สมาธิเหมือนเส้นผมบังภูเขา

วันที่ 16 กค. พ.ศ.2568

16-7-68_6b%281%29%20.png

สมาธิเหมือนเส้นผมบังภูเขา

 

ปรับกาย-ปรับใจ

                      เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้วต่อจากนี้ไปตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกคนนะ

 

                      ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้ายให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ

 

                      หลับตาของเราเบาๆ หลับตาค่อนลูกเบาๆ พอสบายๆ คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา

 

                      ทําใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลดให้ปล่อย ให้วาง ปล่อยหมด ความผูกพัน ความกังวลอะไรต่างๆจะเป็นเรื่องการศึกษาเล่าเรียน ธุรกิจการงาน ครอบครัว เรื่องคนสัตว์สิ่งของ วางให้หมดเลย ทําประหนึ่งว่า เราอยู่คนเดียวในโลกไม่เคยมีเครื่องผูกพันอะไรมาก่อน

 

                      แล้วก็มาสมมติว่า ภายในร่างกายของเรานั้นปราศจากอวัยวะ ไม่มีปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ เป็นต้น ให้เป็นที่โล่งๆ กลวงๆภายใน เป็นปล่อง เป็นช่อง เป็นโพรง คล้ายท่อแก้ว ท่อเพชรใสๆ

 

ทางเดินของใจ ๗ ฐาน

                      คราวนี้เรามาทบทวนคําสอนของพระเดชพระคุณหลวงปู่พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) พระผู้ปราบมาร ท่านสอนเรื่องทางเดินของใจ ทางไปเกิดมาเกิดของสัตว์โลก กับทางไม่ไปเกิดกันต่อไป คือ ทางไปสู่อายตนนิพพาน ถ้าไปเกิดมาเกิดก็เดินทางหนึ่ง แต่ถ้าไม่อยากจะไปเกิดกันอีกก็ต้องเดินอีกทางหนึ่ง

 

                      ท่านสอนว่า ทางเดินของใจซึ่งเป็นทางไปเกิดมาเกิดของสัตว์โลกนั้น มีอยู่ ๓ ฐานที่ตั้ง เราต้องรู้จักเอาไว้

 

                      ฐานที่ ๑ อยู่ที่ปากช่องจมูก หญิงอยู่ข้างซ้าย ชายอยู่ข้างขวา

 

                      ฐานที่ ๒ อยู่ที่หัวตา เพลาตา ตรงที่น้ำตาไหล ท่านหญิงอยู่ข้างซ้าย ท่านชายอยู่ข้างขวา

 

                      ฐานที่ ๓ อยู่ที่กลางกั๊กศีรษะ ในระดับเดียวกับหัวตาของเรา

 

                      ฐานที่ ๔ อยู่ที่เพดานปาก ช่องปากที่อาหารสำลัก

 

                      ฐานที่ ๕ อยู่ที่ปากช่องคอ เหนือลูกกระเดือก

 

                      ฐานที่ ๖ อยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับเดียวกับสะดือ

 

                      สมมติว่า เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึงจากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม ตรงนี้เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๖ อยู่กลางท้องของเราในระดับสะดือพอดี

 

                      ฐานที่ ๖ ตรงนี้จะมีดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์หยาบซึ่งทรงรักษากายมนุษย์หยาบนี้เอาไว้ ดวงธรรมนี้จะใสบริสุทธิ์กลมรอบตัว โตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่ ถ้าธรรมดวงนี้สุกใสสว่างผ่องใส ชีวิตของเราก็จะรุ่งเรือง ถ้าธรรมดวงนี้ซูบซีดเศร้าหมองไม่ผ่องใส ชีวิตของเราก็จะร่วงโรย ถ้าธรรมดวงนี้ดับ ชีวิตของเราก็จะดับไปด้วย

 

                      ฐานที่ ๗ เป็นฐานสุดท้าย อยู่เหนือฐานที่ 5 ขึ้นมา ๒ นิ้วมือสมมติว่า เราเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางมาวางซ้อนกัน และนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสองสูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่า ฐานที่ ๗

 

                      ทั้งหมดมี ๗ ฐาน ทุกฐานเป็นทางเดินของใจ เป็นทางไปเกิดมาเกิดของสัตว์โลกทั้งหลาย

 

