เทคนิควิธีการปฏิบัติธรรม
ปรับกาย-ปรับใจ
เมื่อเราบูชาพระรัตนตรัยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ไปตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานทุกๆ คนนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้ายให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตัก
พอสบายๆหลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูก พอสบายๆ คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา
แล้วทําใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ทําใจให้ว่างๆ ให้ใจใสๆ
นึกถึงบุญ
สมมติว่า ภายในร่างกายของเราปราศจากตับ ไต ไส้พุงไม่มีอวัยวะภายในเลย เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ กลวงๆ ใสๆ คล้ายท่อเพชร ท่อแก้วใสๆ ให้เป็นทางไหลผ่านของกระแสธารแห่งความบริสุทธิ์ กระแสธารแห่งบุญบารมี ๓๐ ทัศ ที่เราได้สั่งสมอบรมมา ตั้งแต่ปฐมชาติที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ สร้างบารมีเรื่อยมาทุกชาติ มากบ้าง น้อยบ้าง นับชาติกันไม่ถ้วน มาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
รวมกับอานุภาพอันไม่มีประมาณของพระรัตนตรัย คือพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ และพระคุณอันยิ่งใหญ่ของบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ หรือพระอุปัชฌายาจารย์ รวมเป็นกระแสธารแห่งความบริสุทธิ์ที่ไหลผ่านกลางท่อแก้ว ท่อเพชรใสๆ
ขจัดมลทินที่อยู่ในใจให้หมดสิ้นไป ตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความหงุดหงิด งุ่นง่าน ความฟุ้งซ่านรําคาญใจ โงกง่วง ซึมเซา ง่วงเหงาหาวนอน นิวรณ์ทั้ง ๕ อุปกิเลสทั้งหลาย วิบัติบาปศักดิ์สิทธิ์ วิบากกรรมวิบากมารอุปสรรคต่างๆ นานาในชีวิต ทุกข์โศกโรคภัยต่างๆ ให้มลายหายสูญไปให้หมด
ให้เหลือแต่ความบริสุทธิ์ผุดผ่องปรากฏเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นดวงใสๆ คล้ายเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีนําหนิเลย กลมรอบตัว ขนาดเล็กเท่ากับดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน บังเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ถ้าใครไม่รู้จักว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อยู่ที่ไหน ให้สมมติว่าหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึงจากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาไปด้านซ้ายเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม ให้สมมติเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางมาวางซ้อนกัน แล้วนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสอง สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตรงนี้เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งจะเห็นได้ต่อเมื่อใจของเราหยุดนิ่งได้สนิทสมบูรณ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ตอนนี้ใจเรายังหยุดไม่สนิท ก็ให้จำง่ายๆ ว่าอยู่ตรงกลางท้อง ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ หรือจําง่ายกว่านี้อีกคือ อยู่กลางท้องนั่นเอง
ความบริสุทธิ์เบื้องต้นบังเกิดขึ้นที่ตรงนี้ ตรงกลางท้องอย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน บังเกิดขึ้นที่ตรงนี้
ให้เอาใจของเราที่แวบไปแวบมา คิดไปในเรื่องราวต่างๆ น่ามาหยุดนิ่งๆ อยู่ที่กลางดวงใสๆ ให้ตรึกนึกถึงดวงใส เอาใจหยุดไปที่จุดกึ่งกลางของดวงใสๆ
การตรึก
ตรีก คือ การนึกถึงดวงใสๆ อย่างสบายๆ คล้ายๆ กับการนึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคย สิ่งที่เรารัก ไม่ใช่เป็นการไปเพ่งที่ลูกแก้วหรือไปบังคับใจบีบเค้นภาพลูกแก้วให้ทะลักออกมาอยู่ในกลางท้อง แต่เป็นการนึกง่ายๆ คล้ายกับนึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคย เช่น เราคุ้นกับลูกทุเรียน ก็จะเห็นลูกทุเรียนซัด คุ้นกับเงาะเพราะขายเงาะก็นึกเงาะได้ชัด ขายมังคุด นึกมังคุดได้ชัด ขายส้ม ก็นึกส้มได้ชัดขายชาลาเปา นึกซาลาเปาได้ชัด
มีลูกหลวงพ่อคนหนึ่งขายชาลาเปา เขา นึกซาลาเปาเห็นชัดใสแจ่มอยู่ในกลางท้องเลย เพราะคุ้นกับซาลาเปา วันนั้นขายชาลาเปาอย่างกับเทน้ำเทท่า ทำอย่างนี้ทุกวัน ขายดีทุกวัน จนหมดหนี้หมดสิน เหลือกินเหลือใช้ นึกซาลาเปาได้ง่าย นึกดวงแก้วก็คล้ายๆ อย่างนี้ เหมือนนึกถึงสิ่งที่เราคุ้น ขายทองก็นึกทองง่าย ขายเพชร ขายพลอย ก็นึกเพชรนึกพลอย นึกให้ง่ายๆ อย่างสบายๆ อย่างนี้ โดยที่เราไม่ได้ใช้ความพยายาม เขาเรียกว่า การตรึก นึกเบาๆ อย่างนี้นะลูกนะ
แต่แทนที่เราจะนึกอย่างนั้น เราก็นึกเป็นดวงใสๆ บางคนก็ชัดมาก บางคนช้ดน้อย แต่ชัดน้อยจะมีอยู่ถึง ๙๙.๙๙ เปอร์เซ็นต์ที่นึกได้ชัดมากมีอยู่ไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์ เป็นเพราะบุญเก่าของเขาที่สั่งสมการปฏิบัติธรรมกันมายาวนานนับภพนับชาติไม่ถ้วน
เขาสั่งสมมามาก พอถึงเวลาตรึกถึงดวงใส เขาก็นึกได้ชัดใสแจ่ม อย่างนี้มีไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์ แต่ส่วนใหญ่จะมีอยู่ ๙๙๙.๙๙เปอร์เซ็นต์ ที่นิกใหม่ๆ ไม่ค่อยชัด และมักจะเป็นทุกข์ใจที่มันไม่ชัดไม่ยอมรับว่าเรามองไม่ชัด เหมือนคนไม่มีเงินไม่ยอมรับว่าเรายังไม่มีเงิน จะไปทำอย่างเศรษฐีเขา อย่างนี้ลำบาก เมื่อไม่ชัด มีให้ดูแค่นี้ เราก็ยอมรับสภาพว่ามีให้ดูแค่นี้ เราก็ดูไปแค่นี้อย่างสบายๆนิ่งๆ ไปเรื่อยๆ
