ความรู้ภายในที่มนุษย์ขาดแคลน
ปรับกาย-ปรับใจ-วางใจ
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ หลับตาเบาๆ พอสบายๆ แล้วทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้
รวมใจหยุดไปนิ่งๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ จําง่ายๆ ว่าอยู่ในกลางท้องของเรา
ธรรมะมีอยู่แล้วในกลางกาย
ทำใจให้หยุดให้นิ่งๆ สบายๆ เพราะว่าพระธรรมกายซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกนั้นมีอยู่แล้วในตัวของเรา ดวงธรรมใสๆ ก็ดีกายภายในและพระธรรมกายมีอยู่แล้วในตัวของเราแต่ว่าเป็นของละเอียด เราจะเข้าถึงท่านได้ เห็นท่านได้ ต่อเมื่อใจของเราละเอียดเท่าท่าน
ใจของเราจะละเอียดเท่าท่าน ก็มีเพียงประการเดียว คือ ใจต้องหยุดต้องนิ่ง ไม่ซัดส่ายคิดฟุ้งซ่านไปในเรื่องอื่นๆ เรื่องคน สัตว์สิ่งของ ใจต้องหยุดนิ่ง ถึงจะละเอียดและความสว่างภายในก็จะบังเกิดขึ้น
ความสว่างทําให้เกิดการเห็นภาพ ภาพภายในที่มีอยู่แล้ว หน้าที่ของเรามีเพียงแค่นี้ คือ หยุดกับนิ่ง ให้มีสติ กับสบายสม่ำเสมอ หมั่นสังเกต ดูว่า เราทําใจหยุดนิ่งพอดีๆ ไหม ตึงเกินไปเพราะความตั้งใจ หรือว่าหย่อนเกินไปเพราะขาดความตั้งใจที่ดีอะไรที่มันขาดหรือเกิน มันก็ไม่ดีทั้งนั้น เราก็ต้องหมั่นสังเกต เพื่อปรับให้สู่สภาวะแห่งความพอดี
สังเกต..นั่งถูกหลักวิชชาไหม
การฝึกใจให้หยุดนิ่ง ก็คือการแสวงหาความพอดีนั่นเอง ความพอดีในการปฏิบัติธรรม ให้สังเกตดูที่ความพึงพอใจ เมื่อเราวางใจอย่างนี้ นิ่งอย่างนี้ รู้สึกไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป มีความพึงพอใจ แม้มันยังมืดอยู่ ยังไม่มีภาพอะไรให้ดู ความพึงพอใจนี้จะทําให้เราไม่คํานึงถึงภาพที่จะเกิดขึ้น เพราะแม้เป็นความมืด ก็มืดสบาย ไม่ใช่มืดมน มืดตึง มีดแต่สบาย สบายทั้งกาย สบายทั้งใจ นี้คือข้อสังเกต
กายทีสบาย เราสังเกตดูว่า นั่งแล้วไม่เมื่อย ไม่เกร็ง ไม่ตึงผ่อนคลายหมดตั้งแต่ศีรษะ ทั้งเนื้อทั้งตัวถึงพื้นเท้า กายก็สบายใจก็สงบนิ่งๆ เป็นความนิ่งที่ไม่คาดหวังว่า เราจะต้องเห็นภาพรู้สึกพึงพอใจกับความรู้สึกชนิดนี้ไปได้ตลอดระยะเวลาการนั่งในแต่ละรอบ เพราะถ้าเรานั่งได้นิ่งดี จนเกิดความพึงพอใจ ก็จะมีข้อสังเกตว่า เวลาแม้เท่าเดิมก็รู้สึกว่าเวลาหมดไปเร็ว เหมือนเรานั่งแป๊บเดียว เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน เรายังไม่อยากจะลืมตาเลยอยากจะนิ่งๆ นุ่มๆ ละมุนละไม แม้จะไม่เห็นอะไรก็ตาม นั่นละถูกหลักวิชชาแล้ว ถูกหลักวิชชาของสติ ความมีสติ คือ ใจอยู่กับตัวและสบาย ไม่ตึง สม่ำเสมอ คือไม่ขาดจังหวะ ไม่สูญเสียจังหวะในการนิ่ง นั่นแหละพอดี
