อนาถบิณฑิกเศรษฐี
ตอนที่ ๒๑ นางจุฬสุภัททาผู้นำบุญสู่อุคคนคร
ท้าวสักกเทวราช เห็นด้วยทิพพจักขุ คือมองมาเลย เพราะสิ่งที่นางจูฬสุภัททาทำ ไม่ใช่เรื่องธรรมดา มองดูแล้วก็ฟังด้วยทิพพโสต ทราบว่า พระบรมศาสดาทรงรับนิมนต์ของนางฯ
![อนาถบิณฑิกเศรษฐี ตอนที่ ๒๑ นางจุฬสุภัททาผู้นำบุญสู่อุคคนคร](https://kalyanamitra.org/th/images/Chant/590613_52.jpg)
จึงเรียกวิษณุกรรมเทพบุตรมาเข้าเฝ้ารับสั่งให้เนรมิต เรือนยอดจำนวน ๕๐๐ หลัง เพื่อพาพระพุทธองค์พร้องด้วยเหล่าพระสาวกเดินทางไปสู่เมืองอุคคนครในวันรุ่งขึ้น ด้วยพุทธานุภาพเป็นหลัก และเทวานุภาพเป็นส่วนเสริม เราจะเห็นว่า ผู้สั่งสมบุญมาดีแล้ว อะไรก็สะดวกทั้งนั้น อุปสรรคมีน้อย
![อนาถบิณฑิกเศรษฐี ตอนที่ ๒๑ นางจุฬสุภัททาผู้นำบุญสู่อุคคนคร](https://kalyanamitra.org/th/images/Chant/590613_53.jpg)
ในวันรุ่งขึ้นวิศวกรรมเทวบุตรจึงได้ทำตามคำบัญชาของท้าวสักกเทวราช โดยเนรมิตเรือนยอด ๕๐๐ หลัง ที่หน้าซุ้มประตูวัดพระเชตวัน พอเนรมิตเสร็จก็ยืนอยู่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยเหล่าพระสาวกขีณาสพ ๕๐๐ รูป ก็ประทับนั่งในเรือนยอดนั่นเป็นปกติของท่าน ที่จริงท่านจะเหาะไปหรือแว้บไปก็ได้ แต่เพื่อให้เป็นเกียรติยศ มนุษย์ต้องให้เห็นหยาบ ๆ
![อนาถบิณฑิกเศรษฐี ตอนที่ ๒๑ นางจุฬสุภัททาผู้นำบุญสู่อุคคนคร](https://kalyanamitra.org/th/images/Chant/590613_55.jpg)
จากนั้นเรือนยอดก็พาพระพุทธองค์และพระสาวก ๕๐๐ รูป ไปสู่เมืองอุคคนคร ท่านอุคคเศรษฐีพร้อมด้วยบริวาร ได้ไปยืนมองดูหนทางที่พระองค์จะเสด็จมา ตามที่นางจูฬสุภัททาได้บอกไว้ คือ ไปยืนคอยรับเสด็จแต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจว่า จะมาได้อย่างไร คิดว่าท่านอาจจะเสด็จดำเนินมา ก็มองดู แต่ปรากฏเกินคาด ไม่ได้เดินเข้าประตูเมืองมา แต่ลอยมาเลย ดูหน้าท่านเศรษฐีกับภรรยาที่ตาโตอยู่แล้ว โตหนักเข้าไปอีก ส่วนนางจูฬสุภัททารู้อยู่ก็นิ่งเฉย ๆ รู้ว่าเป็นปกติของพระพุทธองค์ กับพระสาวก ผู้มีอานุภาพ
![อนาถบิณฑิกเศรษฐี ตอนที่ ๒๑ นางจุฬสุภัททาผู้นำบุญสู่อุคคนคร](https://kalyanamitra.org/th/images/Chant/590613_56.jpg)
พอเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเหล่าพระสาวก เสด็จมาด้วยสิริสมบัติอันยิ่งใหญ่อลังการ จึงทำให้ท่านเศรษฐีขนลุกซู่ชูชัน เกิดความปีติเลื่อมใสเป็นอย่างมาก บริวารทั้งหลายก็มีความปีติ มีความเลื่อมใสต่างพากันสักการะบูชา แด่พระพุทธองค์และพระสาวกจากนั้นท่านก็ให้การต้อนรับ กราบถวายบังคมพระบรมศาสดา ตอนนี้ดีใจ เลยลืมเรื่องราวที่สั่งให้บริวารไปฉุดนางจูฬสุภัททามา แล้วได้ถวายทานแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยเหล่าพระสาวกขีณาสพทั้ง ๕๐๐ รูป ใจปลื้มปีติอย่างที่ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย ปลื้ม ๆ มาก ถวายแล้วพูดไปคุยไป ชื่นชมพุทธานุภาพไปเรียกว่า ตอนนั้นไม่มีใครสงบสักคน บริวารก็คุยกันอื้ออึง ตลอดเลย