มองผ่านๆ คือ จะว่ามองดวงอย่างจริงจังก็ไม่ใช่ จะว่าไม่มองดวงในกลางท้องก็ไม่ใช่ อยู่ในระหว่างครึ่งทาง มองผ่านๆ อย่างนี้ถึงจะเรียกว่า การตรึก คือ นึกอย่างเบาๆ สบายๆ มองผ่านๆ จะว่าตั้งใจมองก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ตั้งใจมองก็ไม่เชิง อยู่ระหว่างตั้งใจก็ไม่ใช่ ไม่ตั้งใจก็ไม่เชิง อย่างนี้เรียกว่ามองผ่านๆ นี่คือการตรึก
เริ่มต้นใหม่อย่างง่าย ๆ
ตรีกอย่างนี้ให้ได้ตลอดเวลา อย่าเผลอไปคิดเรื่องอื่น แต่ถ้าหากเผลอเพราะใจเราคุ้นที่จะไปคิดเรื่องอื่น ก็ปล่อยมันไป อย่าไปกังวล พอรู้ตัวเราก็เริ่มต้นใหม่อย่างง่ายๆ ให้มีความสุขทุกครั้งอย่าเป็นทุกข์ใจ เมื่อใจแวบไป เราก็ประคองดึงกลับมาใหม่ เริ่มต้นใหม่อย่างง่ายๆ คล้ายๆ กับการรับประทานข้าวทุกวัน พอเราตื่นนอนล้างหน้าล้างตาเสร็จ ถึงเวลารับประทานอาหาร ข้าวก็ข้าวสุกเหมือนเมื่อวานนี้ แต่เมื่อวานนี้เราใช้หมดไปแล้ว เราก็ต้องเริ่มต้นรับประทานใหม่ ตอนเช้า ตอนเที่ยง ตอนเย็น วันพรุ่งนี้ก็ต้องมาเริ่มต้นใหม่อีก นึกถึงดวงใสๆ ก็คล้ายๆ อย่างนี้ เหมือนยินดีกับการเริ่มต้นหายใจใหม่หายใจออกแล้วก็เริ่มต้นหายใจเข้าไม่ใช่หายใจเข้าทีเดียวใช้ได้ตลอดเวลา เดี๋ยวต้องหายใจออกอีก แล้วก็ต้องเริ่มต้นหายใจเข้าใหม่ เริ่มต้นนึกถึงดวงใสๆ ใหม่คล้ายๆ อย่างนั้นนะลูกนะ
เข้าถึงธรรมได้ต้องสบายๆ
ต้องยอมรับว่า ไม่มีทางลัดอื่นใดเลยที่จะทำให้ใจหยุดนิ่งๆได้สมบูรณ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ทางลัดอื่นอย่างกินก๋วยเตี๋ยวแล้วจะให้ใจหยุดมันไม่ได้ ต้องสั่งสม คือ ต้องมาบ่อยๆ ทำทุกวัน
หมั่นสังเกตดูว่า เราวางใจอย่างไร มองผ่านๆ จริงไหม หรือว่าเราตั้งใจเกินไป จนเกร็งไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัว นั่งแล้วปวดเมื่อยก็ให้สังเกต แล้วปรับปรุงวิธีการ ปรับให้ดีๆ วางใจสบายๆ
เวลาจะเห็นมันคล้ายๆ กับตอนใกล้จะหลับ หรือตอนตื่นจากหลับใหม่ๆ อารมณ์จะคล้ายๆ กัน ตอนใกล้จะหลับ ถ้าเราไม่เผลอก็ไม่หลับ มันจะหล่นวูบลงไปเลย จะเห็นดวงใสขึ้นมา
ต้องหมั่นสังเกตการปฏิบัติธรรม วิธีไหนที่เราทำแล้วไม่ได้ผล อย่าไปดันทุรังทำ การจะเข้าถึงธรรมได้ ต้องใจสบายๆ
อย่างเช่น ตรีกนึกถึงดวงใสก็ตรึกอย่างสบายๆ ถ้าตรึกไม่ได้หรือพยายามทําอย่างที่แนะนำแล้วยังไม่ได้อีกก็ช่างมัน วางใจนิ่งเอาไว้เฉยๆ ทําใจให้ใสๆ ให้เยือกเย็น ต้อนรับความมืดที่มีอยู่ด้วยความปีติยินดี เหมือนเราได้รับของรางวัลที่เกินควรเกินคาดมีความปลื้มปีติยินดีอย่างนั้น
ถ้าหากเรานึกไม่ออกก็ช่างมัน ไม่ต้องไปนึกเลย นิ่งเฉยๆวางเบาๆ สบายๆ จะภาวนาสัมมาอะระหังก็ได้ หรือจะไม่ภาวนา ก็ได้ ค่อยๆ ประคองใจไปอย่างสบายๆ ถ้าเมื่อยก็ขยับ ถ้าง่วงก็ปล่อยให้หลับ ถ้าฟังก็ลืมตา พอหายฟังก็ว่ากันใหม่ ปรับวิธีการอย่างนี้นะ
