การตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้วต่อจากนี้ไปตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆคนนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้ายให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูก พอสบายๆ คล้ายๆ กับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา
ปรับใจ
ทําใจของเราให้เบิกบาน แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใสไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลดปล่อยวางทําใจให้ว่างๆ
แล้วก็มาสมมติว่า ภายในร่างกายของเราปราศจากอวัยวะไม่มีปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ เป็นต้น ให้เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ เป็นปล่อง เป็นช่อง เป็นโพรงกลวงภายใน คล้ายๆ ท่อแก้ว ท่อเพชรใสๆ
พระรัตนตรัยที่พึ่งที่แท้จริง
วันนี้เรามาประชุมพร้อมกันเพื่อที่จะทำกิจอันยิ่งใหญ่ ซึ่งมีความสําคัญต่อชีวิตของเราเป็นอย่างยิ่ง คือกิจในการที่จะแสวงหาพระรัตนตรัยในตัวของเรา ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด สิ่งอื่นไม่ใช่ที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง มีพระรัตนตรัยนี่แหละเป็นที่พึ่งที่ระลึกคือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ ๓ อย่างนี้เท่านั้นเป็นที่พึ่งที่ทำให้เราเข้าถึงความสุขที่แท้จริง เข้าถึงความบริสุทธิ์ภายในมีปัญญาอันบริสุทธิ์ ทำให้เราได้รู้แจ้งเห็นจริงในเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต และพระรัตนตรัยนี้ยังเป็นที่พึ่งให้เราพ้นภัยในอบาย และภัยในวัฏสงสาร
พุทธรัตนะ คือ พระธรรมกายในตัว
ธรรมรัตนะ คือ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกาย
สังฆรัตนะ คือ พระธรรมกายละเอียดที่อยู่ในกลางธรรมรัตนะธรรมรัตนะก็อยู่ในกลางพุทธรัตนะ
ทั้งสามอย่างนี้จะแยกจากกันไม่ได้ อยู่ภายในตัวของเรานี่แหละ เข้าถึงท่านได้เมื่อไร ความสุขที่แท้จริงจะพรั่งพรูออกมาเลย เป็นความสุขที่พูดไม่ออก บอกไม่ถูก เพราะว่าแตกต่างจากความสุขที่เราเคยเจอ ไม่ว่าจะเป็นความสุขที่เกิดจากอะไรก็ตามที่เราได้เห็น ได้ยิน ได้ดมกลิ่น ได้ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัส และได้นึกคิด สู้ความสุขที่เข้าถึงรัตนะทั้งสามนี้ไม่ได้เลย นี่เป็นกิจที่เราจะต้องทำนะ เป็นงานที่แท้จริงของเรา คือ งานหยุดงานนิ่งที่เข้าถึงพระรัตนตรัย
วิธีเข้าถึงที่พึ่งภายใน
