิใช่น้อย แต่เธอเข้ามาเมื่อหัวใจของข้าพเจ้าไม่ว่างเสียแล้ว

           เวลาล่วงไป ๖ เดือน ข้าพเจ้ากราบทูลสมเด็จพระราชบิดา เพื่อขอพระบรมราชานุมัติทำการอภิเษกสมรสกับวิมลมาน พระองค์ทรงอนุญาตแม้จะไม่สู้จะเต็มพระทัยนักก็ตาม ตลอดระยะเวลา ๒ ปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าและวิมลมานมิได้พบกันเลย แต่ความรักของเรายังคงแนบสนิทดังเดิมเมื่อเจ้าหญิงจุฬารัตน์สิ้นพระชนม์แล้วข้าพเจ้าและวิมลมานจึงได้พบกัน ความสดชื่นกลับมาสู่ดวงใจของเราทั้งสองอีกครั้งหนึ่ง เรามิได้ดีใจในการจากไปของเจ้าหญิงจุฬารัตน์เลย แต่เราพอใจที่ได้มีโอกาสสมาคมกันอย่างที่เคยมา

             ระยะเวลา  ๒  ปีเศษ ทำให้วิมลมานเป็นผู้ใหญ่ขึ้น และเคร่งขรึมไปมาก ไม่ร่าเริงเหมือนก่อน แต่ยังคงอ่อนหวานนุ่มนวลอย่างเดิม

            เมื่อวิมลมานเข้าอยู่ในพระราชวังแล้ว  โดยพระบรมราชานุมัติของสมเด็จพระราชบิดาสถาปนาให้เธอเป็นเจ้าหญิงวิมลมาน รู้สึกเธอมีความสุขขึ้น และสดใสยิ่งขึ้น แต่เรื่องหนึ่งซึ่งทำความลำบากใจแก่ข้าพเจ้าอยู่เสมอ คือการประชดประชันกระทบกระแทกเสียดสีจากพระญาติพระวงศ์ซึ่งยังคงฝังพระทัยแน่นอยู่เรื่องเชื้อสายสกุลวงศ์

          เนื่องจากวิมลมานอยู่ในพระราชวังเสียนาน   เสวยแต่ของซึ่งคุ้นแต่กับลิ้นชาววัง   บางครั้งจึงอยากเสวยอาหารซึ่งปรุงอย่างธรรมดาเหมือนอย่างที่เคยลิ้มรสเมื่ออยู่บ้านช่างทองบ้าง ก็สั่งคนห้องเครื่องให้ปรุงอย่างที่เธอปรารถนาพร้อมทั้งบอกวิธีไปให้เสร็จ เมื่อต่อหน้าเขาก็รับคำและเคารพนบนอบดี แต่พอลับหลังจึงแอบเอาไปซุบซิบนินทากันว่าเป็นชาติไพร่ปรุงอาหารให้กินดี ๆ ก็ไม่อยากกิน อยากกินของเลว ๆ คนชาติไพร่จะยกขึ้นมาอย่างไรก็ไม่วายดิ้นรนลงไปหาที่ต่ำอีก พูดไปด่าว่าเสียดสีไป พร้อมด้วยออกนามเจ้าหญิงอันเป็นที่รักของข้าพเจ้า

          บังเอิญวันหนึ่ง  ขณะที่คนห้องเครื่องกำลังพูดกันอยู่นั้น  ข้าพเจ้าและวิมลมานมีธุระบางอย่าง  ที่จะต้องเดินผ่านทางห้องเครื่องไป ได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน ข้าพเจ้าถึงกับตกตะลึง ไม่นึกว่าจะได้ยินคำพูดอย่างนี้จากคนห้องเครื่อง วิมลมานเม้มริมฝีปากแน่นเหมือนจะข่มความรู้สึกเร่าร้อนให้จมหายลงไป ข้าพเจ้าเรียกคนห้องเครื่องออกมาพบและสั่งให้ทำอาหารอย่างที่วิมลมานสั่งให้ข้าพเจ้าเป็นเวลา ๗ วันและทุก ๆ มื้อด้วย