การมาเกิด-ไปเกิด

                      มาเกิด เวลาเรามาเกิด กายละเอียดเราต้องเข้าทางปากช่องจมูกของบิดา หญิงชายชายขวา แล้วมาตามฐานต่างๆ จะมาหยุดอยู่ที่ฐานที่ ๗ ของบิดา และดึงดูดบิดาให้ไปหามารดา เพื่อประกอบธาตุธรรมส่วนหยาบระหว่างบิดามารดา ห่อหุ้มกายละเอียดของเรา ซึ่งจะออกจากบิดาเข้าสู่มารดาทางปากช่องจมูกแล้วไปหยุดอยู่ที่ฐานที่ ๗ ของมารดา เมื่อธาตุหยาบของบิดามารดาที่ประกอบกันถูกส่วนแล้วห่อหุ้มกายละเอียดเรา ชีวิตของเราก็เกิดขึ้นที่มารดา เมื่อครบกําหนดก็เคลื่อนมา นี่เรียกว่า มาเกิด

 

                      ไปเกิด เราจะเริ่มที่ฐานที่ ๒ ที่เหนือฐานที่ 5 ขึ้นมา ๒ นิ้วมือใจเราจะไปอยู่ตรงนั้น แล้วก็จะตกศูนย์ไปฐานที่ 5 ไปฐานที่ ๕,๔, ๒, ๒, ๑ ออกทางปากช่องจมูก กายละเอียดก็แวบออกไปเลย

 

                      ไปเกิดมาเกิดเดินสวนทางกันอย่างนี้ มาเกิดเริ่มจากฐานที่๑ ไปฐานที่ ๗ ไปเกิดเริ่มจากฐานที่ ๗ ไปฐานที่ ๑ เราต้องศึกษากันเอาไว้

 

ฐานที่ ๗ ต้นทางพระนิพพาน

                      ทีนี้ถ้าจะไม่ไปเกิดเหมือนพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลายที่ท่านไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดแล้ว ท่านจะเริ่มต้นที่ฐานที่ ๗ เอาใจของท่านมาหยุดนิ่งที่ตรงนี้ คือ ปลดปล่อยเครื่องกังวลทุกอย่าง คน สัตว์ สิ่งของ เพราะสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็เสื่อมสลายไปหมด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต จะเป็นต้นหมากรากไม้ ภูเขาเลากา ตึกรามบ้านช่อง รถรา ผู้คน แม้กระทั่งโลกใบนี้ ถึงเวลามันก็ต้องผุต้องพัง ต้องเสื่อมสลายไปร่างกายเราก็เช่นเดียวกัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไป

 

                      ร่างกายเราก็เช่นเดียวกัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไปทุกสิ่งล้วนไปสู่จุดสลายทั้งสิ้น ชีวิตเป็นอย่างนี้ซ้ำๆ ซากๆ เกิดกันมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเกิดเป็นคนชั้นล่าง ชั้นกลาง ชั้นสูง ล้วนแต่ไปสู่จุดสลายทั้งสิ้น

 

                      การเกิดบ่อยๆ ก็เป็นทุกข์บ่อยๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้มีบารมีแก่ๆ ท่านจะมองเห็นชีวิตอย่างนี้ว่าไม่เป็นแก่นสาร เพราะต้องตกอยู่ภายใต้กฎของความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และกฎแห่งกรรม การกระทำทางกายทางวาจา ทางใจ ไม่ว่าดีหรือชั่วล้วนมีผลทั้งสิ้น ถ้าดีผลก็คือสุคติถ้าชั่วก็ไปอบายวนไปเวียนมาซ้ำๆ กันอย่างนี้ เพราะว่ามีมาร ๕ ฝูงคอยคุมอยู่ โดยมีฉากหลังในฉากหลังบังคับกันมาอีกทีหนึ่ง

 