วิธีที่จะเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว พระเดชพระคุณหลวงปู่พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ท่านสั่งสอนเอาไว้ว่า จะเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวนั้น ต้องหยุดใจของเราให้ได้ ใจที่แวบไปแวบมาคิดไปในเรื่องราวต่างๆ นั้น นํากลับมาหยุดนิ่งอยู่ภายใน ซึ่งมีทางเดินของใจทั้งหมด ๗ ฐาน
ฐานที่ ๑ อยู่ที่ปากช่องจมูก ท่านหญิงอยู่ข้างซ้าย ท่านชายอยู่ข้างขวา
ฐานที่ ๒ อยู่ที่เพลาตา ที่หัวตาตรงน้ำตาไหล ท่านหญิงอยู่ข้างซ้าย ท่านชายอยู่ข้างขวา
ฐานที่ ๓ อยู่ที่กลาง กศีรษะ ในระดับเดียวกับหัวตาของเรา
ฐานที่ ๔ อยู่ที่เพดานปาก ช่องปากที่อาหารสำลัก
ฐานที่ ๕ อยู่ที่ปากช่องคอ เหนือลูกกระเดือก
ฐานที่ ๖ อยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับเดียวกับสะดือโดยสมมติว่า เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นํามาขึงให้ตึงจากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม ตรงนี้แหละเรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๖ ถูกกลางดวงธรรมที่ทําให้เป็นกายมนุษย์หยาบ ใสบริสุทธิ์ โตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่
ธรรมดวงนี้สำคัญมาก ถ้าเราไม่มีธรรมดวงนี้ เรามาเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้ ธรรมดวงนี้ ถ้าผ่องใส ไม่เศร้าหมอง ชีวิตก็รุ่งเรืองถ้าหากว่าเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ชีวิตก็ร่วงโรย ถ้าธรรมดวงนี้ดับชีวิตของเราก็จะดับไปด้วย
ดวงธรรมนี้สำคัญนะ และเป็นเครื่องยืนยันว่า ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติธรรมกันอย่างจริงจัง สม่ำเสมอ ถูกหลักวิชชาแล้วละก็ จะต้องเข้าถึงธรรมกันอย่างแน่นอน เพราะธรรมดวงนี้มีอยู่ทุกๆ คนมีอยู่ในกลางกายของเรานี่แหละ ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกศาสนา ทุกเผ่าพันธุ์ มีธรรมดวงนี้ทุกคน ไม่มีเว้นเลย
ฐานที่ ๗ อยู่เหนือจากฐานที่ 5 ขึ้นไป ๒ นิ้วมือ โดยสมมติว่า เราเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางมาวางซ้อนกัน แล้วนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสอง สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตรงนี้เรียกว่าฐานที่ ๗จ๋าง่าย ๆ ว่าอยู่ในกลางท้องในระดับที่เหนือจากฐานที่ ๖ ขึ้นมา ๒นิ้วมือ หรือเหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ อยู่กลางกาย
ทุกฐานนั้นสำคัญมาก เป็นทางไปเกิดมาเกิดของสัตว์โลกและตัวเราด้วย แต่ฐานที่ ๗ สำคัญที่สุด เพราะเป็นที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่น และที่สําคัญก็คือ เป็นที่สิงสถิตของพระรัตนตรัยคือพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ
ทําไมต้องนึกนิมิต
วิธีที่จะเข้าถึงพระรัตนตรัยนั้น เราจะต้องเอาใจของเรามาหยุดมานิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ถ้าเรามีความมั่นใจว่า เราจะหยุดตรงนี้ได้ ใจไม่ฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น เราก็ไม่จําเป็นจะต้องไปนึกถึงภาพอะไรให้มาเป็นที่ยืดที่เกาะของใจเรา แต่ถ้าหากเราไม่มั่นใจหรือยังไม่แน่ใจ ท่านให้กำหนดนิมิตขึ้นมาให้เป็นที่ยึดที่เกาะของใจเราที่ฐานที่ ๗ ตรงนี้
ซึ่งได้แนะนํากันมาอย่างต่อเนื่องว่า ให้จําภาพองค์พระที่นั่งเจริญสมาธิภาวนาอยู่ในกลางดวงแก้ว ซึ่งปรากฏอยู่บนจอทีวี ให้จําภาพนั้นเอาไว้ให้ดี และน้อมมาตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗เป็นบริกรรมนิมิต ที่ยืด ที่เกาะของใจเรา
แต่บริกรรมนิมิตที่เป็นองค์พระนี้ ยังไม่ใช่พระรัตนตรัยภายในตัวจริง เป็นแค่บริกรรมนิมิตที่ยึดที่เกาะของใจ เพื่อให้ใจหยุดอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ จะได้ไม่แวบไปในสิ่งที่เราคุ้นเคย ในเรื่องคน สัตว์ สิ่งของ การทำมาหากิน การครองเรือนการศึกษาเล่าเรียน อะไรต่างๆ เหล่านั้น
ใจจะแวบไปอย่างนั้น เพราะมันคุ้นเคย การที่ใจแวบออกจากฐานที่ ๗ ตรงนี้ จะทำให้เราไม่เจอพระรัตนตรัย จะห่างไกลพระรัตนตรัย เมื่อห่างไกลพระรัตนตรัยก็เท่ากับว่าห่างไกลจากแหล่งแห่งความสุขที่แท้จริง ห่างไกลจากแหล่งแห่งความบริสุทธิ์ห่างไกลจากแหล่งแห่งความรู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งปวง ในเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต ห่างไกลจากที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง
ใจจะแวบออกไปทางตา ทางหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ออกไปหมดทุกทิศทุกทาง ตามทวารต่างๆ เห็นอะไรเราก็มองไปตรงนั้นได้ยินอะไรก็แวบไปในเสียงนั้น ได้กลิ่นก็แวบไปทางกลิ่น ได้ลิ้มรสก็แวบไปทางรสสัมผัส หรือนึกคิดฟุ้งฝันอะไรก็แล้วแต่ มันก็แวบกันไปทางรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ พอแวบไปอย่างนั้น ใจก็ห่างจากพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นทุกสิ่งของชีวิต และท่านก็สิงสถิตอยู่ที่ฐานที่ ๗
เพราะฉะนั้น หลักมีอยู่ว่า เราจะต้องค่อยๆ ดึงใจออกมาจากสิ่งที่คุ้นเคย มาหยุดมานิ่งอยู่ภายในด้วยการนึกถึงบริกรรมนิมิตดังกล่าว ซึ่งบางท่านถนัดเป็นดวงแก้ว บางท่านถนัดเป็นองค์พระบางท่านถนัดอะไรที่นอกเหนือจากนี้ เช่น ภาพพระเดชพระคุณหลวงปู่ คุณยายอาจารย์ฯ เป็นต้น แต่ตอนนี้เรามีภาพที่ปรากฏบนจอเป็นภาพท็อปวิว (top view) องค์พระกลางดวงแก้ว เราจําภาพนี้ให้ติดตาติดใจ น้อมอยู่ภายในกลางตัวของเราเรื่อยๆ แล้วเราจะเป็นมนุษย์มหัศจรรย์