         วิมลมานเดินต่อไปไม่ไหว  จึงกลับเข้าห้องด้วยดวงใจที่เต็มไปด้วยโทมนัส  เธอฟุบลงที่หมอนและร้องไห้ เพื่อนที่ปลอบใจผู้หญิงได้เสมอ เมื่อประสบทุกข์โทมนัสอย่างรุนแรงคือน้ำตา ข้าพเจ้าปลอบเธอขอร้องเธอไม่ให้ถือคำพูดพล่อย ๆ ของหญิงพวกนั้น

            “หม่อมฉันอยากกลับไปอยู่บ้าน จะอย่างไร ๆ มันก็เคยให้ความสุขแก่หม่อมฉันมาตั้งแต่น้อยคุ้มใหญ่ ถ้าหม่อมฉันรักพระองค์น้อยกว่านี้ หม่อมฉันคงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้ สิ่งเดียวที่คอยปลอบใจหม่อมฉันให้มีความสุขอยู่บ้าง คือความรักความถนอมของพระองค์ ความรักมันให้ความทรมานทั้งสมหวังและผิดหวัง เมื่อความรักสมหวังแล้ว เรื่องก็น่าจะจบ แต่เรื่องของโลกช่างมากเสียจริง” นางพูดด้วยเสียงสะอื้น

            “อดทนหน่อย ที่รัก!” ข้าพเจ้าปลอบโยน “โอกาสแห่งความสุขอย่างแท้จริงของเราทั้งสองคงมีสักวันหนึ่งเป็นแน่แท้ ความรักมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวของมัน เรายึดมั่นในความรักและรักษาความสุจริตไว้ แล้วมันจะค่อย ๆ ทำลายอุปสรรคสิ่งกีดขวางไปได้เอง”

           อีก  ๒  ปีที่ข้าพเจ้าอภิเษกสมรสกับวิมลมาน  แต่ไม่ปรากฏร่องรอยว่าจะมีโอรสหรือธิดาเลยคราวนี้ข้าพเจ้าเดือดร้อนกังวลมาก วิมลมานก็เดือดร้อนไม่น้อยกว่าข้าพเจ้า สมเด็จพระราชบิดาก็เร่งเร้าอยู่เสมอว่าถ้าวิมลมานไม่สามารถมีโอรสได้ ก็จะหาสตรีอื่นมาให้ข้าพเจ้าเพื่อมีโอรสสืบสันตติวงศ์ แต่พอย่างเข้าปีที่ ๓ วิมลมานก็ตั้งครรภ์ นำความปีติปราโมชมาให้ข้าพเจ้าอย่างใหญ่หลวง พวกเราส่วนใหญ่ยังเชื่อกันอยู่ว่าผู้ไม่มีบุตรเมื่อตายแล้วจะต้องตกนรกขุมปุตตะ ข้าแต่ท่านผู้บำเพ็ญพรต ในเรื่องนี้ท่านหรือศาสดาของท่าน มีความคิดเห็นอย่างไร?”

            “ดูก่อนราชกุมาร!” พระอานนท์กล่าวตอบ “บุคคลบางพวกเดือดร้อนเพราะไม่มีบุตรบางพวกเดือดร้อนเพราะมีบุตรมากเกินไป บางพวกถือว่าผู้มีบุตรย่อมได้รับความบันเทิงเริงใจเพราะบุตรผู้มีโคย่อมได้รับความบันเทิงเพราะโค บุคคลจะบันเทิงได้ก็เพราะมีสิ่งยึดถือ เมื่อไม่มีสิ่งยึดถือความบันเทิงเริงใจก็ไม่มี

ผู้มีโคย่อมเศร้าโศกเพราะโค

บุคคลย่อมเศร้าโศกเพราะมีสิ่งยึดมั่นถือมั่น

เมื่อปล่อยวางได้แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่น ความทุกข์ก็ไม่มี ความโศกก็สิ้นสูญ”