ปล่อยให้มันเป็นไป (Let it be)
จากความพอดีในระดับนี้ แม้ยังไม่มีความสุข แต่มันก็ไม่มีความทุกข์ ที่ภาษาธรรมะเขาเรียกว่า อทุกขมสุขะ ไม่สุขแต่ก็ไม่ทุกข์ อยู่ในระดับครึ่งทางระหว่างสุขกับทุกข์ คือ มันเลยความทุกข์มาถึงครึ่งทาง แต่มันยังไม่ถึงความสุข ตรงนี้ ถ้าเรารักษาอารมณ์อย่างนี้ให้ต่อเนื่องกันไป คือ ความสม่ำเสมอ นิ่ง นุ่ม ละมุนละไมจะภาวนาสัมมาอะระหัง หรือไม่ภาวนาก็ตาม นั่นละถูกหลักวิชชาแล้ว ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนั้น Let it be อย่างนั้นต่อไป ให้นิ่งนุ่ม ละมุนละไม แม้ไม่เห็นอะไรก็ตาม และให้ลืมสิ่งที่เคยได้ยินพี่น้องวงธรรมะเขาพูดถึงว่า เขาเห็นแสงสว่าง เขาเห็นดวงใสเห็นองค์พระ ให้ลืมไปเหมือนเราไม่เคยได้ยิน ให้ใจเราเป็นอิสระจากความอยากได้ธรรมะเร็วๆหรืออยากเห็นเหมือนอย่างเขา
ใจเราต้องเป็นอิสระ อย่าให้ความรู้สึกอยากได้จนเกินไปมาครอบงำ ให้ใจเราได้สมดุลอย่างนี้ คือ นิ่ง นุ่ม ละมุนละไม ไม่คิดถึงภาพการเห็นภายในเกินไป หรือเรื่องราวที่เราได้ยินได้ฟังมาว่า คนโน้นคนนี้เห็น จนทำให้เราสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง เกิดความทะยานอยากเข้ามาครอบงำ
ความทะยานอยากนั้นจะทำให้เราตั้งใจจนเกินไป แม้เป็นกุศลจิต คือ อยากได้ธรรมะ แต่ถ้ามากเกินไปก็ไม่สมหวัง จุดที่จะสมหวังได้ มันต้องอยู่ตรงกลางๆ จะว่าอยากได้ก็ไม่ใช่ ไม่อยากได้ก็ไม่เชิง คือ หยุดนิ่งเฉยๆ หยุดนิ่ง นุ่ม ละมุนละไม ให้กาลเวลาผ่านไปด้วยการหยุดนิ่ง นุ่ม ละมุนละไม และไม่ต้องคิดอะไรที่นอกเหนือจากนี้
ปล่อยให้เป็นไปอย่างนั้นตามธรรมชาติ ไปตามความรู้สึกที่อยากจะเป็นอย่างนั้น แล้วเดี๋ยวจะถูกส่วนเอง คือ ใจจะปรุงพอดีถูกส่วนเอง ถูกส่วนนี้เราจะไปทำให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ แต่เราต้องประกอบเหตุด้วยวิธีการดังกล่าว คือ สติกับสบาย สม่ำเสมอ นิ่งนุ่ม ละมุนละไม หลังจากนั้นปล่อยให้เป็นไปของมันเอง แล้วการถูกส่วนก็จะเกิดขึ้นเอง
ใจที่ถูกส่วน
เมื่อใจถูกส่วน มันจะไม่ทึบ ไม่แคบ ไม่อึดอัด จะไม่มีความรู้สึกว่า เอาลูกนัยน์ตากดมองลงไปกลางท้อง เราจะไม่มีความรู้สึกชนิดนี้ แต่จะมีความรู้สึกว่า ใจของเราจะเริ่มโล่งโปร่ง เบา สบาย สบายกว่าอยู่บนยอดเขาที่ได้หายใจอากาศดีๆ เป็นความสบายที่เริ่มต้นมาจากภายใน และขยายมาสู่ระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ให้ทุกเซลล์ทุกส่วนของร่างกายเราชุ่มชื่น มีชีวิตชีวา