เมื่อเราจ่าภาพองค์พระในกลางดวงแก้วได้ ทีท่านนั่งเจริญสมาธิภาวนาหันหน้าออกไปทางเดียวกับเรา ลักษณะเหมือนเรามองท็อปวิวจากด้านบนลงไปด้านล่าง เห็นปลายเกตุดอกบัวตูมที่ตั้งอยู่บนจอมกระหม่อมที่ใสๆ เป็นเพชร แล้วก็ตั้งอยู่บนพระเศียร ซึ่งมีเส้นพระศกหรือเส้นผมขององค์พระบดเวียนเป็นทักษิณาวรรต หมุนขวาตามเข็มนาฬิกา และตั้งอยู่บนบ่าทั้งสองมีแขนทอดไปข้างหน้า มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักขององค์พระที่ใสเป็นแก้วเป็นเพชร ขาขวาทับขาซ้าย เหมือนอย่างที่แนะนำให้เรานั่งในท่านั่งที่ถูกต้องนั้น เราก็จำไว้ให้ดี
ส่วนขนาดก็แล้วแต่เรา เราถนัดขนาดไหนเราก็เอาอย่างนั้นเล็กก็ได้ ปานกลางก็ได้ ใหญ่ก็ได้ ให้พอดีๆ กับที่ใจเราปรารถนาแล้วเราก็เอาใจมาหยุดนิ่งๆ คือ มาอยู่กับองค์พระกลางดวงแก้วภาพนี้อย่าให้คลาดจากใจเลย ถ้าจําไม่ได้เราก็ลืมตามาดูภาพที่ปรากฏบนจอ จําได้แล้วเราก็หลับตานึกไปเรื่อยๆ นึกอย่างสบายๆให้ต่อเนื่องกันไป อย่าให้เผลอ
นึกได้ก็เห็นได้
นึกได้เดี๋ยวก็เห็นได้ แต่ต้องค่อยๆ นึกนะ นึกเป็นต้นทางของการเห็นได้ คือ เราจําภาพให้ดี จําให้ติดตาติดใจ ใหม่ๆมันก็รัวๆ รางๆ อย่างนั้นไปก่อน ซึ่งเราต้องใจเย็นๆ อย่าไปฮึดฮัด เร่งร้อน ไปบีบ ไปเค้น ไปบังคับ เพื่อให้ใจสงบ เพื่อเค้นให้เห็นภาพ ไม่ใช่นะ ผิดวิธี ใช้ระบบความจําเอา จําได้แค่ไหนเอาแค่นั้นไปก่อน
จำได้ตรงไหนก็เอาตรงนั้นไปก่อน สมมติว่า เราจ๋าได้แค่เกตุดอกบัวตูมของท่านที่ป้อมๆ เหมือนกับดอกบัวสัตตบงกชส่วนอื่นเรานึกไม่ออกเลย เราก็จําภาพตรงนี้เอาไว้ แล้วก็มองไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ อย่าเผลอนะ เดี๋ยวพอถูกส่วนเข้า ใจหยุดนิ่งก็จะเห็นไปทั้งองค์เอง
ถ้าจําได้แค่พระเศียร ก็เห็นพระเศียรทั้งหมดเลย เห็นเกตุดอกบัวตูม เห็นจอมกระหม่อม เห็นพระเศียร แต่องค์ท่านไม่เห็นเราก็มองไปเท่าที่มีให้เห็น ดูไปเรื่อยๆ สบายๆ พอกำลังเพลินๆถูกส่วนเข้า เดี่ยววูบเห็นทั้งองค์เอง
หรืออาจจะเห็นส่วนมือของท่านที่วางซ้อนกันบนหน้าตักส่วนอื่นมองไม่เห็น ก็ในทํานองเดียวกัน เราก็ดูกันไปเรื่อยๆ ไม่ต้องกวาดสายตา ดูไปให้ทั่ว ดูเท่าที่มีให้ดูนะลูกนะ จำให้ดีนะ จะได้ทําได้ทําเป็น เดี่ยวจะเห็นไปทั้งองค์เลย
เห็นหัวเข่า เราก็ดูแค่หัวเข่า อย่าไปรำคาญว่า เอ๊ะ ทำไมเห็นหัวเข่า ทําไมไม่เห็นทั้งองค์ เอ๊ะ ถูกหรือเปล่านะ กลัวจะผิดหลักวิชชา ไม่ผิดหรอก มีให้ดูแค่ไหนก็ดูกันไปแค่นั้นนะลูกนะ
บริกรรมภาวนา