              พระอานนท์กล่าวจบ พระราชกุมารจตุรงคพลมีพระพักตร์ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วเล่าต่อไปว่า

“ข้าแต่ท่านผู้บำเพ็ญตบะ!  เมื่อวิมลมานมีครรภ์ได้  ๗  เดือน เธอสุบินนิมิตประหลาด คือ สุบินว่าเธอได้เสวยแผ่นดินในแคว้นปัญจาละ และแคว้นใกล้เคียงหมด ถึงกระนั้นก็ยังไม่อิ่มยังอยากเสวยอีก โหราจารย์ทำนายว่า พระนางจะมีโอรสเป็นชาย และโอรสนั้นประสูติมาเพื่อจะเผาผลาญแผ่นดินให้วอดวาย แต่มีวิธีแก้อยู่อย่างหนึ่งคือ ให้พระนางไปประสูติในป่าใกล้แม่น้ำ คือป่านั้นจะต้องริมแม่น้ำด้วย

        สมเด็จพระราชบิดาทรงทราบข่าวนี้ด้วยความหนักพระทัย แต่ทรงให้ปฏิบัติตามที่โหราจารย์ทำนาย  ประการหนึ่งอยู่ที่พระองค์ไม่รู้จะโปรดวิมลมานเป็นทุนอยู่แล้ว คราวนี้ข่าวก็แพร่สะพัดไปว่า วิมลมานเป็นกาลีบ้านกาลีเมืองจะมีโอรสมาเผาผลาญแผ่นดิน ทั้งนี้เทวดาประจำเศวตฉัตรคงจะลงโทษ เพราะวิมลมานไม่มีเลือดกษัตริย์เป็นหญิงธรรมดา เมื่อวิมลมานจำต้องออกจากพระนครไปอยู่ป่า ข้าพเจ้าก็ต้องไปด้วย ข้าพเจ้าออกมาสำรวจสถานที่ และพอใจที่ซึ่งท่านและข้าพเจ้ากำลังอาศัยอยู่เวลานี้ มหาดเล็กของข้าพเจ้าผู้จงรักภักดีได้ช่วยกันปลูกสร้างกระท่อมและแผ้วถางทางพอสบายวิมลมานรู้สึกมีความสุขมากขึ้นเมื่อมาอยู่ในป่าเสียได้

           เมื่อวิมลมานประสูติพระโอรสแล้ว เรื่องจึงแจ่มแจ้งขึ้นว่า เรื่องที่โหรทำนายว่าลูกของข้าพเจ้าจะเกิดมาเพื่อเผาผลาญแผ่นดินนั้น เป็นเรื่องการยุยงของผู้ซึ่งเกลียดชังวิมลมานอย่างที่สุด และให้สินบนโหราจารย์อย่างมาก สมเด็จพระราชบิดารับสั่งว่าเมื่อประสูติแล้วให้เสด็จกลับนครแต่ทั้งข้าพเจ้าและวิมลมานตกลงใจจะไม่กลับเสียแล้ว เราพอใจด้วยความสุขอย่างสงบในป่านี้ ข้าพเจ้าเคยพบฤาษีผู้สำเร็จวิชาชั้นสูง สามารถดูอนาคตได้เหมือนมองเห็นภาพในกระจกใส และเล่าเรื่องสุบินนิมิตของวิมลมานให้ท่านทราบ ท่านพูดว่าความจริงจะกลับตรงกันข้ามกับที่โหรทำนาย คือ ลูกชายของข้าพเจ้าจะเป็นใหญ่เป็นโตในกาลภายหน้า จะนำความรุ่งเรืองมาสู่แคว้นปัญจาละและแคว้นใกล้เคียง โดยวิธีซึ่งไม่เคยมีกษัตริย์องค์ใดเคยทำมาก่อนเลย