ค่อยๆ ปรับไป ใจต้องเย็นๆ ใจต้องสบายๆ ต้องแช่มชื่น เวลานั่งแล้วอย่างน้อยต้องไม่มีความทุกข์ ไม่มีความเครียด ไม่ใช่ว่าไม่ได้นั่งแล้วรู้สึกว่าอารมณ์จะสบายกว่าตอนนั่ง อย่างนี้นั่งไปก็ไม่เกิดประโยชน์ นั่งแล้วต้องดีกว่าไม่ได้นั่ง
เพราะฉะนั้น วางใจเบาๆ สบายๆ มองเผินๆ ผ่านๆ ทีกลางกาย ทําอาการคล้ายๆ กับใกล้จะหลับ แต่มีสติ ให้หลับหลอกๆอย่าไปหลับจริงจัง วางเบาๆ เหมือนไม่ได้ตั้งใจที่จะดูตรงกลางวางสบายๆ ใจเย็นๆ ค่อยๆ ประคองใจไปเรื่อยๆ เดี่ยวใจก็จะใสใจจะละเอียดลุ่มลีกไปตามลำดับ
พอถูกส่วนเข้า เดี๋ยวก็จะเข้าถึงดวงใสที่มีอยู่ภายในตัวเราแล้วเดี่ยวจะเข้าถึงกายในกาย เข้าถึงพระธรรมกายในที่สุด สิ่งนี้มีอยู่แล้วในตัวของเรา แต่เป็นของที่ละเอียด หน้าที่ของเรา คือ ทำใจให้ละเอียดเท่ากับสิ่งที่มีอยู่ในตัว ด้วยวิธีการหยุดนิ่งอย่างสบายๆ ทําใจให้เยือกเย็น ให้ใสบริสุทธิ์ อย่างนี้จึงจะถูกส่วนถูกต้อง ให้ใจใสๆ บริสุทธิ์ นิ่งๆ นุ่มๆ ละมุนละไม วางสบายๆ ค่อยๆฝึกไป หมั่นสังเกตว่า ระหว่างที่เรานั่งตอนนี้ เราเอาใจตั้งหรือว่าเราตั้งใจ ถ้าตั้งใจ มันจะตึง ถ้าใจตั้งอยู่แล้ว ทำความรู้สึกหลวมๆเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่แล้วในตัว ความรู้สึกสบายก็จะเกิดขึ้น
ความมืดไม่ใช่ศัตรู
นั่งแล้วมืดอย่าไปท้อใจนะลูกนะ ให้ทำความยินดีกับความมืด ต้อนรับความมืดด้วยความปีติยินดี เป็นความมืดที่น่ารักไม่ใช่น่ากลัว ไม่เป็นอุปสรรคอันใดในการเข้าถึงธรรม เราวางใจให้สบาย มืดกับสบาย ทําตรงนี้ให้ได้เสียก่อน
สําหรับท่านที่นึกดวงใสไม่ออก ให้นิ่งๆ อยู่ในกลางความมืดด้วยความสบายใจ ไม่กระสับกระส่าย ไม่ทุรนทุราย ไม่หงุดหงิดงุ่นง่าน ฟุ้งซ่าน ราคาญใจ ให้อยู่อย่างสบายๆ ไปเถิด แล้วความมืดจะค่อยๆ ให้ความสบายกับเราเพิ่มขึ้น เมื่อเรามีความยินดีต้อนรับมัน
จากมืดมากก็จะมามืดมัว จากมืดมัวก็มาสลัว จากสลัวก็จะค่อยสางๆ เหมือนฟ้าสางๆ ค่อยๆ แจ้งขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วก็แจ้งขึ้นสว่างขึ้น เหมือนแสงอาทิตย์ ๗ โมงเช้า ๘ โมง ๙ โมง ๑๐ โมงถึงเที่ยงวันไปเอง ก็จะค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปอย่างนี้
แต่เรามักรําคาญ ทุรนทุราย ทนอยู่ในกลางความมืดไม่ได้จะต้องไปควานหาอะไรในที่มืด มักจะเป็นกันอย่างนี้ แล้วในที่สุดก็ตกม้าตาย คือ พยายามไปควานหายใจก็จะกระสับกระส่ายทุรนทุราย แล้วจะพาลเบื่อการนั่ง เพราะนั่งแล้วไม่ได้ความสุขสู้คนนั่งอย่างมีความสุขในที่มืดแล้วไม่เห็นอะไรเลยจะดีกว่าบางคนนั่งแล้วไม่เห็นอะไร แต่สบาย อย่างนี้ดีกว่า
หรือเห็นดวงหรือองค์พระแต่ว่าเกร็ง คือ เกร็งไปหมดไม่มีความสุขเลย เห็นดวง เห็นองค์พระ แต่มันเกร็ง มันตึง นั่งแล้วเมื่อย มึน ไม่ม่วนเลย สู้นั่งไม่เห็นอะไร แต่ใจสบาย อย่างนี้ดีกว่า