เราจะประคองใจด้วยนําภาวนาสัมมาอะระหังไปด้วยก็ได้ภาวนาไป ประคองใจไป ใจจะได้ไม่ฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น มีแต่องค์พระอยู่ในใจ คล้ายๆ เราเกิดมาไม่เคยเจออะไรมาก่อนเลย เจอแต่องค์พระ และเสียงทีเคยได้ยินก็มีแต่เสียงสัมมาอะระหัง ได้ยินมาตั้งแต่เกิด เป็นเสียงดีเสียงเดียว
ภาวนาไปโดยไม่ต้องใช้กําลัง ถ้าใช้กำลังเขาเรียกว่าท่องถ้าภาวนาจะเป็นเสียงที่ละเอียดอ่อน เป็นสำนึกลึกๆ เหมือนเสียงบทสวดมนต์ที่เราคุ้นเคย หรือเสียงเพลงที่เราคุ้น ด้งออกมาจากในกลางองค์พระ ในกลางท้อง เราก็เพลินทีเดียว ตาภายในก็จำภาพที่มีให้เราดู มีแค่ไหนก็ดูไปแค่นั้น แถมมีเสียงประคองใจสัมมาอะระหังไปเรื่อยๆ
เราจะภาวนาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่อยากภาวนาหรือลืมภาวนาไป แต่ใจไม่ไปฟังคิดเรื่องอื่น อาการอย่างใดอย่างหนึ่งเราก็ไม่ต้องย้อนกลับมาภาวนาใหม่ เพราะว่าใจตอนนั้นปรารถนาอยากจะดูอย่างเดียว อยากจะนิ่งอย่างเดียว เราก็นิ่งตามใจไปก่อนเดี๋ยวใจจะตามเรา ก็หยุดก็นิ่งไป ดูไป แล้วจะถูกส่วนเอง
เข้าถึงธรรมต้องสบาย
ถูกส่วนใครจะมาทำให้ถูกไม่ได้ ต้องถูกเอง จะไปกินก๋วยเตี๋ยว กินเต้าฮวย เฉาก๊วยอะไร แล้วให้ใจถูกส่วน มันก็ไม่ถูกส่วน ถึงเวลาจะถูกส่วน มันถูกเอง จะไปบังคับแค่ไหนมันก็ไม่ถูกส่วน จะไปบีบไปเค้นก็ไม่ได้ จะระวังตัวแค่ไหนก็ไม่ได้ต้องเพลินๆ สบายๆ
แปลกนะลูกนะ การจะเข้าถึงธรรมภายในต้องสบายจะได้โลกียทรัพย์ หรืออริยทรัพย์ ทรัพย์ภายนอกภายในเหมือนๆ กัน คือ ต้องสบายใจ พอสบายเดี่ยวก็จะชัดขึ้นมาหลักมันอยู่ตรงนี้ เป็นเคล็ดลับ เทคนิคก็ได้ กลเม็ดก็ได้ วิธีการก็ได้ โนฮาว (know-how) ก็ได้ จะเรียกอะไรก็แล้วแต่ ต้องทำอย่างนี้ ต้องสบาย
วันพระพุทธเจ้าบรรลุธรรม
ถ้าลำบากผิดวิธีนะลูกนะ ลำบากนี่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทํามาแล้ว ทําเพ็ญทุกรกิริยา บีบเค้นตัวเอง ทรมานตัวเองปางตายทีเดียว แล้วก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร นอกจากความทุกข์ ทรมาน เสียเวลา เสียอารมณ์
วันที่พระองค์จะบรรลุมรรคผลนิพพาน ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ วันนั้นท่านสบายๆ นะลูกนะ
วันนั้น นางสุชาดานําอาหารคือข้าวมธุปายาสที่เตรียมอย่างดีจะเอามาบูชายัญเทวดา เป็นอาหารที่เตรียมไว้ให้เหมาะสมสําหรับเทวดาตามความเข้าใจของตัว คือปรุงอย่างประณีตกว่ามนุษย์ทั่วๆ ไป ใส่ถาดทองมาเลย มาเจอพระมหาบุรุษนั่งอยู่โคนไม้เข้าไปน้อมถวายท่านทั้งถาดเลย ท่านแบ่งเป็น ๔๙ ก้อน ก้อนละคําเสวยอย่างสบายอกสบายใจ