กายที่มีความรู้สึกว่า มันทึบ อึดอัด คับแคบ จากทึบก็จะมาโปร่ง จากอึดอัดก็จะมาโล่ง จากคับแคบก็จะขยาย โล่ง โปร่ง เบาสบาย ขยาย ซึ่งมันจะเกิดขึ้นเอง เมื่อเราวางใจหยุดนิ่ง นุ่ม ละมุนละไม สบายๆ ผ่อนคลาย
ยิ่งเรานิ่งในนิ่งอย่างนุ่มๆ ไปมากเท่าไร อาการเหล่านี้ก็จะมีเพิ่มขึ้น คือ โล่งมากขึ้น โปร่งมากขึ้น เบาสบายมากขึ้น มากอย่างที่เราไม่เคยมีประสบการณ์เหล่านี้มาก่อน มันจะสบายตัวจะเบาๆ เบาเหมือนกับไร้หนัก เหมือนลูกโป่งที่อัดแก๊สเข้าไปแล้วมันจะเริ่มพองขยายจนลอยได้
ตัวของเราก็จะเริ่มนุ่มนวล นิ่งแน่น ขยาย สบายเพิ่มขึ้น เราจะรู้จักคำว่า สบาย นี่มันเป็นอย่างนี้ ส่วนใหญ่เราจะรู้จักคำว่า ไม่สบายทั้งกายและใจ พอความไม่สบายลดลงมาหน่อยเราก็นึกว่ามันสบาย แต่จริงๆ แล้ว มันก็ยังไม่สบายอยู่ดี เป็นแต่เพียงปริมาณความไม่สบายมันลดลง
ความสบายจะรู้จักได้เมื่อใจหยุดนิ่ง นุ่ม ละมุนละไมดังกล่าวนี่แหละ จนกระทั่งมันขยาย ความรู้สึกโล่ง โปร่ง เบาสบายขยายออกไป กายที่เหมือนจะเหาะจะลอยได้มันขยายออกไป พองโตขึ้นจนกระทั่งเต็มสภาธรรมกายสากลนี้
แล้วถ้าเราไม่ตื่นเต้นกับอาการพองโต ขยาย เบาสบาย เรานิ่งเฉยๆ อย่างเดิม นิ่ง นุ่ม ละมุนละไมต่อไปอย่างสม่ำเสมอ ไม่ไปตื่นเต้น ใจยังเป็นปกติเหมือนผู้ที่เจนโลกผ่านชีวิตมามาก เห็นปรากฏการณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของชีวิตแล้วไม่ตื่นเต้น อาการที่เบาสบายก็จะเพิ่มขึ้นมา แต่ถ้าหากว่า เราไปตื่นเต้น อาการเบาสบายก็จะลดลง จะหรี่ลงไปเรื่อยๆ นี่เป็นเรื่องที่แปลกอัศจรรย์ทีเดียว
เมื่อเรานิ่งนุ่มตัวก็จะขยายพองโตกว่าสภาธรรมกายสากลแต่ไม่มีความรู้สึกว่า มันจะแตกปริ เป็นแต่เพียงรู้สึกว่า กายมันละเอียดลงไปนุ่มลงไป แล้วมันเริ่มเบาเหมือนสําลี เหมือนปุยนุ่นอาการขยายก็จะไม่มีสิ้นสุด เมื่อเรายังนิ่งนุ่มต่อไป แต่ถ้าตื่นเต้นก็จะหยุดขยาย ถ้าเราหยุดนิ่ง มันก็จะขยายต่อไป จนกระทั่งโตเต็มอำเภอคลองหลวง
ถ้าเรายังนิ่งนุ่มต่อไป ก็จะขยายเต็มจังหวัดปทุมธานี จังหวัดข้างเคียง ทั่วประเทศไทย ขยายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน นานาชาติทั่วโลก พ้นโลก ขยายไปสุดขอบฟ้าเลย จนเราดูเหมือนว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจักรวาลและขอบฟ้า จะขยายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนตัดเส้นรอบวงที่ล้อมกรอบชีวิตของเราเอาไว้ให้มันขาดกระเด็นออกไป คล้ายๆ ของแข็งเริ่มสลายกลายเป็นของเหลว ของเหลวเริ่มสลายกลายเป็นไอ เป็นแก๊ส ขยายออกไปเรื่อยๆ