นั่งไปเรื่อยๆ ให้สบายๆ ให้ความสบายค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาเองมันจะค่อยๆ ดี่ม า ละเอียดลงไป ละเอียดลงไป แล้วก็จะสางๆแล้วก็จะแจ้งอย่างที่หลวงพ่อว่า ตัวจะค่อยๆ หายไป เป็นไปตามขั้นตอนของมัน ทำอย่างนี้นะลูกนะ นั่งแล้วต้องได้ความสบายใจสุขที่ได้นั่ง นั่งแล้วมีความสุข อย่างนี้ถึงจะถูกต้อง ดีกว่านึกออกแต่เกร็ง เมื่อย เหนื่อย
อย่าลืมจำคำที่หลวงพ่อพูดนะ นั่งไม่เห็นอะไรเลย แต่สบาย รู้สึกตัวกว้างๆ โล่งๆ ดีกว่านึกเห็นแล้วเกร็ง ไม่สบายมึนหัว ปวดหัว แต่ถ้าเห็นแล้วสบายอย่างนี้ดีกว่าอะไรทั้งหมดแน่นอน เห็นแล้วสบาย อันนี้เป็นเฉพาะบุคคลเมื่อเริ่มต้นใหม่ที่มีไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์
แต่ถ้าหากเรานั่งไปเรื่อยๆ แล้วตัวขยาย ตัวเบา สบาย มีความสุขกับการนั่ง ไม่เบื่อหน่ายเลย ไม่เห็นอะไรก็สบาย แล้วใจก็ไม่ฟุ้ง อยู่นิ่งๆ นุ่มๆ ละมุนละไม ใจเยือกเย็นใสเป็นแก้ว อย่างนี้ดีมาก จำนะลูกนะ ต้องจำให้ได้ นั่งแล้วต้องสบาย ต้องเบิกบานต้องแช่มชื่น ไม่มากก็น้อย
พอใจในทุกประสบการณ์
สมมติว่า วันนี้เรานั่งได้ดี ก็อย่าไปคาดหวังว่า วันพรุ่งนี้จะดีเหมือนวันนี้ หรือตั้งใจว่าจะนั่งให้ดีกว่าวันนี้ ก็อย่าไปคาดหวังอย่างนั้น ทำปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุด พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน เพราะพรุ่งนี้เราจะมีชีวิตอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้เรามีชีวิตอยู่ เมื่อมีอยู่ก็ต้องทำใจให้นิ่ง ให้สบาย บุญเกิดขึ้นแล้วแม้ยังไม่เห็นอะไร
บุญ คือ ธาตุธรรม เป็นธาตุชนิดหนึ่งที่มีพลังแห่งความบริสุทธิ์ จะกลั่นธาตุธรรมเห็นจำคิดรู้ของเราให้ใส ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
ธรรมะก้าวหน้าขึ้นทุกครั้ง
แม้เราไม่เห็นอะไรก็ตาม อย่าคิดว่าเรานั่งไม่ดี ไม่ได้อะไร เราได้โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย เหมือนตักน้ำรดต้นกล้าไม้วันละครั้ง มันก็เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน แต่เราสังเกตไม่ออกว่าเจริญเติบโตวันละกี่มิล การเจริญเติบโตจากการปฏิบัติธรรมก็คล้ายๆ กันอย่างนั้น เจริญขึ้นไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น หยุดอยู่กับปัจจุบันตรงนี้ให้ดีที่สุด ในจุดที่เราเป็นอยู่ตรงนี้ อย่าคิดต่อไปว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้น เพราะเราได้ยินว่า มันเป็นอย่างโน้นอย่างนี้จากคนโน้นคนนี้ ให้ลืมไปเลยในสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังมา ให้เอาใจหยุดนิ่งเฉยๆ สบายๆ แม้ไม่เห็นอะไรก็ตาม วางเบาๆ ค่อยๆ วางไป ค่อยๆ สั่งสมไป ไม่ช้าจากมืดก็จะมาสว่าง จากสว่างก็จะค่อยๆ เห็นภาพ เห็นองค์พระ