อาหารก็รสเลิศอร่อยที่สุด เสวยเสร็จแล้วก็ไปสรงสนานพระวรกาย ล้างเนื้อล้างตัว ล้างปาก ล้างหน้า ล้างตาให้สดชื่นในแม่น้ำกายก็สบาย ใจก็เบิกบาน เสี่ยงสัตย์อธิษฐานอีกว่า วันนี้หากจะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ให้ถาดทองนี้ลอยทวนกระแสนํ้าที่เชี่ยวกราก ถาดทองก็ลอยทวนน้ำไปด้วยอานุภาพแห่งบารมีธรรมของท่านที่มารวมประชุมกันในวันนั้น
ยิ่งเห็นอย่างนั้นแล้วก็ยิ่งสบายใจ กระแสน้ำเชี่ยวกรากอย่างนี้เรือยังต้องใช้กำลังมากที่จะทวนกระแสไปได้ แต่ถาดไม่ต้องใช้กําลังเลย ลอยทวนน้ำได้ เห็นแล้วปลื้ม สบายอกสบายใจ
มานั่งสมาธิที่โดนไม้พระศรีมหาโพธิ์ แม้จะมีมารมาผจญ ก็สู้กับพญามารด้วยใจทิ่สบาย ไม่ได้ปริวิตกว่ามารจะยกทัพมามากแค่ไหน ใจท่านก็เฉยๆ อยู่ในบุญ นึกถึงบุญบารมี ๓๐ ทัศ ความดีที่ทํามา ไม่ได้นึกถึงกองทัพช้าง กองทัพม้า กองทัพเดินเท้าที่จะมาต่อสู้ ไม่ได้นึกเลย
ทําใจสบายๆ นึกถึงบุญ พอนึกถึงบุญแล้วใจจะสบาย นึกถึงบารมี บุญบารมีก็ขยายออกมาคลุมรอบตัว สว่างโพลง ใจสบายๆมองดูพญามารมาเล่นลิเก ดูไปเพลินๆ จนกระทั่งพญามารหมดอารมณ์กลับไป เพราะทําความสะดุ้งหรือทำให้กลุ้มอกกลุ้มใจไม่ได้เลยเก็บความกลุ้มไว้เสียเอง
ส่วนพระมหาบุรุษก็สบายๆ นั่งหยุดกับนิ่งไปเรื่อยๆ ถอดกายออกเป็นชั้นๆ ไปเลย
ถอดกายมนุษย์หยาบ เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด
ถอดกายมนุษย์ละเอียด เข้าถึงกายทิพย์
ถอดกายทิพย์ เข้าถึงกายรูปพรหม
ถอดกายรูปพรหม เข้าถึงกายอรูปพรหม
ถอดกายอรูปพรหม เข้าถึงกายธรรม
พอถึงกายธรรมพระโสดาบันในยามต้น เห็นเข้า อุทานเลยใครเห็นก็ต้องอุทาน แม้แต่พวกเราเห็นก็จะต้องอุทาน อโห พุทโธคล้ายๆ กับว่า อื้อหือ พระพุทธเจ้า กายผู้รู้ กายตรัสรู้ธรรม เป็นอย่างนี้ งามจริง งามไม่มีที่ติเลย ใสยิ่งกว่าเพชร อโห พุทโธ ก็มองเพลินๆ ในกลาง ดวงธรรมรัตนะผุด อโห ธัมโม ธรรมรัตนะเป็นอย่างนี้ มองไปในกลางธรรมรัตนะ ธรรมกายละเอียดผุดขึ้นมาอีกแล้ว อโห สังโฆ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นอย่างนี้ใจเบิกบาน สบาย
เห็นไหม สบายกันตั้งแต่ต้นเลย ลองถอดกายได้ก็สบายแหละ กายก็สบาย ใจก็สบาย และยิ่งเห็นกายในกายเข้าไปอย่างนี้ก็ยิ่งสบายอกสบายใจ
พอถึงกายธรรมก็มองต่อไป อโห พุทโธ อโห ธัมโม อโหสังโฆ มองเรื่อยไปเลย หยุดอุทานเป็นระยะๆ ไป
กระทั่งยามสุดท้าย บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณบรรลุกายธรรมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กายโตใหญ่ทีเดียว กิเลสหมดเลย ไม่ใช่ตัดกิเลสนะ แต่เป็นการขจัดกิเลสเกลี้ยงแบบสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ คือ กิเลสไม่มีหลงเหลือเลยในทุกกาย ทั้งกายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม กายธรรมโคตรภูกายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี กายธรรมพระอรหันตมรรค เกลี้ยงไปเลย ไม่มีเลย