                      เพราะฉะนั้น ท่านก็เลยเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ค้นหาวิถีทาง ทําอย่างไรจะไม่ต้องมาเป็นอย่างนี้อีก ทำอย่างไรจะหลุดพ้นจากสังสารวัฏ ซึ่งเป็นความคิดที่ยิ่งใหญ่ ต้องมีธาตุธรรมแก่ๆ สะอาด บริสุทธิ์ มีบารมีมากๆ ถึงจะคิดอย่างนี้ออกซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นว่า ทําอย่างไรเราจะพ้น เพราะเบื่อเหลือเกิน เบื่อจริงๆ นะ ไม่ใช่เบื่อๆ อยากๆ

 

                      พอเบื่อท่านก็คลายความกำหนัด ความยึดมั่น ถือมัน ผูกพันว่า คนสัตว์สิ่งของ สิ่งมีชีวิตหรือสิ่งไม่มีชีวิตต่างๆ เหล่านี้ เป็นตัวเรา เป็นของของเรา ตัวเราของเราเหล่านี้ เพราะมันบังคับบัญชาอะไรไม่ได้ นอกจากตกอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ กฎแห่งกรรมแล้วยังเจอกฎเกณฑ์ กฎหมาย กฎอะไรต่างๆ อีกสารพัดที่โลกสมมติกัน

 

                      เพราะฉะนั้น ก็เบื่อมาก พอเบื่อก็คลาย หาทางหลุดพ้น ก็ค้นพบว่าหยุดนั่นแหละเป็นตัวสําเร็จ หยุดจากความอยากทั้งปวงอยากได้ อยากมี อยากเป็น อะไรต่างๆ เหล่านั้น ความอยากที่ประกอบไปด้วยความเพลิน ไม่ได้ประกอบไปด้วยปัญญา นันทิราคสหกตา ประกอบไปด้วยความเพลิน อยากเป็น อยากได้ อยากมีอะไร ก็เพลินๆ กันไปวันๆ จนหมดเวลาของชีวิต

 

                      พอละความอยากเหล่านั้นก็คลาย ใจหยุดนิ่งเลย ไม่เขยื้อน หยุดอยู่ภายในตัวตรงฐานที่ ๗ ตรงนี้แหละ เวลาหมดความอยากภายนอก ใจจะกลับเข้ามาสู่ที่ตั้งดั้งเดิม จะมาหยุดนิ่งๆ คือ อยากอยู่เฉยๆ ไม่อยากได้อะไรแล้ว อยากหยุด อยากนิ่ง

 

                      ท่านก็หยุดนิ่งอย่างนี้เรื่อยไปอย่างสบายๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ในตัว พอถูกส่วนเข้า คือ พอดี ไม่ถึง ไม่หย่อน สบาย ก็ตกศูนย์จากฐานที่ ๗ ไปฐานที่ ๖ ก็จะไปยกเอาดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์หยาบลอยขึ้นมาอยู่ที่ฐานที่ ๗ เป็นดวงใสๆ ตอนนี้แหละท่านจะเห็นภายใน เห็นด้วยปัญญา ปัญญายะ ปัสสะติ

 

                      มีแสงสว่างเกิด เห็นดวงใส เหมือนเราลืมตาเห็นดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ ดวงดาวอย่างนั้น แต่นี่หลับตาเห็นดวงธรรมภายในใสแจ่มทีเดียว ใสอย่างน้อยก็เหมือนกระจกคันฉ่องส่องเงาหน้า หรือ เหมือนน้าใสๆ เหมือนเพชรบ้าง หรือใสเกินไปกว่านั้น จนต้องใช้คำว่า ใสเกินใส ใสกว่าความใสใดๆ ทั้งสิ้น ใสในใส ใสหนักขึ้นอย่างนั้น โตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่ลอยขึ้นมา

 

                      มาพร้อมกับความสุขที่แท้จริง ที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนในชีวิต จะพบว่าการแสวงหาวัตถุภายนอกไม่เคยทําให้เกิดความรู้สึกที่ดีอย่างนี้เลย เป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ที่เป็นอิสระ กายสบาย ใจสบาย กายเบา ใจเบา โล่ง โปร่ง เป็นอิสระ

 