ได้แค่ไหน พอใจแค่นั้นไปก่อน
บางคนใหม่ๆ อาจเห็นแค่เป็นภาพพระ แต่ยังไม่เป็นองค์พระเมื่อเราดูไปเรื่อยๆ ที่เป็นภาพพระก็ค่อยๆ เป็นองค์ขึ้นมา แต่ว่ายังแข็งกระด้างอยู่และไม่ค่อยชัดเท่าไร ก็ให้ปีติยินดีกับสิ่งที่ตัวมีอยู่อย่างนั้นไปก่อน เหมือนเรามีแหวนเพชรในนิ้ว ให้ยินดีตรงนี้ก่อนอย่าเพิ่งไปยินดีกับแหวนเพชรในร้าน มีแค่ไหนยินดีแค่นี้ไปก่อนแล้วองค์พระท่านจะค่อยๆ ชัดขึ้น แม้ชัดมากบางทีก็ยังกระด้างอยู่เหมือนพระแก้วที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหมู่ยังไม่มีชีวิตชีวา เราก็รักษาภาพที่เห็นไว้ไปเรื่อยๆ ด้วยความปีติยินดี ดูไปสบายๆ
ถ้าองค์พระหายก็อย่าไปเสียดาย เรามีองค์พระเป็นล้านๆ องค์เยอะแยะ ไม่ต้องไปประหยัด กระเหม็ดกระแหม่ ตระหนี่ เสียดายทําตัวเหมือนเป็นเศรษฐีเสียหน่อย ไม่ต้องไปประหยัดกับมัน
นิ่งๆ ใหม่ เดี๋ยวองค์พระจะกลับมาใหม่ กลับมาแล้วก็ยังกระด้างอยู่ แม้ชัดเจนคล้ายๆ องค์พระที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหมู่ เราก็ดูไปเรื่อยๆ นะลูกนะ ดูความใส ดูความไม่มีชีวิตนั้น แล้วเดี๋ยวท่านจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ค่อยๆ มีชีวิตขึ้นมา คือ สวยงามกว่าเดิม งามกว่าพระแก้วที่อยู่บนโต๊ะหมู่ เราก็ดูไปเรื่อยๆ เดี๋ยวท่านจะขึ้นมาทีละองค์ๆ
แม้ขึ้นมาใหม่ๆ องค์พระอาจจะโตเท่ากัน ซึ่งเราอาจเคยได้ยินว่า องค์พระใหม่จะต้องใหญ่กว่าเดิม เพราะหลวงพ่อเคยบอกเอาไว้ แต่นี่องค์พระเราโตเท่าเดิม ก็อย่ากังวลใจ อย่าคิดว่าผิดวิธี ดูต่อไปเรื่อยๆ นะ
ดูองค์พระที่ขึ้นมาองค์เท่ากันนั่นแหละ อาจจะขึ้นมาทีละองค์จนกระทั่งเป็นชุด ชุดละ ๑๐ องค์ แต่ยังโตเท่าเดิม ก็ดูไปเรื่อยๆ ทีละชุดๆ แม้โตเท่าเดิมเราก็ดูไป เดี๋ยวใจก็จะละเอียด เพราะการที่เราดูเฉยๆ โดยไม่คิดอะไรจะละเอียดไปเรื่อยๆ เดี่ยวองค์พระท่านจะเปลี่ยนแปลงไป มีชีวิตชีวาขึ้น ต่างจากพระแก้วที่เห็นบนโต๊ะหมู่แล้วก็ค่อยๆ ขยาย ค่อยๆ โตใหญ่ขึ้นไป จะค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปอย่างนี้ ไม่มีทางลัดเลย มีแต่ว่าค่อยเป็นค่อยไป ต้องเข้าใจตัวของเราเองอย่างนี้นะลูกนะ
ไม่อย่างนั้น บางทีเราตั้งใจจนเกร็งไปทั้งเนื้อทั้งตัว เห็นองค์พระ เห็นดวง แต่เกร็ง ตึง แล้วไม่ไปไหนเลย นั่งแล้วเหนื่อย ติดมาอย่างนี้ ๑๐ ปีก็มี ๒๐ ปีก็มี เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจให้ดี ทำให้ถูกวิธี แล้วเราจะมีความรู้สึกเป็นสุข สนุกกับการปฏิบัติธรรม จะไม่มีความรู้สึกว่าพยายามนั่งหรือยืนนั่ง ความสุขจะค่อยๆ มีขึ้น