กิเลสนี้มันมีตัว มีลักษณะ ขจัดเสียเกลี้ยงเลย ที่มันจะเอาภพ ๓ เข้ามาครอบให้ตรึงอยู่นี่ ไม่มี เห็นเลยว่า หลุดพ้นจาก Law of Kamma กฎแห่งกรรม หลุดเลย พ้นจากไตรลักษณ์ด้วย เห็นไตรลักษณ์ เห็นผังไตรลักษณ์ว่าเป็นอย่างไร ลักษณะไตรลักษณ์มันอีกอย่างหนึ่ง เป็นลักษณะที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แต่ผังที่เขาบังคับให้เป็นอย่างนี้ เห็นเลย หลุดด้วย หลุดยังไม่พอ เก็บหมดเสียอีก เกลี้ยงไปเลย แวบ ด้วยอรหัตมรรค มันแวบหายไปเลย สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ คือ อย่างเราเผาถ่านยังมีเศษขี้เถ้า แต่นี้ไม่มีเศษเลย แวบเกลี้ยงไปเลย หมดไปเลย ผังที่เอากฎแห่งกรรมมาบังคับ เห็นลักษณะผังเลย อ้อ ลักษณะผังเป็นอย่างนี้ บังคับให้วนไปเวียนมาอยู่ในวัฏสงสาร เกิดเป็นนั่นเป็นนี่ เกิดมาแล้วก็บังคับให้สร้างกรรม แล้วก็มีวิบากเวียนกันไปเวียนกันมา เดี๋ยวก็ไปที่สูง เดี๋ยวก็ไปสุคติ เดี๋ยวก็ไปทุคติ วนกันอยู่อย่างนั้น เห็นตลอดหมด
ผังนี้บังคับพระมหาบุรุษไม่ได้แล้ว เพราะท่านตรัสรู้อนุตตรกายธรรมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าสัมมาสัมโพธิญาณแล้วสว่างเจิดจ้า สุกใสเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระมหาบุรุษ มีความสุขมาก เขาเรียกว่า วิมุตติสุข คือ หลุดพ้นจากผังมาได้ ความสุขขยาย ไม่มีขอบเขต ไม่มีที่แคบ
อย่างสุขด้วยกาม ผังของกามบังคับให้สุขประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็มีปัญหาตามมา มี side effect มีผลข้างเคียง สุขไม่จริง จะเกิดเป็นมนุษย์ชั้นสูงหรือชั้นไหนก็แล้วแต่ ก็งั้นแหละ เป็นเทวดาก็เป็นแล้ว รูปพรหมหรืออรูปพรหมก็เป็นแล้ว เว้นแต่ปัญจสุทธาวาสไม่ได้เป็น เพราะว่าพรหมชั้นนี้เป็นพระอนาคามี นอกนั้นเป็นกันมาเยอะแยะแล้ว ในภพ ๓ มันมีข้อจํากัด เห็นด้วยธัมมจัก ของกายอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กายธรรมกายนี้แหละ
เห็นไหม เกิดเป็นอะไรมันก็มีข้อจํากัด แล้วมันไม่เที่ยง แม้เป็นภวัคคพรหม คือ พรหมชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ สูงที่สุดในภพ ๓ อ้าว หล่นวูบไปอีกแล้ว พอหมดกำาลังของเนวสัญญานาสัญญายตนะ อรูปฌานสมาบัติ หล่นตุ้บลงไปอีกแล้ว เกิดเป็นมนุษย์โดนกิเลสบังคับอีกให้สร้างกรรมแล้วก็มีวิบาก วนกันไปวนกันมา ท่านเห็นตลอดเลย
วิมุตติสุข