                      ใจท่านก็นิ่งอยู่ในความสุขนั้นกลางดวง พอถูกส่วนดวงธรรมนั้นก็ขยายไป เห็นดวงธรรมอีกดวงหนึ่งลอยขึ้นมา ลอยขึ้นมาทีละดวงๆ ลอยขึ้นมาจากตรงกลางดวงนั้น จะมีดวงใหม่เกิดขึ้น ที่ทําให้ก้าวไปสู่อีกมิติหนึ่งที่ละเอียดกว่า ท่านเรียกว่า ดวงศีล

 

                      ในกลางดวงศีล พอใจนิ่งๆ ถูกส่วน ดวงศีลจะขยายออกไปขยายจนตกขอบไปเลย จะมีดวงสมาธิผุดขึ้นมา ที่ใสกว่า สว่างกว่าบริสุทธิ์กว่า มาพร้อมกับความสุขที่มากกว่าเพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อยๆแล้วก็จะเข้าถึงดวงปัญญา ในทำนองเดียวกันอย่างนี้ กลางดวงปัญญามีดวงวิมุตติ ในกลางดวงวิมุตติมีดวงวิมุตติญาณทัสสนะชุดหนึ่งมี 5 ดวง เป็นเครื่องกลั่นใจให้ใส ให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น เป็นดวงธรรมที่เชื่อมระหว่างกายต่อกาย กายในกาย

 

                      กายภายในมีทั้งหมด ๑๘ กาย ซ้อนๆ กันอยู่ มีกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์หยาบ-ละเอียด กายรูปพรหมหยาบ-ละเอียดกายอรูปพรหมหยาบ-ละเอียด กายธรรมโคตรภูหยาบ-ละเอียดกายธรรมพระโสดาบันหยาบ-ละเอียด กายธรรมพระสกิทาคามีหรือพระสกทาคามีหยาบ-ละเอียด กายธรรมพระอนาคามีหยาบละเอียด แล้วก็กายธรรมพระอรหัตหยาบ-ละเอียด

 

                      ทั้งหมด ๑๘ กาย จะช้อนๆ กันอยู่ เชื่อมด้วยธรรม ๖ ดวงดังกล่าว กายเป้าหมายคือ กายธรรมอรหัตตผล หน้าตัก ๒๐ วาสูง ๒๐ วา ใส บริสุทธิ์ หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ เราจะเข้าไปถึงกายตรงนั้น ดำเนินจิตเข้ากลางไปเรื่อย หยุดกับนิ่งอย่างเดียว ไม่ได้ทําอะไรที่นอกเหนือจากนี้

 

                      แล้วในที่สุด ท่านก็เข้าถึงกายธรรมอรหัต ถ้าพระพุทธเจ้าก็เข้าถึงกายธรรมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าพระอรหันต์ก็เข้าถึงกายธรรมอรหัตตผล หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา นั่งอยู่ในโลกุตตรฌานสมาบัติ เป็นอาสนะอย่างนั้น หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะนั่นกายเป้าหมาย

 

ชาวพุทธที่แท้จริง

                      วันนี้เรามาปฏิบัติธรรม และในฐานะชาวพุทธ เราต้องมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงอย่างเดียว อย่างอื่นไม่ใช่ สิ่งอื่นฟังกันชั่วคราว ไม่ช้าก็ต้องผุพังกันไป จะเป็นคน เป็นสัตว์เป็นสิ่งของอะไรก็แล้วแต่ จะไปพึ่งพาอาศัยจริงๆ ไม่ได้

 

                      ที่พึ่งที่แท้จริงของเรา คือพระรัตนตรัย พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ ซึ่งมีอยู่ภายในตัวของเราทุกคน

 

                      พุทธรัตนะ รัตนะ แปลว่า แก้ว เป็นวัตถุที่มีคุณค่า ใครได้แล้วก็ปลื้ม ชื่นใจ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว คือ รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งปวง เรื่องความเป็นจริงของชีวิตเป็นผู้ตื่น มีชีวิตชีวาตลอด ไม่งัวเงียแล้ว ตื่น สดใส เป็นผู้เบิกบานแล้ว เพราะว่าหมดจากกิเลส หรือหลุดจากกิเลส ซึ่งเป็นไปตามลำาดับชั้น ตั้งแต่โคตรภู พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหัต ซึ่งมี ๕ ชั้น

 