หรือเราได้ยินว่านั่งแล้วมีความสุขจากการเห็นองค์พระแต่เห็นองค์พระแล้วความสุขยังไม่มี ยังกระด้างอยู่ ก็ช่างมันนะลูกนะ ให้มีความยินดีกับการเห็นองค์พระชัดใสสว่าง แต่ยังไม่มีความสุข ดูเรื่อยๆ ไปก่อน พอใจละเอียดหนักเข้า องค์พระท่านก็เปลี่ยนไป สมบูรณ์ขึ้น ความสุขก็จะเพิ่มพูน ค่อยๆ มา ค่อยเป็นค่อยไปอย่างนี้
ต้องสม่ำเสมอ
หมั่นฝึกปฏิบัติธรรมให้ได้อย่างสม่ำเสมอทุกวันทุกคืนอย่าให้ขาดเลยแม้เพียงวันเดียว ความละเอียดของใจก็จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดที่เราจะศึกษาวิชชาธรรมกายต่อไปได้ ถ้าหากลูกทุกคนได้ทำอย่างที่หลวงพ่อแนะนำ ไม่ฟังผ่านๆ เดี๋ยวจะทำได้กันทุกคน
อากาศกำลังสบาย กำลังสดชื่น วางใจนิ่งๆ ดูสิ่งที่มีให้ดูจะเป็นความมืด จะเป็นดวง จะเป็นองค์พระหรือเป็นอะไร ก็ดูไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น อย่าลืมนะ จะว่าตั้งใจก็ไม่ใช่จะว่าไม่ตั้งใจดูก็ไม่เชิง มันกลางๆ ผ่านๆ สบายๆ ใจเย็นๆ
อธิษฐานจิต
คราวนี้ เราก็นึกถึงบุญที่เกิดจากธรรมปฏิบัติที่มีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ไพศาล เอาบุญนี้มาอธิษฐานจิต ให้อานุภาพแห่งบุญที่เกิดจากธรรมปฏิบัติในคืนนี้ กลั่นกายวาจาใจ ธาตุธรรมเห็นจำคิดรู้ของเราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้หลุดพ้นจากวิบัติบาปศักดิ์สิทธิ์วิบากกรรมวิบากมาร อุปสรรคต่างๆ นานาในชีวิต ทุกข์โศกโรคภัยสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ให้ละลายหายสูญไปให้หมด
ให้เราสมบูรณ์ไปด้วยสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง เอาไว้ใช้สร้างบารมีอย่างไม่รู้จักหมดจักสิ้น ทุกภพทุกชาติ ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม ให้เราสมบูรณ์ด้วยสมบัติอัศจรรย์ทันใช้สร้างบารมีในชาตินี้ อย่างสะดวกสบาย อย่างง่ายดาย สมบัติใหญ่ไหลมาเทมาทั้งวันทั้งคืน ทั้งหลับ ทั้งตื่น ทั้งนั่งนอนยืนเดิน ให้เราหมดหนี้สิน เหลือกินเหลือใช้ เหลือไว้สร้างบารมี อย่างไม่รู้จักหมดจักสิ้น
จะประกอบธุรกิจการงานอันใดก็ให้ประสบความสําเร็จเป็นอัศจรรย์ ให้ชื้อง่าย ขายคล่อง กําไรงาม เป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญเป็นมหาเศรษฐีคู่บุญค้ำจุนพระพุทธศาสนา ประดุจท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีและมหาอุบาสิกาวิสาขา
ให้รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในวิชชาธรรมกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมอันใดที่พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ และคุณยายอาจารย์ฯ ท่านได้บรรลุ ขอเราจงบรรลุธรรมนั้น