ทีนี้พอหลุดได้ก็เป็นอิสระ วิมุตติสุข คือ สุขที่ไม่มีขอบเขตเพราะไม่ได้อยู่ในที่คุมขังแล้ว ขยาย เป็นสุขที่ไม่มีประมาณ
มนุษย์ไม่รู้จักหรอก วิมุตติสุข เทวดาก็ไม่รู้จัก จะไปเกิดเป็นท้าวมหาราชทั้ง ๔ ก็ไม่รู้จัก จะไปเกิดเป็นพระอินทร์ก็ไม่รู้จัก เป็นท้าวยามา ท้าวสันดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี รูปพรหมอรูปพรหม ไม่รู้จักเลยวิมุตติสุข จะรู้จักได้ต้องกายธรรมอรหัตขึ้นไป อรหัตผล ยิ่งเป็นกายธรรมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงจะเข้าใจว่าวิมุตติสุขเป็นอย่างนี้ มันสุขจริงๆ หลุดแล้ว ล่อนแล้วเปลือกกับเนื้อไม่ติดกันเหมือนมะขามอ่อนๆ เหมือนเงาะล่อนๆเนื้อไปทาง เปลือกไปทาง ใจล่อนจากกิเลสที่ไม่เหลือเศษแล้วมีแต่ความบริสุทธิ์สว่างไสว นี่แผนผังชีวิตเป็นอย่างนี้นะลูกนะ
กายมนุษย์หยาบสําคัญมาก
การปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกายภายใน เราต้องทําให้ได้ เป็นกิจสําคัญที่สุดที่เกิดมาเป็นมนุษย์แต่ละชาติ เป็นเทวดา รูปพรหม อรูปพรหม ทำไม่แรงเท่ากายมนุษย์ กายมนุษย์มันแรง แต่ว่านั่งแล้วเมื่อย มันไม่ค่อยม่วน เพราะมีเรื่องที่จะต้องให้คิด มันต้องคิด ต้องพูด ต้องทำสารพัด แต่ว่าแรงกว่ากายละเอียด เหมือนปูที่มีกระดองดีกว่าปูที่ไม่มีกระดอง ปูนิ่มแข็งแรงสู้ปูมีกระดองไม่ได้
ตอนนี้เรามาเป็นกายมนุษย์แล้ว มีความพร้อม แข็งแรงทุกอย่าง เหลือแต่ความเพียรแล้วก็ทำให้ถูกหลักวิชชา เดี๋ยวเราก็จะเข้าถึงได้ ตอนนี้เราจับหลักได้แล้วว่า ต้องหยุดกับนิ่งอย่างสบายๆ ยิ่งสบายก็ยิ่งหยุด ยิ่งหยุด ยิ่งนิ่ง ก็ยิ่งสบาย มันเกื้อกูลกันนะลูกนะ สบายมาก่อน ยิ่งสบายก็ยิ่งหยุด พอยิ่งหยุดในหยุดก็ยิ่งสบาย เกื้อกูลกัน
ตอนนี้เริ่มต้นอย่างสบาย เรื่องทุกข์ๆ ร้อนๆ ดีดออกไปเสียอย่าไปเอามาใส่ให้มันรกรุงรังในใจ เราเกิดมาเพื่อแสวงหาความสุข หาความสบายเท่านั้น เรามานึกถึงความสบายดีกว่า ด้วยการหยุดกับนิ่ง ทําเฉยๆ เดี๋ยวอารมณ์สบายจะมาเอง ทำเฉยๆ ทําเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับความทุกข์ เครื่องกังวล ปัญหาที่เราเคยเจอมนุษย์พันธุ์ต่างดาวที่พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ทำเหมือนกับเราไม่เคยเจอ ทำราวกับผู้นิรทุกข์ ทำนิ่งๆ เฉยๆ ดูพระในตัวที่ปรากฏบนจอ จ๋า ดู ให้ใจสบายๆ ดูไปเรื่อยๆ นะลูกนะ เข้าใจอย่างนี้ดีแล้ว ต่อจากนี้ไป ต่างคนต่างดูกันไปเรือยๆ ฝึกหยุดฝึกนิ่งให้ดีนะ
ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวเช้านี้เลยทุกๆ คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งทำกันไปเงียบๆ นะ