                      ธรรมรัตนะ เป็นดวงธรรมใสๆ อยู่กลางพุทธรัตนะ เป็นที่เก็บความรู้ เป็นคลังแห่งความรู้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์อยู่ตรงนี้

 

                      สังฆรัตนะ อยู่ในกลางธรรมรัตนะ เป็นธรรมกายที่ละเอียด รักษาธรรมรัตนะเอาไว้ เหมือนพระสงฆ์ทรงจําคําสอนรักษาคําสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้

 

                      ๓ อย่างนี้ เป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง อยู่ภายในตัวของเราซึ่งเราจะต้องเริ่มต้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตอนนี้เรารู้แล้วว่าอยู่ในกลางท้อง ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ

 

อย่ากังวลกับฐานที่

                      ในแง่ของการปฏิบัติจริงๆ เราไม่ต้องไปกังวลกับฐานที่ ๗ มากเกินไป ไม่ต้องไปควานหาฐานที่ ๗ หรือเกร็งเกินไป กังวลไปว่าใจเราจะอยู่ตรงฐานที่ ๗ เป๊ะเลยไหม เอาเป็นว่าเราต้องทําความรู้จักฐานที่ ๗ เอาไว้ก่อน ส่วนวิธีปฏิบัติ เรานึกน้อมเอาใจมาหยุดอยู่ที่กลางท้อง ให้ใจมาอยู่กับเนื้อกับตัวในกลางท้องแถวๆ ฐานที่ ๗ คิดอยู่เพียงแค่นี้ อย่าไปกังวลเกินไป ซึ่งความจริงอาจจะตรงฐานที่ ๗ พอดี หรือเหลื่อมกันนิดๆ หน่อยๆก็ช่างเถิด เอาเป็นว่ารู้จักฐานที่ ๗ แล้ว แต่ในแง่ของการปฏิบัติจริงๆ เราก็เอาใจมาไว้กลางท้อง แล้วสร้างที่ยึดที่เกาะของใจด้วยการก้าหนดบริกรรมนิมิตขึ้น

 

บริกรรมนิมิต

                      บริกรรมนิมิตเราจะกำหนดเป็นดวงแก้วใสๆ แทนธรรมรัตนะก็ได้ หรือพระแก้วใสๆ แทนพุทธรัตนะก็ได้ กำหนดเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง สร้างมโนภาพขึ้นมาในใจว่า ในกลางท้องของเรานั้นมีดวงแก้วใสๆ หรือพระแก้วใสๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง เอาอย่างเดียวอย่าไปเอาสองอย่าง เราชอบอย่างไหน ถนัดอย่างไหน ก็เอาอย่างนั้นเป็นบริกรรมนิมิต คือ เป็นที่ยึดที่เกาะของใจเรา

 

                      แต่อย่าไปเพ่งนะ อย่าไปลุ้น ไปเร่ง ไปเพ่ง ไปจ้อง แค่ทําความรู้สึกว่า ในท้องของเรานั้นมีดวงแก้วใสๆ หรือพระแก้วใสๆ อยู่ ขนาดใหญ่เล็กแล้วแต่ใจของเราชอบ ไม่ชัดก็ไม่เป็นไรชัดบางส่วนก็ไม่เป็นไรอีกเหมือนกัน นึกไม่ออกก็ไม่เป็นไร ให้ใจเราอยู่ในกลางท้องเป็นใช้ได้

 

บริกรรมภาวนา

                      พร้อมกับกําหนดบริกรรมภาวนา ประคองใจให้หยุดนิ่ง ให้มีสติกับสบาย รู้สึกตัวอยู่ตลอด ไม่ใช่เคลิบเคลิ้มไป รู้สึกว่าใจอยู่ในตัว แต่ต้องสบาย และภาวนาในใจเบาๆ อย่าให้เร็วหรืออย่าให้ช้านักอย่าไปใช้กําลังในการท่อง ทําคล้ายๆ บทสวดมนต์ที่เราคุ้นเคย และให้เสียงดังออกมาจากในกลางท้อง เป็นเสียงที่ละเอียดอ่อนเหมือนดังออกมาจากแหล่งแห่งความบริสุทธิ์ แหล่งพลังที่ไม่มีที่สิ้นสุดภายใน ภาวนาว่า สัมมาอะระหัง ภาวนาไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ ไม่ช้าไม่เร็วนัก