ขยายไปมากเท่าไร ปริมาณแห่งความเบาสบายก็ยิ่งเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นจนเรายอมรับว่า นี่คือความสุข ความสุขที่เกิดขึ้นอย่างที่เราไม่รู้จักมาก่อนเลย และหาไม่เจอในคน ในสัตว์ ในสิ่งของในสิ่งอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ไม่เคยเจอจากการได้เห็นสิ่งสวยๆ ได้ยินเสียงเพราะๆ ได้ดมกลิ่นหอมๆ ลิ้มรสอาหารอร่อยและเคยถูกต้องสัมผัสสิ่งที่นุ่มเนียน หรือเคยฟุ้งฝันนึกคิดไปต่างๆ ก็ไม่มีวันรู้จักความรู้สึกชนิดนี้
เพราะฉะนั้น เราจะได้เข้าถึงเนื้อหนังของคำว่า ความสุข เราจะเริ่มรู้จักว่า อ๋อ ความสุขต้องมีอารมณ์อย่างนี้ อาการอย่างนี้ประสบการณ์อย่างนี้ แล้วมีรสมีชาติเอร็ดอร่อยอย่างนี้ เป็นความสุขที่เกิดขึ้น
พบแสงสว่างภายใน
เมื่อนิ่งถึงจุดที่นิ่งแน่นถูกส่วนเข้า แสงสว่างจะเกิดขึ้นเองเป็นแสงแห่งความบริสุทธิ์ภายในที่ใจเราหลุดพ้นจากความมืดคือ นิวรณ์ จากความนึกคิดในเรื่องกาม เรื่องเพศ เรื่องสมบัติฟุ้งฝันอะไรต่างๆ พ้นจากความโกรธ ความสงสัย ความฟุ้งกระเจิดกระเจิงไปในเรื่องราวต่างๆ ความง่วง ความท้อ ความเคลิ้มรู้สึกใจมันเกลี้ยง สงัดจากกามและอกุศลธรรม มีความรู้สึกว่า ใจเราเป็นบุญเป็นกุศลล้วนๆ สะอาดจนเกิดความปีติภาคภูมิใจ และยอมรับนับถือตัวเองว่า เราสะอาด เกลี้ยง บริสุทธิ์ ซึ่งเราไม่เคยรู้จักสภาวะอย่างนี้มาก่อนเลย
เมื่อความสว่างขยายออก จากปริมาณน้อยเป็นปริมาณกว้างออกไป กระทั่งไม่มีขอบเขต ยิ่งบริสุทธิ์ก็ยิ่งสว่าง ยิ่งใจหยุดก็ยิ่งบริสุทธิ์ ยิ่งบริสุทธิ์ก็ยิ่งสว่างเพิ่มขึ้น ความสว่างนั้นกระจายไปทั่ว แต่เป็นแสงสว่างที่เนียนตา ละมุนใจ
ถ้าเราไม่สงสัยว่า มีใครเอาไฟมาส่องหน้าเรา หรือเปิดไฟในห้อง เรานิ่งนุ่มละมุนละไมอย่างเดิม ก็จะยิ่งเจิดจ้าเพิ่มขึ้น แต่ถ้าหากความสงสัยเข้ามาแทรก เพราะเราไม่คุ้นเคยกับความสว่างภายใน คิดว่าใครเปิดไฟ และเราเผลอไปลืมตาขึ้น เพราะทนความอยากรู้ไม่ได้ว่า ใครมาเปิดไฟ ความสว่างก็จะหรี่ลงไป แล้วเราก็จะพบว่า เมื่อเราลืมตามาแล้ว ข้างนอกนั้นมืดกว่าข้างใน ความสว่างภายในที่นุ่มเนียนตา ไม่แสบตา ไม่เคืองตา นำพาความสุขที่ไม่มีประมาณที่ประณีตให้พรั่งพรูออกมา
ใจตกศูนย์
เมื่อใจเรานิ่งต่อไปด้วยความเบิกบาน เพราะว่าใจขยายกายขยาย เหมือนเราไม่มีตัวตนแล้ว ก็จะเปลี่ยนมิติ คือ ตกศูนย์ เหมือนเราหล่นจากที่สูง บางคนก็หล่นมาอย่างพรวดพราด วูบลงไปก็ตกใจ แต่บางคนที่ค่อยๆ เคลื่อนไปข้างใน และขยายไปรอบทิศอย่างละมุนละไม จะมีแต่ความสุขสดชื่นตลอดเส้นทาง เหมือนเราแบกของมา แล้วเราค่อยๆ ปลดของขว้างทิ้งไปทีละอย่าง จนกระทั่งไม่ต้องแบกหามกันต่อไป