![อนาถบิณฑิกเศรษฐี ตอนที่ ๒๑ นางจุฬสุภัททาผู้นำบุญสู่อุคคนคร](https://kalyanamitra.org/th/images/Chant/590613_59.jpg)
ท่านเศรษฐีอาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระสาวกขีณาสพทั้ง ๕๐๐ รูป ทุกวันเลย พอฉันเสร็จ ฟังธรรมเสร็จ อาราธนาวันพรุ่งนี้ต่อ ฉันเสร็จ ฟังธรรมเสร็จ อาราธนาต่ออย่างนี้ตลอด ๗ วัน ปลื้มมากจากคนขี้เหนียวที่สุด ตระหนี่มาก ที่เคยมีความเห็นผิดเข้าใจผิดว่า ผู้เปลือยกายนั้น คือ ผู้หมดกิเลส
![อนาถบิณฑิกเศรษฐี ตอนที่ ๒๑ นางจุฬสุภัททาผู้นำบุญสู่อุคคนคร](https://kalyanamitra.org/th/images/Chant/590613_60.jpg)
พระพุทธองค์ทรงทราบว่า ใจของท่านเศรษฐีละเอียดอ่อนแล้ว คือ ให้ขัดเกลาไปสัก ๗ วัน เหมาะสมที่จะฟังธรรมแล้ว ตอนนี้จึงแสดงธรรมจริง ๆ ก่อนหน้านั้นก็กล่าวชื่นชมพอให้ปลื้มใจ แล้วก็รับนิมนต์ในวันรุ่งขึ้น แต่ก็ไม่ได้แสดงธรรมอะไรยาว ๆ ดูกำลังบุญจากในอดีตกับปัจจุบันว่า กำลังบุญมาถึงแล้ว ใจใสแล้ว มีความละเอียดอ่อนพร้อมที่จะรับฟังธรรมะได้แล้ว บุญปัจจุบันกับบุญเก่าเชื่อมกันแล้ว พระองค์ก็ทรงแสดงธรรมโปรดท่านเศรษฐีและเหล่าบริวาร
![อนาถบิณฑิกเศรษฐี ตอนที่ ๒๑ นางจุฬสุภัททาผู้นำบุญสู่อุคคนคร](https://kalyanamitra.org/th/images/Chant/590613_61.jpg)
เมื่อจบพระธรรมเทศนา ท่านอุคคเศรษฐีและเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ประมาณ ๘๔, ๐๐๐ ได้บรรลุธรรมแล้ว คือไม่เฉพาะเศรษฐี เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วย คำว่าเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายในที่นี้ หมายถึง ผู้ที่มีกายทิพย์ ที่มาฟังธรรมด้วย ๘๔, ๐๐๐ บรรลุธรรม แล้วพระองค์ก็ตรัสกับพระอนุรุทธะว่า ดูก่อนอนุรุทธะ ขอเธอจงอยู่ที่นี่ก่อน เพื่ออนุเคราะห์นางจูฬสุภัททาและชาวเมือง
![อนาถบิณฑิกเศรษฐี ตอนที่ ๒๑ นางจุฬสุภัททาผู้นำบุญสู่อุคคนคร](https://kalyanamitra.org/th/images/Chant/590613_62.jpg)
พระอนุรุทธะท่านเป็นเลิศทางทิพพจักขุ ท่านมีตาทิพย์ชอบสอดส่องดูสัตว์โลก เป็นอัธยาศัยของท่านข้ามชาติ สร้างบารมีมาก็เพื่อการนี้ ในจำนวนผู้ที่มีตาทิพย์ขอให้เป็นอันดับหนึ่ง จากนั้นพระบรมศาสดาพร้อมด้วยเหล่าพระสาวกจึงเสด็จกลับเมืองสาวัตถี ตั้งแต่นั้นมาชาวเมืองอุคคนครทั้งเมือง ได้เป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัย อย่างเต็มเปี่ยมบริบูรณ์