 

                      ทุกครั้งที่ภาวนาสัมมาอะระหัง เราจะต้องไม่ลืมตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่ที่กลางดวงใส หรือตรึกนึกถึงพระแก้วใสๆ หยุดอยู่กลางพระแก้วใสๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง

 

                      เราจะภาวนากี่ครั้งก็ได้ จนกว่าจะเกิดความรู้สึกว่า ไม่อยากจะภาวนาต่อไป อยากจะหยุดใจนิ่งเฉยๆ อย่างเดียวเท่านั้น ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้เราก็ไม่ต้องย้อนกลับมาภาวนาใหม่.ให้รักษาใจหยุดนิ่งอย่างนี้อย่างเดียวเท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้ หยุดนิ่งเรื่อยไป

 

ดูเฉยๆ ไม่ต้องคิดอะไร

                      เมื่อมีภาพอะไรเกิดขึ้นมาให้เราดู ซึ่งเป็นผลจากการหยุดนิ่งได้ในระดับหนึ่ง ก็ให้ดูไปโดยปราศจากความคิด อย่าไปวิเคราะห์วิจัย วิจารณ์ หรือสงสัยอะไรที่จะไปใช้ความคิด ให้ดูอย่างเดียวเฉยๆ เรื่อยไป อย่างสบายๆ

 

                      มีอะไรให้ดู เราก็ดูไป ดูไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น อย่าลืมคำนี้นะ มีอะไรให้ดู ก็ดูไป ดูไปเรื่อยๆอย่างสบายๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องไปคิดว่า มันใช่หรือไม่ใช่ ไม่ต้องไปคิดว่า ที่เราเห็นนี่คิดไปเองหรือว่าเป็นของจริงหรืออะไรที่นอกเหนือจากนี้ อย่าไปคิด

 

                      แต่พอถึงเวลาจริงๆ เรามักจะลืมประโยคนี้ และไปใช้ความคิด ซึ่งไม่รู้ว่าไปใช้นําไม มันไม่เกิดประโยชน์ แถมเกิดโทษ โทษคือภาพนั้นจะเลือนหายไป แต่ถ้าเราดูเฉยๆ เหมือนดูทิวทัศน์เวลาเรานั่งรถ เราก็ดูทิวทัศน์ ดูตึกรามบ้านช่อง ผู้คน สัตว์ สิ่งของภูเขาเลากา เราก็ดูเฉยๆ อย่างนั้น ให้ดูเหมือนดูทิวทัศน์ ดูไปอย่างสบายๆ โดยไม่ต้องไปคิดอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องไปสงสัยว่ามันใช่หรือว่าคิดไปเอง ให้วางใจนิ่งเฉยๆ ดูไปสบายๆ ทำอย่างนี้แค่นี้เท่านั้น

 

เข้าใจวิธีการก็ไม่ยาก

                      สมาธิจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก แต่ว่ายากไม่มากยากพอสู้ ถ้าเรารู้วิธีการก็ไม่ยาก คือให้ทำตามอย่างที่บอกไว้ทําอย่างนี้แค่นี้เท่านั้นจะง่ายอย่างที่เรานึกไม่ถึงเลย

 

                      เพราะฉะนั้น มีอะไรให้ดู เราก็ดูไป ดูไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆโดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องไปสงสัยอะไร ไม่ต้องคิดว่าใช่หรือไม่ใช่ ถูกหรือผิด คิดไปเองหรือเปล่า อะไรก็ไม่ต้องไปคิดอย่าลืมนะ ซึ่งบางคนมักจะลืมเสมอ มันจะไปชะงักความก้าวหน้าของใจที่จะเคลื่อนเข้าไปสู่ภายใน ไม่เกิดประโยชน์อันใดหรอก

 

                      อย่าลืมคำนี้นะลูกนะ ถ้าลืมก็นับหนึ่งไปตลอดชาติ จะไปหายสงสัยอีกทีตอนใกล้จะตาย ซึ่งเราไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นเราต้องหายสงสัยตั้งแต่ตอนนี้ มีความมืดให้ดู เราก็ดูความมืดมีดวงให้ดู เราก็ดูดวง มีองค์พระให้ดู เราก็ดูไป ดูไปเรื่อยๆเหมือนเด็ก