อาการหนักของใจก็ไม่เกิด ใจก็เบา สบาย แต่ถ้าทิ้งหาบทีเราแบกมาอย่างโครมครามละก็ จะมีอาการเหมือนตกศูนย์อย่างฮวบฮาบ เหมือนหล่นวูบลงไป ก็กลัวสะดุ้ง กลัวจะไปนรก ไปเห็นภาพไม่ดี แล้วก็หวาดเสียว แต่ก็เป็นบางคนเท่านั้น แต่ว่าขอยืนยันว่า ไม่มีสิ่งที่ไม่ดี หรืออันตรายเกิดขึ้น
เข้าถึงดวงธรรมภายใน
จะมีสิ่งดีๆ ที่เราไม่คาดคิดเลยว่า คนอย่างเรานี่จะทําได้ขนาดนี้ คือ มันจะมีดวงลอยขึ้นมาเป็นดวงใส ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของแสงสว่างดังกล่าวเหมือนดวงอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดของแสงสว่างในเวลากลางวันเหมือนดวงจันทร์สว่างในเวลากลางคืนแต่นี่เราจะเห็นแหล่งกำเนิดของแสงสว่างภายใน จะเป็นดวงใสๆอย่างน้อยก็ใสเหมือนกับน้ำใสๆ หรือเหมือนกระจกคันฉ่องที่ส่องเงาหน้า หรือใสเหมือนเพชรบ้าง ใสกว่านั้นบ้าง
บางทีเป็นความใสที่ดูดตา ไม่ดีดตาเหมือนเพชรที่ต้องแสงที่มันผลักลูกนัยน์ตาเราออก เพราะดูแล้วเคืองตา แต่จะเป็นแสงที่ดึงดูดตาให้ดื่มต่ำลงไปกับความสุขนั้น กับดวงใสๆ ที่กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วที่เจียระไนแล้วกลมดึกเลยอย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน หรือใหญ่กว่านั้น ตามกําลังบารมี
บางทีก็โตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่ แต่ว่าใส ใสเกินความใสใดๆ ในโลกที่เราไม่เคยเจอมาก่อน นี่แหละเขาเรียกว่าความบริสุทธิ์เบื้องต้นที่พระเดชพระคุณหลวงปู่เรียกว่า ดวงธัมมานุปัส-สนาสติปัฏฐาน หรือดวงปฐมมรรค เป็นดวงใสบริสุทธิ์ของกุศลธรรมเบื้องต้น สัมมาทิฏฐิก็ตั้งอยู่ตรงนี้
เห็นดวงอย่างนี้ ได้บุญมากกว่าสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ วัดวาอารามเยอะทีเดียว เพราะว่าเป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน ส่วนบุญที่สร้างโบสถ์วิหาร ศาลาการเปรียญนั้นแค่เป็นมหาทานบารมี ยังทำให้เราวนเวียนอยู่ในกามภพ อยู่ในภพที่ยังต้องใช้เรื่องทรัพย์ แต่นี่จะเลยความรู้สึกอย่างนั้นไป
จะเป็นดวงใสสว่างอยู่กลางกาย ถ้าเรานิ่งต่อไปอย่างเดิมไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมไปกว่านี้ใจก็จะยิ่งนิ่งนุ่มละมุนละไม สบายๆดวงธรรมก็จะขยาย แล้วก็จะดึงดูดให้เราเข้าไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือดวงปฐมมรรคซึ่งแปลว่าต้นทางที่จะไปสู่อายตนนิพพานแล้ว หมายความว่าถ้าเราเข้าถึงธรรมดวงนี้ได้ ก็ยืนยันว่าเราไปสู่อายตนนิพพานได้เราทําพระนิพพานให้แจ้งได้