             “ข้าแต่ท่านผู้บำเพ็ญตบะ”  พระราชกุมารตรัส  “ข้าพเจ้าเบื่อนครหลวง เบื่อความวุ่นวายสับปลับของสังคม ความแก่งแย่งแข่งดีและใส่ร้ายป้ายสี สังคมซึ่งมุ่งมั่นแต่จะแสวงประโยชน์ของตนโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของใครอื่นเลย ข้าพเจ้าถือเป็นโชคของชีวิตอย่างใหญ่หลวงที่ได้อาศัยอยู่ ณ ที่นี้ ข้าพเจ้ามีความสุขเพราะไม่ต้องเป็นทาสใคร เป็นอิสระอย่างแท้จริง ความจริงมีอีกหลายแง่หลายมุมที่ข้าพเจ้าปรารถนาจะเล่าสู่ท่านฟัง แต่เวลาก็ล่วงเลยมาแล้ว ข้าพเจ้าใคร่จะฟังโอวาทจากท่านผู้ทรงศีลพอเป็นมงคลแก่โสต และเป็นอาภรณ์ประดับใจ” ราชกุมารตรัสดังนี้แล้วประทับเฉยอยู่

          ปลายมัชฌิมยามแล้ว  แสงจันทร์สลัวส่องเข้ามาทางหน้าต่าง มองออกไปภายนอกเห็นเงาไม้ซึ่งอยู่ไกลตะคุ้ม ๆ เสียงไก่ป่าขันเจื้อยแจ้ววิเวกวังเวง เสียงน้ำค้างตกถูกใบไม้เมื่อพระพายพัดผ่านเป็นครั้งคราวดังเปาะ ๆ พระพุทธอนุชาผู้ประเสริฐกระชับอุตราสงค์ให้แนบกายแล้วกล่าวว่า

“ราชกุมาร! พระศาสดาของข้าพเจ้าตรัสไว้ว่า “ไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบ” ความสุขชนิดนี้สามารถหาได้ในตัวเรานี่เอง ตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่นแสวงหาความสุขจากที่อื่น เขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลย มนุษย์ได้สรรค์สร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นเพื่อล่อตัวเองให้วิ่งตามแต่ก็ตามไม่ทัน การแสวงหาความสุข โดยปล่อยใจให้ไหลเลื่อนไปตามอารมณ์ที่ปรารถนานั้น เป็นการลงทุนที่มีผลไม่คุ้มเหนื่อย เหมือนบุคคลลงทุนวิดน้ำในบึงใหญ่เพื่อต้องการปลาเล็ก ๆ เพียงตัวเดียว มนุษย์ส่วนใหญ่มัววุ่นวายอยู่กับเรื่องกาม เรื่องกิน และเรื่องเกียรติจนลืมนึกถึงสิ่งหนึ่ง ซึ่งสามารถให้ความสุขแก่ตนได้ทุกเวลา สิ่งนั้นคือ ดวงจิตที่ผ่องแผ้ว เรื่องกามเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรน เรื่องกินเป็นเรื่องที่ต้องแสวงหา และเรื่องเกียรติเป็นเรื่องที่ต้องแบกไว้ เมื่อมีเกียรติมากขึ้นภาระที่จะต้องแบกเกียรติ เป็นเรื่องใหญ่ยิ่งของมนุษย์ผู้หลงว่าตนเจริญแล้ว ในหมู่ชนที่เพิ่งมองแต่ความเจริญทางด้านวัตถุนั้น จิตใจของเขาเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยประสบความสงบเย็นเลย เขายินดีที่จะมอบตัวให้จมอยู่ในคาวของโลกอย่างหลับหูหลับตา เขาพากันบ่นว่าหนักและเหน็ดเหนื่อย พร้อม ๆ กันนั้นเขาได้แบกก้อนหินวิ่งไปบนถนนแห่งชีวิตอย่างไม่รู้จักวาง ราชกุมารเอย! คนในโลกส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความกลับกลอกและหลอกลวง หาความจริงไม่ค่อยได้ แม้แต่ในการนับถือศาสนา