ให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง อายุยืนยาว ได้สร้างบารมีกันไปนานๆ ให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข เป็นครอบครัวแก้ว ครอบครัวธรรมกาย ครอบครัวตัวอย่างของโลก ให้เราเป็นที่รักของมนุษย์ของเทวดาทั้งหลาย อัคคีภัย โจรภัย ราชภัย ภัยทุกชนิด อย่าได้มากล้ำกราย ให้พบปะแต่สิ่งที่ดีงาม ที่จะนำชีวิตไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง
ที่เป็นบรรพชิตก็ขอให้มีจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ ผ่องใส มีกำลังใจอันสูงส่ง ไม่มีวันตกต่ำลงมาเลย ให้บวชได้ตลอดรอดฝั่ง ให้ท่าพระนิพพานให้แจ้ง ให้แทงตลอดในธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยก็ให้แตกฉาน เรียนนักธรรมเรียนบาลี ก็ให้เรียนจบนักธรรม จบเปรียญธรรม ๙ ประโยค
จะปฎิบัติธรรมก็ให้ได้บรรลุธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเทศนาสั่งสอนบุคคลใดก็ตามให้ไพเราะเบื้องต้น ท่ามกลางเบื้องปลาย บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ทั้งอรรถ ทั้งพยัญชนะ ใครได้ยินได้ฟังให้มีความปีติเลื่อมใส ขนพองสยองเกล้า ให้ดีอกดีใจ บรรลุธรรมาภิสมัยกันทุกๆ คน
ขอให้บุญนี้ถึงแก่บรรพบุรุษ บุพการี ญาติพี่น้องของเราที่ละโลกไปแล้ว จะไปอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม ขออานุภาพแห่งพระธรรมกายของพระพุทธเจ้า พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำและคุณยายอาจารย์ฯ ได้นําบุญที่เกิดจากธรรมปฏิบัติในคืนนี้ไปให้แก่หมู่ญาติดังกล่าว จะอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม ที่มีทุกข์มากก็ให้ทุกข์น้อย ที่มีทุกข์น้อยให้พ้นทุกข์ ที่มีสุขน้อยให้สุขมาก ที่มีสุขมากแล้วก็ให้มากยิ่งขึ้นไปตามลำดับ
ให้บุญนี้ถึงแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ ที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารใน ๓๑ ภูมิ ในกามภพ ในรูปภพ ในอรูปภพในกำเนิดทั้ง ๔ ตลอดแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล ให้ได้มีส่วนแห่งบุญที่เราอุทิศไปให้ ที่มีทุกข์มากก็ให้ทุกข์น้อย ที่มีทุกข์น้อยให้พ้นทุกข์ ทีมีสุขน้อยให้สุขมาก ที่มีสุขมากแล้วก็มากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
แล้วทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ผ่องใส ให้ประเทศชาติ ศาสนา วิชชาธรรมกายเจริญรุ่งเรือง ให้ประเทศไทยเป็นปิ่นนานาประเทศ มวลมนุษยชาติให้เข้าถึงพระธรรมกาย ให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ที่ข้าวยากหมากแพง แห้งแล้ง เหี้ยนเตียน ก็ให้ตรงกันข้าม ให้อุดมสมบูรณ์ด้วยผลหมากรากไม้มีรสโอชา ให้คนมีปัญญาแก่กล้า มีโรคภัยไข้เจ็บน้อย ให้แข็งแรง ให้มีจิตใจที่เบิกบาน แช่มชื่น ด้วยความรัก ด้วยความปรารถนาดีซึ่งกันและกัน