แต่ถ้ายังไม่ได้ดวงปฐมมรรคต้นทางนี้ มันไปไม่ถูก ไม่รู้จะไปอย่างไร แต่ถ้าเข้าถึงได้แล้ว ก็ยืนยันได้ว่าไปถูก คือ จะถูกดึงดูดไปกลางดวงเข้าสู่เส้นทางสายกลางภายใน ที่เรียกว่า วิสุทธิมรรค ทางแห่งความบริสุทธิ์หมดจดจากสรรพกิเลสทั้งหลายบางทีก็เรียกว่า อริยมรรค คือ ทางเดินของพระอริยเจ้าหรือทางที่จะดำาเนินไปสู่ความเป็นพระอริยเจ้า บางทีก็เรียกว่า วิมุตติมรรค เป็นทางแห่งความหลุดพ้นจากโลภะ โทสะ โมหะ กิเลสอาสวะ ที่ดึงดูดตรงเราไว้ติดในภพสามนี่แหละ
ดวงใสดวงนี้จึงสำคัญมาก ให้รักษาเอาไว้ จะปิดอบายไปสวรรค์ และจะเป็นต้นทางที่จะทำให้เราได้เข้าไปถึงพระรัตนตรัยในตัว จะเข้าไปถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ที่มีอยู่ในตัวของเรา
พอถึงตรงนี้ ความสุขใจที่เพิ่มขึ้นจะกระตุ้นให้เราอยากเรียนรู้ความรู้ภายในมากขึ้น ใจเราก็จะเคลื่อนเข้าไปสู่ภายในเหมือนเรือที่ออกฝั่งไปสู่ทะเล แต่เป็นทะเลแห่งความรู้ที่ไม่มีขอบเขต
ดวงธรรมจะขยายออกไป ใส บริสุทธิ์ สว่าง เราจะเริ่มเป็นตัวของเราเองเพิ่มขึ้น เริ่มรู้จักตัวเราเองเพิ่มขึ้น แต่เดิมเรายังไม่รู้ว่าเราต้องการอะไร เกิดมาทำไม อะไรคือเป้าหมายชีวิต และความต้องการที่แท้จริงของเราคืออะไร เรายังไม่รู้เลย ยังหาคำตอบให้กับชีวิตไม่ได้ เพราะยังไม่รู้จักตัวเอง
ทีนี้เมื่อใจดำเนินไปเรื่อยๆ ด้วยการหยุดการนิ่ง ใจก็เคลื่อนเข้าไปข้างใน ที่เรียกว่า คมน (คะ-มะ-นะ) คือ เคลื่อนเข้าไป มันจะเคลื่อนเหมือนเราขับรถอย่างนั้น ขับรถจะเคลื่อนได้ เราต้องเหยียบคันเร่ง แต่ถ้าจะขับเคลื่อนสรีรยนต์นี้เข้าไปสู่ภายในต้องหยุดใจ ยิ่งหยุดยิ่งเร็ว ยิ่งหยุดยิ่งนิ่ง ยิ่งดิ่งไม่หยุด มันจะเคลื่อนเข้าไปสู่ภายในไปเรื่อยเลย
เดี๋ยวก็เห็นไปตามลำดับ เห็นดวงธรรมต่างๆ ผุดผ่านขึ้นมาจากกลางดวงนั้น เหมือนจุดศูนย์กลางดวงนั้นขยายออกมาเป็นดวงใหม่ที่ใสกว่า สว่างกว่าเดิม ละเอียดกว่านี้ เราจะเทียบได้ทีเดียว คือ เหมือนสัมผัสได้เลย ความละเอียดกว่าของดวงธรรมที่ถัดไปข้างใน จะนุ่มนวลเนียนตากว่ากัน จะเนียนตา ละมุนละไมเหมือนเราถือดวงแก้วส่องกระจกอย่างนั้นแหละ ดวงที่เราถือมันหยาบ แต่ดวงในกระจกจะละเอียดไปอีกชั้นหนึ่ง อันนั้นก็เป็นข้ออุปมา แต่นี่ก็คล้ายๆ อย่างนั้น แต่ละเอียดกว่า เพราะมันโปร่งเบากับความรู้สึกที่ละเอียดกว่า นุ่มเข้าไปเรื่อยๆ
ยิ่งละเอียด ก็ยิ่งขยาย ใจขยายเข้าไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นไปในทำนองอย่างนี้ แต่ความบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น ไปถึงดวงศีล ดวงสมาธิดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