            ด้วยอาการดังกล่าวนี้  โลกจึงเสมือนระงมอยู่ด้วยพิษไข้อันเรื้อรังตลอดเวลา  ภายในอาคารที่มหึมาประดุจปราสาทแห่งกษัตริย์ มีลมพัดเย็นสบาย แต่สถานที่เหล่านั้นมักบรรจุเต็มไปด้วยคน ซึ่งมีจิตใจเร่าร้อนเป็นไฟอยู่เป็นอันมาก ภาวะอย่างนั้นจะมีความสุขสู้ผู้มีใจสงบอยู่โคนไม้ได้อย่างไร ราชกุมาร! การแสวงหาทางออกอย่างท่านนี้เป็นเรื่องประเสริฐแท้ การแก่งแย่งกันเป็นใหญ่เป็นโตนั้น ในที่สุดทุกคนก็รู้เองว่าเหมือนแย่งกันเข้าไปกอดกองไฟ มีแต่ความรุ่มร้อนกระวนกระวาย เสนาบดีดื่มน้ำด้วยภาชนะทองคำกับคนจน ๆ ดื่มน้ำด้วยภาชนะที่ทำด้วยกะลามะพร้าว เมื่อมีความพอใจย่อมมีความสุขเท่ากัน ความจริงมันอยู่ที่คุณภาพของน้ำไม่ใช่อยู่ที่คุณภาพของภาชนะนี่เป็นข้อยืนยันว่าความสุขนั้นอยู่ที่ความรู้สึกทางใจเป็นสำคัญ อย่างท่านอยู่ที่นี่มีแต่ความพอใจแม้กระท่อมจะมุงด้วยใบไม้ ท่านก็มีความสุขกว่าอยู่ในพระราชฐานอันโอ่อ่า แน่นอนทีเดียว คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มิใช่คนใหญ่คนโต แต่เป็นคนที่รู้สึกว่า ชีวิตของตนมีความสุข สงบเยือกเย็น ปราศจากความเร่าร้อนกระวนกระวาย ราชกุมาร! ท่านลองเลือกดูเถิดจะเอาอย่างไหน คือคนพวกหนึ่งต่ำต้อยกว่า แต่มีความสุขมากกว่า อีกพวกหนึ่งยิ่งใหญ่กว่า แต่มีความสุขน้อยกว่า

              “ท่านผู้เจริญ! ข้าพเจ้าต้องเลือกเอาประการแรกคือต่ำต้อยกว่า แต่มีความสุขมากกว่า”

           “ราชกุมาร! ลาภและยศนั้นเป็นเหยื่อของโลกที่น้อยคนนักจะสละและวางได้ หรือได้แล้วจะไม่เมา จึงมีเรื่องแย่งลาภแย่งยศกันอยู่เสมอ เหมือนปลาที่แย่งเหยื่อกันกิน แต่หารู้ไม่ว่าเหยื่อนั้นมีเบ็ดเกี่ยวอยู่ด้วย หรือเหมือนไก่ที่แย่งไส้เดือนกันจิกตีกัน ทำลายกันจนพินาศกันไปทั้งสองฝ่ายน่าสังเวชสลดจิตยิ่งนัก ถ้ามนุษย์ในโลกนี้ลดความโลภลง มีการเผื่อแผ่เจือจุนโอบอ้อมอารี ถ้าเขาลดโทสะลง มีความเห็นอกเห็นใจกัน มีเมตตากรุณาต่อกัน และลดโมหะลง ไม่หลงงมงาย ใช้เหตุผลในการตัดสินปัญหาและดำเนินชีวิต โลกนี้จะน่าอยู่อีกมาก แต่ช่างเขาเถิด หน้าที่โดยตรงและเร่งด่วนของเราคือลดความโลภ ความโกรธ และความหลงของเราเองให้น้อยลง แล้วจะประสบความสุขความเยือกเย็นขึ้นมาก เหมือนคนลดไข้ได้มากเท่าใด ความสบายกายก็มีมากขึ้นเท่านั้น”