 

                      เด็กไม่ค่อยจะมีความคิดอะไรเยอะแยะเหมือนผู้ใหญ่ไม่รู้มาก เลยไม่คิดมาก สบาย มีความสุข ทำใจให้อินโนเซนต์(innocent) แบบเด็กๆ แบบนี้ เดี๋ยวเราจะอัศจรรย์ใจทีเดียวว่า คนอย่างเราก็สามารถเข้าถึงได้

 

                      มีความมืดให้ดู เราก็ดูไป มีความสว่างให้ดู เราก็ดูไปเฉยๆไม่ต้องไปตื่นเต้นดีใจอะไรหรอก มีดวงให้ดูเราก็ดูดวง มีกายภายในให้ดูเราก็ดูกายภายใน มีองค์พระให้ดูเราก็ดูองค์พระ ดูไปธรรมดาอย่างนี้

 

                      สมาธิเหมือนเส้นผมบังภูเขา ถ้าเข้าใจแล้วก็ง่าย ใครก็ทําได้ ยกเว้นคนบ้า คนปัญญาอ่อนไม่มากเขายังทำกันได้เลย พวกปัญญาอ่อนที่ไม่มากนัก เด็กดาวน์ซินโดรม (DownSyndrome) บางคนยังทําได้ เราคนดีๆ ทำไมจะทำไม่ได้ ถ้าได้ทำอย่างถูกหลักวิชชา

 

                      เพราะฉะนั้น มีความมืดให้ดู เราก็ดูความมืด ดูไปอย่างสบายๆ ทําใจหลวมๆ อย่าไปตั้งใจ อย่าไปเพ่ง อย่าเอาลูกนัยน์ตากดลงไปดู หลับตาเฉยๆ แค่ปิดเปลือกตา หลังจากนั้นทำใจหยุดใจนิ่งอย่างเดียว

 

                      เห็นไหมว่า มันง่าย ไม่ได้ยาก แต่ว่าเราไปเข้าใจว่ามันยากแล้วไปทําสิ่งที่ง่ายให้ยาก มันก็เลยยาก แต่สิ่งยากๆ นี่เราทําให้ง่ายได้ อย่างที่แนะนำนั่นแหละจะเป็นวิธีลัดที่สุด ที่เราจะเข้าถึง

 

                      พระรัตนตรัยในตัว ถึงเมื่อไรก็มีความสุขเมื่อนั้น แล้วจะได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธที่สมบูรณ์ มีพระรัตนตรัยในตัว

 

                      พุทธรัตนะ คือ พระธรรมกายนั่นแหละ เกตุดอกบัวตูมใส ใสเกินความใสใดๆ ในโลก งามไม่มีที่ติเลย ทีนี้ถ้าเราเห็นองค์พระขึ้นมา เห็นเกตุท่านแหลมๆ ขึ้นมา เราก็ไม่ต้องไปสงสัยอะไรเลย ก็ดูไปเฉยๆ ดูจนกว่าเกตุท่านจะตูมเป็นดอกบัวสัตตบงกช ถ้ารูปร่างองค์พระท่านอ้วนๆ บ้าง ผอมๆ บ้างก็ไม่ต้องไปสงสัย เราก็ดูไปจนกว่าท่านจะเปลี่ยนไปเป็นกายมหาบุรุษ ถ้ายังไม่เป็นกายมหาบุรุษ เราก็ดูไปจนกว่าจะเป็น แค่นี้เอง

 

                      ทําง่ายๆ นะลูกนะ ทําแบบผู้มีบุญ ผู้มีบุญจึงจะได้มานั่งอยู่ตรงนี้ แล้วลงมือปฏิบัติ วันนี้บุญของลูกมาถึงแล้ว อากาศกําลังสดชื่น สบาย เหมาะสมในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวต่อจากนี้ไปเวลาที่เหลืออยู่ ให้ต่างคนต่างทำกันไปเงียบๆ เช้านี้ให้ลูกทุกคนสมหวังดั่งใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกๆ คนนะลูกนะ

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.045162117481232 Mins