กายมนุษย์ ละเอียด
เราก็จะเข้าถึงกายภายใน เราจะรู้จักตัวของเรา ต่อเมื่อเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดที่เหมือนตัวเรา แต่ว่าสดใสกว่า อยู่ในท่านั่งทําสมาธินิ่งสงบสง่างาม แม้กายภายนอกจะอ้วนจะผอมด่าขาวแค่ไหนก็แล้วแต่ แต่กายละเอียดภายในของเราจะดูดีกว่านั้นเยอะจะใสดูดีนั่งทำสมาธินิ่ง
ความรู้ก็จะเพิ่มขึ้น คือ แต่เดิมรู้ว่ากายหยาบเป็นตัวเรา เป็นของของเรา ถ้าเข้าถึงตรงนี้มันก็เป็นแค่เพียงตัวเรา แต่ไม่ใช่ของของเรา ถ้าเป็นของเรา เราก็ต้องบังคับได้ ให้มันสะอาด ให้มันหอมให้มันไม่เหี่ยว ไม่ห้อย แต่มันบังคับไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ของเราแต่เราสมมติว่าเป็นตัวเรา
พอเราเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดจะมีความรู้สึกว่า กายหยาบเหมือนเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็เปื่อยเน่าไป และเหมือนบ้านเรือนที่เราอาศัยอยู่ชั่วคราว ความรู้สึกมันจะละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ เลย ของแต่ละกายที่มีอยู่ภายในเรานั่นแหละ จนกระทั่งถึงกายธรรม กายองค์พระใสๆ ก็จะยิ่งมองอะไรได้ชัดเจนกว้างขวางกว่าเดิมไปอีกเยอะ
อิสรภาพที่แท้จริง
จะเริ่มรู้จักว่า เราเป็นตัวของเราเองที่แท้จริง รู้สึกว่าเป็นอิสระตอนเข้าถึงกายองค์พระนี่แหละ
เราเรียกร้องความเป็นตัวของตัวเอง อยากเป็นอิสระ แต่เราหาไม่ถูกที่ มันก็ไม่เคยเป็นอิสระ นอกจากทำตามใจตัวเอง และเราก็เหมาเข้าใจเอาเองว่า นั่นคืออิสรภาพของเรา แต่จริงๆ แล้วเรากําลังทําตามใจกิเลสในตัว ที่มันบังคับบดบังดวงปัญญาทำให้ไม่รู้นึกว่าการทําตามใจตัวเองคือการใช้ชีวิตเป็นอิสรภาพ แต่จริงๆยังไม่ใช่เลย เพราะเราไม่รู้จักคำว่าอิสรภาพอย่างแท้จริง ยังถูกครอบงำาด้วยความไม่รู้ ยังถูกครอบงำด้วยความหายนะอยู่ เราจะรู้จักความเป็นอิสระ เป็นตัวตนที่แท้จริง เมื่อเข้าถึงพระธรรมกายในตัว ถ้าไม่ถึงตรงนี้ ก็ไม่รู้จัก นอกจากเข้าใจไปเองมั่วๆ กันไปนี่คือสิ่งที่ตัวเราและมวลมนุษยชาติยังขาดแคลนความรู้ตรงนี้
เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นเราก็ต้องให้รู้จักตรงนี้เสียก่อนว่า การเป็นอิสรภาพที่แท้จริง สิทธิเสรีภาพเหล่านั้นอยู่ตรงไหน เป็นอย่างไร นอกนั้นก็มั่ว พอเขาขัดใจเรา เราก็ว่าเราไม่เป็นอิสระ แต่ถ้ามีใครตามใจเรา หรือเราตามใจตัวเราเอง เราก็นึกว่าเราเป็นอิสระ แต่ที่จริงยังไม่ใช่เลย ยังเป็นบ่าวเป็นทาสของความไม่รู้ครอบงำอยู่
ต้องเข้าถึงกายผู้รู้ คือ กายธรรมภายใน จึงจะรู้จักอิสรภาพอย่างแท้จริง