          ขณะนั้นสตรีผู้หนึ่งเดินมาหน้ากระท่อม  เธอจูงมือเด็กน้อยคนหนึ่งมาด้วย  เข้ามาใกล้และนมัสการพระพุทธอนุชา พระราชกุมารจตุรงคพลจึงแนะนำขึ้นว่า

“ท่านผู้บำเพ็ญตบะ นี่คือวิมลมานภรรยาของข้าพเจ้า และนี่คือบุตรน้อยของข้าพเจ้า” ทั้งสองนมัสการพระอานนท์อีกครั้งหนึ่ง เจ้าชายจึงตรัสถามต่อไปว่า “ท่านผู้เจริญ! นามและประวัติความเป็นมาของข้าพเจ้า ท่านก็ทราบตลอดแล้ว ทำไฉนข้าพเจ้าจะได้ทราบนามของท่านบ้าง สำหรับเรื่องราวของท่าน ถ้าท่านยังไม่รีบจาริกไปที่อื่น ข้าพเจ้าคงได้ฟังในวันพรุ่งนี้”

“ราชกุมาร! อาตมาภาพมีนามว่า “พระอานนท์” อนุชาแห่งพระมหาสมณโคดมศากยมุนีออกบวชจากศากยตระกูล”

         พระราชกุมารและวิมลมาน   แสดงอาการตื่นเต้นยินดีเป็นที่ยิ่ง   ก้มลงกราบอีกครั้งหนึ่งแล้วตรัสว่า “ท่านผู้ประเสริฐ เป็นลาภและเป็นมงคลอันสูงยิ่งสำหรับข้าพเจ้าที่มงคลบาทของท่านผู้ประเสริฐเหยียบย่างลง ณ บริเวณกระท่อมนี้ ข้าพเจ้ารู้จักนามและเกียรติคุณของท่านดีอยู่แล้วแต่ยังไม่เคยเห็นองค์จริงเท่านั้น ตั้งแต่บัดนี้จวบจนสิ้นลมปราณ ข้าพเจ้าทั้งสองขอถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นที่ระลึก เป็นผู้นำทางในการดำเนินชีวิตของข้าพเจ้า หลักคำสอนในศาสนานี้ช่างเพียบพร้อมไปด้วยเหตุผลและตรงไปตรงมาดีเหลือเกิน”

               พระพุทธอนุชาอนุโมทนาต่อเจ้าชายและครอบครัว  พร้อมด้วยอวยพรให้มีความสุขความสงบ  และเมื่อเขาลากลับไปยังกระท่อมอีกหลังหนึ่งแล้ว ท่านก็ชักอุตราสงค์ขึ้นคลุมกาย หันศีรษะไปทางทิศอุดร นอนด้วยสีหไสยาการตะแคงขวา ซ้อนเท้าให้เหลื่อมกัน มีสติสัมปชัญญะก้าวลงสู่นิทรารมณ์อันสงบสงัด ลมพัดมาเบา ๆ แสงจันทร์สลัวยังคงสาดส่องเข้ามา มองรูปกายของพระพุทธอนุชาประดุจก้อนทองอำไพพรรณ

              ตลอดเวลา  ๔๐  ปี  หลังพุทธปรินิพพาน  พระพุทธอนุชาผู้ประเสริฐเที่ยวจาริกไปโปรยปรายธรรมรัตนะ เพื่อประโยชน์สุขแก่มวลชนชาวชมพูทวีปแทนองค์พระบรมศาสดาเกียรติคุณของท่านกึกก้องระบือไปทั่ว พร้อม ๆ กันนั้นแสงสว่างแห่งพระธรรมก็ส่องฉายเข้าไปทำลายความมืดในดวงใจของประชาชน หรือประหนึ่งฝนโปรยปรายลงมาชำระล้างสิ่งโสโครกในดวงจิต คือกิเลสาสวะน้อยใหญ่ บุคคลผู้ต้องการได้รับแล้วซึ่งความสะอาด สว่างและสงบ ได้ลิ้มรสแห่งความสุขซึ่งเกิดจากธรรม เป็นความสุขซึ่งเลิศกว่าสุขใด ๆ

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.018835047880809 Mins